ขอเพียงอ้อมกอด ตอนที่ 4
บทที่ 4 เป็นเหตุเป็นผล
ถนนสายนรก เป็นเส้นทางเศรษฐกิจสายหลักของยมโลก แต่กลับไม่มีผู้คนพลุกพล่าน จะมีก็แต่ผีที่ล่องลอยไปมา แต่พริบตาเดียวก็หายวับไปทันที
ถึงอย่างไรส่วนมากที่มาที่นี่ก็เป็นผีทั้งนั้น ใช้การลอยไปมาก็ประหยัดเวลาดี
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการค้า แต่มองๆ ไปแล้วก็มีอยู่ไม่กี่ร้าน ร้านค้าที่ตั้งอยู่ในทำเลสายนี้ได้ ไม่ต้องพูดเรื่องคุณภาพสินค้า แค่เจ้าของร้านแต่ละร้านก็ถือว่าเป็นคนมีหน้ามีตาในยมโลกกันทั้งนั้น
นอกจากถนนสายหลักแล้ว ยังมีสายย่อยแยกออกไป ของที่ขายก็ถูกลง ร้านค้าก็มีมากขึ้นด้วย
เพื่อจัดการให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้ดูแลยมโลกจึงจัดผังวางร้านรวงต่างๆ พวกนี้เข้าด้วยกันจนค่อยๆ กลายเป็นเมืองย่อมๆ ขึ้นมา โดยเชื่อมต่อกับ ‘ถนนสายนรก’ ที่รุ่งเรืองที่สุดตลอดสาย ความกว้างของพื้นที่พอๆ กับคูเมืองใหญ่ๆ แห่งหนึ่ง แต่ทุกคนยังคงเรียกตามความเคยชินว่า ‘ถนนสายนรก’
ภูตผีที่ผ่านมาในยามปกติ รวมถึงผู้มาเยือนจากภพภูมิอื่นล้วนเคยมาเดินเล่นที่นี่อยู่บ้าง
เวลาเอ่ยถึงถนนสายนรก ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงแค่ถนนสายหลักตรงกลาง ส่วนซอยเล็กซอยน้อยที่เงียบเหงาก็ไม่กล้าเรียกตนรวมกับถนนสายหลัก จึงมักจะตั้งชื่อเรียกกันเอง
ส่วนใครเป็นคนตั้ง ก็ไม่รู้เหมือนกัน
มีอยู่ซอยหนึ่งชื่อว่า ‘เจวี๋ยยินเจีย’ ซอยนี้คดเคี้ยวและมีร้านอยู่สี่ร้านตั้งเบียดกัน สองในสี่ร้านเปิดประตูไว้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกสองร้านที่เหลือไม่รู้ปิดไปนานแค่ไหนแล้ว ด้านบนแขวนโคมไฟสีขาวสองสามอันที่ติดบ้างไม่ติดบ้าง บางทีถูกลมพัดดับไปก็มี
ยมโลก ก็คือนรกที่ทุกคนพูดกัน
โดยปกติที่นี่ไม่มีแสงแดด แต่ก็ไม่ได้มืดมิด ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่กลับดูจะชอบเสียด้วย เพราะมันไม่ร้อนไม่หนาว ไม่แห้งไม่ชื้น
จอมเวทที่สามารถมายมโลกโดยผ่านค่ายกลมักจะมาเที่ยวเล่นที่นี่ บางทีก็เข้ามาทำภารกิจ ซึ่งก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี
ส่วนพวกนักบวชปกติไม่ค่อยมา เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว ไอวิญญาณที่ไม่สะอาดในยมโลกจะเป็นอุปสรรคต่อการบำเพ็ญ
แต่ถ้าเป็นจอมเวทนักบวชที่ใช้การบำเพ็ญและการสะสมพลังวิญญาณควบคู่กันไปจะสบายขึ้นมาก แต่สำนักชื่อดังบางส่วนก็รู้สึกว่าทำเช่นนี้ไม่คุ้มค่า
ทางตะวันออกในซอยเจวี๋ยยินเจียมีร้านที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ เพียงแต่เปิดประตูไว้ครึ่งเดียว
“ท่านอา เห็นแก่ที่ข้าเอาของดีๆ พวกนี้มาให้ท่าน ครั้งนี้เบามือหน่อยได้ไหม? ที่บ้าๆ แบบนั้นข้าเพิ่งไปมา จะให้ข้าไปอีก! ไม่เอาแล้ว ข้าขอปฏิเสธ!” เสียงกระจ่างใสทว่าร้อนใจของเด็กหนุ่มแฝงแววไม่สบอารมณ์ดังออกมาจากหลังประตู
“ไอ้หนู เจ้าคิดว่าร้านข้าเป็นอะไร? ของที่เจ้าเอามาเป็นของดีก็จริง แต่เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ว่าได้มันมาอย่างไร เจ้ารู้อยู่แก่ใจ! ข้ารับพวกมันไว้ ก็เท่ากับหาเรื่องใส่ตัวไม่ใช่หรือไง!”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์คับขัน เด็กหนุ่มยิ่งอ้อนวอนมากขึ้น “ท่านอา เอาแบบนี้ เรียกว่าท่านปู่ละกัน! ท่านปู่ ท่านเห็นแก่ข้าเถิดนะ ครั้งนี้ข้าติดค้างท่านไว้ก่อน ครั้งหน้า…ครั้งหน้าข้าจะมาชดใช้ให้! ข้าสาบาน!”
ชายกลางคนสีหน้าของไม่ผ่อนปรนเลยสักนิด มองเด็กหนุ่มชูสี่นิ้วขึ้นฟ้า ครั้นใบหน้าเคร่งขรึมได้ยินคำว่า ‘ท่านปู่’ ก็ดูใกล้จะสติแตก คิดในใจว่า ‘เจ้างั่ง! ข้าอายุไม่กี่ร้อยปีเอง มาเรียกข้าเป็นปู่เสียได้!’
คนที่อยู่เบื้องหน้าฝูเจ๋อก็คือลิ่วต้าวจื่อ เป็นคนในยมโลกที่สามารถเขียนแผ่นยันต์ได้ และยังซ่อมอาวุธวิเศษได้ด้วย
ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนที่อนุญาตให้คนเป็นมาอยู่อาศัยที่นี่ได้ การเห็นมนุษย์ในยมโลกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแล้ว โดยส่วนมากเป็นพวกจอมเวทไม่ก็นักบวชที่ไม่มีที่ไป
แต่คนที่จะมาอยู่ที่นี่ได้ ต้องมีความสามารถปกปิดไอสุริยันและทนต่อความหนาวเหน็บของยมโลกได้ด้วย เมื่อคนเหล่านั้นเปลี่ยนไอวิสุทธิ์บนร่างตน ไอปราณบนร่างพวกเขาก็แทบไม่ต่างอะไรกับภูตผีในที่แห่งนี้
ส่วนที่ว่าทำไมไม่ขึ้นไปใช้ชีวิตบนโลกอันอบอุ่นสว่างสดใสตามปกติ กลับมาลำบากลำบนอยู่ในยมโลก นอกเสียจากว่าไม่มีที่ไป ที่เหลือก็คือเหตุผลส่วนตัวของคนผู้นั้น
ยมโลกและมนุษยโลกจะมีภารกิจที่กำหนดเวลาเอาไว้โดยเฉพาะ จอมเวทไปมาระหว่างสองโลกเพื่อกระทำภารกิจให้ลุล่วง เขาก็จะได้ค่าตอบแทน
ร้อยปีหลังนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มักจะมีภูตผีปีศาจออกมาทำร้ายมนุษย์ที่ลงมาอาศัยในยมโลกอย่างไม่มีสาเหตุ
ในยมโลกเองก็มีแบ่งเป็นสำนักเล็กๆ อยู่ด้วยเช่นกัน สำนักที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคือสำนัก’ทงหลิงฮุ่ย’ ว่ากันว่าปรมาจารย์ของพวกเขาคือบรรพบุรุษของนักหยินหยาง ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงย้ายลงมาอาศัยในยมโลก
พูดถึงทงหลิงฮุ่ย ก็เกี่ยวกับคนที่อยู่เบื้องหน้าฝูเจ๋อนี่แหละ
บางคนพูดว่าลิ่วต้าวจื่อถูกสำนักนี้ขับไล่ออกมา เพราะดูจากที่ลิ่วต้าวจื่อมีฝีมือดีจริงๆ
ทุกครั้งที่ฝูเจ๋อจะต้องออกเดินทางก็จะต้องอาศัยยันต์เคลื่อนย้ายของเขา นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงเชื่อถือในฝีมือลิ่วต้าวจื่อ
ว่ากันว่าคนที่อาภัพอย่างลิ่วต้าวจื่อมีไม่น้อย แต่ก็มีไม่มาก
ฝูเจ๋อเคยได้ยินเพื่อนบ้านพูดถึงข่าวลือเกี่ยวกับลิ่วต้าวจื่อ มานำมารวมๆ กันก็พอจะคาดเดาได้บ้าง
ข่าวที่ว่าก็คือ ลิ่วต้าวจื่อในวัยหนุ่มมากด้วยฝีมือจนเป็นที่ต้องการของสำนักทงหลิงฮุ่ย แต่อยู่ๆ ก็ถูกเฉดหัวทิ้ง เมื่อหมดหนทางจึงมารับจ้างเขียนยันต์และซ่อมอาวุธวิเศษเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
อันที่จริงข่าวที่ว่าลิ่วต้าวจื่อเกี่ยวพันกับสำนักแห่งนี้ก็ออกมาจากปากเจ้าตัวเอง
แม้ว่าที่ซอยแห่งนี้จะไม่ค่อยพลุกพล่าน แต่ด้วยฝีมือของเขา ก็สามารถเลี้ยงชีพตนเองได้
สินค้าของเขาไม่ธรรมดา ไม่เคยบกพร่อง ราคาสมเหตุสมผล เช่นยันต์เคลื่อนย้าย แต่ไหนแต่ไรไม่เคยส่งผิดเป้าหมายเลย
เพียงแต่ว่าบางครั้งเขามักจะยื่นเงื่อนไขที่ค่อนข้างเกินเบอร์ไปนิดกับลูกค้า…
“ไอ้หนู เงินมาของไป ข้าให้เจ้าได้แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว! อย่ามาเว้าวอน รีบไปซะ เหล้าข้าจะหมดแล้ว!” เขาสะบัดชุดยาวสีกรมท่าขลิบดำ ก้มหน้ามองชายเสื้อที่ยับเพราะถูกฝูเจ๋อดึงรั้ง
เรื่องเว้าวอนออดอ้อนถือเป็นเรื่องถนัดของฝูเจ๋อ แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะใช้ไม่ได้ผล
คงต้องไปจริงๆ
ฝูเจ๋อกวาดเอาสินบนที่คิดจะให้ลิ่วต้างจื่อเก็บลงถุงหยินหยางและเดินออกไป
ชายวัยกลางคนมองดูชายหนุ่มที่เดินจากไป จริงๆ ก็อยากได้ของพวกนั้นนะ แต่ตำหนิบนของนี่สิ เขายังไม่อยากเดือดร้อนไปด้วย…
น่าเสียดาย
ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มจะรอดหรือไม่
“แล้วแต่ฟ้าลิขิตแล้วกัน อืม เปิดเหล้าไหใหม่ดื่มดีกว่า ก่อนที่จะไม่มีโอกาสดื่ม ฮ่าๆๆ…”
……
ฝูเจ๋ออาศัยอยู่คนเดียวบนยอดเขาลูกหนึ่งในยมโลก สิ่งที่เขาเรียกว่า’บ้าน’ แท้จริงแล้วคือหินก้อนสีดำที่ถูกเอามาทำเป็นที่พักอาศัย
บ้านหินนี้ตั้งอยู่บนยอดเขา มันมีสีดำสนิท เพราะถูกอาบด้วยเลือดสัตว์อสูรที่มีฤทธิ์ป้องกันการรบกวนจากภูตผีปีศาจ
ฝูเจ๋อหย่อนก้นนั่งลง เอามือชันคาง แล้วเหวี่ยงย่ามหยินหยางลงบนโต๊ะ
ฝูเจ๋อเปิดย่าม เทของวิเศษออกมามากมาย
ของวิเศษที่ออกมาจากถุงเมื่อกองรวมกันอยู่ก็เป็นภูเขาย่อมๆ ได้เลย
แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะพาเขาไปยังที่ที่อันตรายและน้อยนักที่จะสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย
“โอ๊ย ช่วยด้วย เมื่อไรท่านปู่จะมารับข้าไปเสียที…”
ฝูเจ๋อมีปู่อยู่คนหนึ่ง ว่ากันว่ามีนะ ปู่เคยอาศัยอยู่กับเขาที่ยอดเขานี้แหละ
นับแต่จำความได้ ฝูเจ๋อไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่ รู้แต่ว่าปู่ดีกับเขามาก จำได้ลางๆ ว่าปู่เป็นคนหล่อมาก และปู่สุดหล่อก็ไม่ชอบให้เขาเรียกปู่ว่าปู่
ต่อมาปู่ออกไปตามหาอะไรสักอย่าง ก็เลยฝากเขาไว้กับลิ่วต้าวจื่อ
เขาเจอปู่ตอนเจ็ดขวบ ปู่จากเขาไปตอนแปดขวบ
แน่นอนว่าก่อนจากไปเขาทิ้งสิ่งของที่ใช้ได้ไว้มากมาย ทำให้เขาไม่อดตาย
ปู่ไม่ใช่ปู่แท้ๆ ของฝูเจ๋อ เพราะเขาคือเด็กกำพร้าที่ปู่เก็บมาจากลำธาร จึงตั้งชื่อว่า ‘เจ๋อ’ ที่แปลว่าลำธาร
แต่ปู่ไม่เคยให้เขาใช้แซ่ ‘ฝู’ เรียกเขาว่า ‘เสี่ยวเจ๋อ’
ต่อมาเมื่อรู้ว่าปู่แซ่ฝู ก็ไปดึงแขนเสื้อปู่กะพริบตาปริบๆ
“ท่านปู่แซ่ฝู ถ้าเช่นนั้นเสี่ยวเจ๋อก็ต้องชื่อฝูเจ๋อ!”
ฝูเจ๋อจำได้ชัดเจนว่าปู่ชะงักไป ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ตอบรับ
เป็นแบบนี้ก็ดี ใช้แซ่เดียวกับปู่ จะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน
เขายังจำได้อีกว่า ตอนนี้ปู่มองออกไปไกลๆ ด้วยสายตากังวลและพึมพำว่า “ฝูเจ๋อ…เฮ้อ…”
ฝูเจ๋อไม่รู้ว่าทำไมปู่ต้องถอนหายใจ และก็ไม่อยากรู้ คืนนั้นเองที่ทั้งคู่คุยกันมากมาย
เช้าวันถัดมา ปู่ก็จากไป
ฝูเจ๋อที่ตื่นมาไม่เจอปู่ ก็คิดไปถึงสะพานที่แม่น้ำลืมเลือนว่าสามารถมองเห็นคนที่อยากเจอได้
และว่ากันว่าที่นั่นมีสาวน้อยขายน้ำชาอยู่ด้วย…
ช่างเถอะ ปู่ไม่เคยอนุญาติให้ใช้แซ่ของเขาด้วย ยังจะเรียกหาไปทำไม
นับแต่นั้นมา เขาก็อาศัยอยู่ตัวคนเดียว เขาตั้งชื่อให้ตนเองว่า ‘หลินชวน’ เพื่อเป็นบอกตนเองว่าวันหนึ่งเขาจะได้พบกับคนที่อยากเจอที่ริมแม่น้ำลืมเลือนสมดังความหมายของชื่อ…
หลังจากที่ปู่จากไปไม่นาน เขาก็เก็บดาบสนิมกรังที่มีนามว่าอวี่กวนได้ นับแต่นั้นมาเขาก็เริ่มท่องยุทธภพ…
อดีตยากจะหวนคืน
ฝูเจ๋อนึกย้อนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ก็เหมือนกับทุกครั้งที่ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายออกท่องเที่ยวเก็บประสบการณ์ แต่แค่โชคร้ายที่ไปเจอกับเทาเที้ย เพราะไม่ใช่แค่กินบ้านกับต้นไม้ แต่มันยังกินของวิเศษของเขาไปจนหมด เรียกว่าสูบดีกว่า
ในนั้นมีของอยู่ห้าชิ้นที่หลอกเอามาจากคนจากเทวโลกที่มายังยมโลกเชียวนะ ตอนนี้ไม่เหลือสักชิ้น เจ็บใจจริงๆ!
กำลังเจ็บใจอยู่ ความซวยก็มาเยือน เพราะหลังจากนั้นอยู่ๆ ทูตไต่สวนสองคนก็โผล่มา กำลังคิดว่าตนเองต้องตายก่อนวัยอันควรแล้วแท้ๆ อยู่ๆ ศัตรูของทูตไต่สวนก็โผล่ขึ้นมา
ความซวยต่อมาก็คือดันถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จนไปโผล่ในที่แปลกๆ
โผล่ไปที่ที่เขาเรียกกันว่าเป็นแดนฟ้าปิด แล้วอวี่กวนก็ดันไปแทงทูตไต่สวนเข้า…
ซ้ำร้ายแทงไปที่แผลเก่า…
คิดแล้วก็เสียใจจนอยากตาย เพราะดีไม่ดีชีวิตนี้อาจจะต้องถูกพวกเขาตามฆ่า ไม่ก็ถูกฆ่าตาย
แต่เขาก็ทำอะไรอวี่กวนไม่ได้ ใครใช้ให้เขากับมันเป็นเพื่อนตายกันล่ะ
แล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ อวี่กวนก็พาผ่ามิติกลับมาที่นี่
ทำเอาเขาคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแค่จินตนาการ
ถึงเวลาที่ต้องไปขอยันต์จากลิ่วต้าวจื่อ ไม่คิดว่าของที่ได้จากทูตไต่สวน แม้แต่อวี่กวนก็ไม่สามารถชำระจิตของเจ้าของที่ติดค้างมาได้
ลิ่วต้าวจื่อยังเตือนอีกว่า พวกเขาสามารถตามหามันได้จากจิตที่ตกค้างบนของวิเศษของเขา
ฝูเจ๋อกำลังตัดสินใจจะปาของพวกนี้ทิ้ง ก็นึกขึ้นได้อีกว่าเขายังพูดต่อ “ทางที่ดีอย่าเพิ่งทิ้งมันไป เก็บมันไว้เผื่อทำคุณไถ่โทษ…
ฝูเจ๋อพูดไม่ออก “…”
และหากอยากได้ยันต์เคลื่อนย้าย ก็ต้องไปเก็บผลอู่ซั่วมาให้ลิ่วต้าวขื่อหมักเหล้าก่อน
ผลอู่ซั่วไม่ใช่ของหายากและก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพียงแต่ถูกปากลิ่วต้าวจื่อเท่านั้น
เขาบอกว่าเหล้าที่หมักจากมันรสชาติเลิศสุดในปฐพี ฝูเจ๋อจึงหลอกแอบชิม ขมขนาดนั้นพูดมาได้เลิศสุดในปฐพี
ใครจะไปรู้ว่าผลอู่ซั่วกับลิ่วต้าวจื่อเกี่ยวข้องอะไรกัน ฟังชื่อดูจะเป็นเวรเป็นกรรมกันเสียมากกว่า
“เวรกรรม เวรกรรม”
เวรกรรมที่พาข้าซวยไปด้วย!
แต่คิดอีกที บางคนที่เดินทางมาไกลแต่กลับไปมือเปล่า ในขณะที่ตนเอาผลไม้มาแลกก็ได้ยันต์ คิดว่าก็เจ๋งไม่เบา
ที่ไม่ค่อยจะดีก็คือโบราณสถานรกร้างมันไม่ใช่ที่น่าไปเลย
ที่จริงเขาก็ถือว่าดวงแข็งนะ
เจอเทาเที้ย เจอทูตไต่สวนสองคนก็ยังไม่ตาย
เขาเอามือลูบไปตามกำแพงตะปุ่มตะป่ำ สัมผัสลื่นๆ ที่นิ้วไม่ได้ทำให้รู้สึกน่ารังเกียจ
ฝูเจ๋อค่อยๆ หลังตาลง
จะไปที่แบบนั้น ซ้ำยังไม่มีของวิเศษติดตัว ไม่รู้ว่าจะกลับมาได้ไหม…
อวี่กวนลอยมาหยุดในอ้อมแขนเขา ราวกับต้องการบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอดไป
เขารู้สึกได้ว่าอวี่กวนกำลังสั่นเทา ฝูเจ๋อค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น
“ข้าไม่กลัวหรอกน่า ข้าเป็นใคร มีอะไรบ้างที่ข้าทำไม่ได้! ไปกัน พวกเราไปที่นั่นกันเถอะ!”
……
ณ แดนฟ้าปิด
ทูตไต่สวนในชุดดำขยับตัว หมวกปีกบานไม่สามารถปิดบังดวงตาอันงดงามของเขาได้ เจียงจู้ยังคงตกใจ ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนวางแผนนี้
เขากับฝูเจ๋อพยายามหลบจากคนพวกนั้น แต่ก็หนีไม่พ้น……
ไหนจะกระบี่ที่พึ่งพาไม่ได้เล่มนั้นอีก น่าจะจับลงอาคมให้สิ้นฤทธิ์ให้กลายเป็นแค่กระบี่ขึ้นสนิมไปเสียเลยก็ดี
แล้วก็ พักนี้ ฝูเจ๋อดูอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เจียงจู้ขมวดคิ้ว แล้วก็คิดได้ว่าฝูเจ๋อไม่ชอบหน้าตาของตนเช่นนี้ อยู่ๆ เขาก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นจนต้องเลิกขมวดคิ้วและยิ้มขึ้น…
อยู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นนั่ง แรงลุกทำเอากระทบถึงบาดแผล เสียง ‘แคว่ก’ ดังขึ้น
เจียงจู้ยกมือที่อ่อนเยาว์ขึ้นสำรวจบาดแผล ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้สัมผัสชุดทูตไต่สวนมานานแล้ว…
……
เพิ่งจะออกมาจากประตูบ้าน ฝูเจ๋อก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
เมฆดำทะมึนทางทิศตะวันตก วันนี้ไอจันทราหนาเป็นพิเศษ ฝูเจ๋อดูเหมือนจะลืมอะไรบางอย่าง
เขาตบหัวตัวเอง “อ๋อ ลืมได้อย่างไรเนี่ย พรุ่งนี้เป็นวัน 15 ค่ำเดือน 7”
วันปล่อยผีเป็นวันที่เปิดประตูผีให้บรรดาเหล่าวิญญาณกลับขึ้นไปบนโลกมนุษย์ วันนี้ในยมโลกจะวุ่นวายมาก
ปีหนึ่งจะมีหนึ่งวันที่เป็นเช่นนี้ ฝูเจ๋อเคยไปเที่ยวบนโลกในวันนี้อยู่หลายครั้ง ก็ไม่มีอะไรพิเศษ ปีนี้ไม่รู้ว่าจะไปอีกดีไหม
ทุกปีในวันนี้คนเหล่านั้นจะวุ่นกันมาก ปีนี้จะไปช่วยดีไหมนะ…พอคิดถึงคนเหล่านั้นที่ป้ำๆ เป๋อๆ เขาก็อดขำไม่ได้
เขาเองก็ลืมไปแล้วว่าตอนนี้ตนเองไม่มียันต์เคลื่อนย้าย
โบราณสถานรกร้างตั้งอยู่มี่เขตแดนระหว่างสองโลก อึม…ไปที่นั่นในวันปล่อยผี…
ชั่งน้ำหนักดูแล้ว อย่าเพิ่งไปที่นั่นจะดีกว่า
นั่งอยู่ในบ้านคนเดียวเฉยๆ ก็น่าเบื่อ คิดไปคิดมา ไปหาเรื่องพูดคุยกับลิ่วต้าวจื่อดีกว่า
ว่าแล้วฝูเจ๋อก็พาอวี่กวนออกจากบ้านไป
คอมเมนต์