ขอเพียงอ้อมกอด ตอนที่ 6

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 6 แผนระยะยาว

ผีไม่ต้องกินอาหาร เป่าซ่านเก๋อจึงไม่ได้มีไว้เพื่อบริการอาหารการกิน แต่มีไว้เพื่อเป็นที่จำเพาะสำหรับเครื่องเซ่น
และยังเป็นสถานที่สำหรับพบปะพูดคุยของผีชั้นสูงด้วย
แน่นอนว่าไม่มีใครปฏิเสธเครื่องเซ่นไหว้ของที่นี่ และที่นี่ก็ยังมีสถานที่จำเพาะสำหรับให้การต้อนรับแขกจากภพภูมิอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
แต่ว่าฝูเจ๋อไม่ชอบที่นี่ กลิ่นธูปและควันเทียนสีขาว ใครจะไปชอบ?
อู๋เลี่ยงนั่งอยู่ทางขวาของซือเหลียง หรี่ตามองหนุ่มน้อย อายุยังน้อย น่าจะประมาณสิบห้าสิบหกปี ชุดนักรบสีดำที่ดูเหมือนจะหลวมไปคลุมอยู่บนร่าง ที่เอวคาดกระบี่ขึ้นสนิมเล่มหนึ่ง หน้าตาดี ผมที่ยาวถูกรวบขึ้นแต่ไม่ได้เกล้าเป็นมวย ที่น่าสังเกตคือเด็กคนนี้ดูจะเป็นคนง่ายๆ สบายๆ
สบายจนอยากจะอัดเข้าให้สักหมัด…
ดูแล้วก็คล้ายๆ กับลิ่วต้าวจื่อ ไม่สนใจอะไร คุยด้วยยาก
ฝูเจ๋อนั่งลงในท่าที่คิดว่าตนสบายที่สุด
ทั้งสองคนก็ไม่ได้ว่าอะไร ทั้งสามอยู่ในท่านั่ง ส่วนหวังหงยืนอยู่ทางด้านหลังอู๋เลี่ยง
หวังหงยืนงง สามคนนี้กำลังเล่นเกมทายปริศนากันหรืออย่างไร บรรยากาศชวนให้ผีอึดอัดนัก!
ตอนนี้จำเป็นต้องมีคนคนหนึ่งเริ่มทำลายความเงียบ
หวังหงไม่กล้านั่งลง เขาจับเข็มขัดดึงขึ้น ยิ้มและพูดว่า
“หลินชวน วันนี้ใต้เท้าทั้งสองมีเรื่องจะปรึกษาลิ่วต้าวจื่อ เจ้าช่วยบอกหน่อยสิว่า ต้องทำอย่างไรเขาถึงจะยอมตกลงด้วย?”
ด้วยความที่มีผู้ที่ใหญ่กว่าถึงสองคนอยู่ด้วย หวังหงจึงต้องเกรงใจฝูเจ๋อเป็นพิเศษ
ฝูเจ๋อเล่นผลไม้บนโต๊ะ ดูเหมือนว่าจะถูกเซ่นไหว้มาจากศาลเจ้าสักศาลหรือวัดใดวัดหนึ่ง มันส่งกลิ่นหอมกำจาย
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผี แต่ที่แปลกคือเขาสามารถสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้ เช่นเดียวกับการที่เขาสามารถมองเห็นภูตและวิญญาณที่คนปกติไม่มีทางมองเห็น
แต่ ‘คน’ ของที่นี่ มักจะมีไอจันทรา อยู่รอบตัว หากคนบอกโลกเห็นเข้าก็จะต้องพากันร้องว่า “ผี! ผีหลอก! ช่วยด้วย!” อะไรทำนองนี้
“หลินชวน?” หวังหงร้อนใจ ใต้เท้าสองคนนี้ไม่ใช่ว่าผีอย่างเขาจะล่วงเกินได้
แต่คนที่ถูกเรียกก็ยังเฉยเมย

หวังหงกระซิบที่ข้างหูฝูเจ๋อ
“เจ้าหนู ใต้เท้าทั้งสองมาจากกองงานเวียนว่ายตายเกิด หากเจ้ายังทำเฉย ระวังไว้เถอะ แค่พวกเขากระดิกนิ้ววิญญาณเจ้าก็หลุดจากร่างได้ตายจริงๆ แน่!”
กองงานเวียนว่ายตายเกิด?
ฝูเจ๋อหยิบแอปเปิ้ลขึ้นมากัด เขาเงยหน้าขึ้นมอง ซือเหลียงดูค่อนข้างเป็นมิตร แม้จะไม่ค่อยยิ้มแต่ก็ไม่รู้สึกว่ามีระยะห่าง ในขณะที่อู๋เลี่ยงนั้น ดูก็รู้ว่าหวังหงเองก็อยากจะอัดเจ้านี่อยู่เหมือนกัน
ฝูเจ๋อกินแอปเปิ้ลพลางจ้องหน้าซือเหลียงที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
หวังหงเห็นดังนั้นก็คิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้คงกำลังมีแผนการในใจ เขาออกไปน่าจะดีกว่า จึงขอตัวจากหัวหน้าทั้งสองและออกมาเฝ้าที่หน้าประตู
อู๋เลี่ยงมองดูฝูเจ๋อที่เอาแต่จ้องมองน้องสาวเขาจนน้ำลายย้อย เขาเห็นดังนั้นก็โกรธจัด
เจ้าบ้า! ไปมองน้องเขาทำไม! อยากโดนควักตาหรือจับโยนลงนรกขุม 18 หรืออย่างไร! อู๋เลี่ยงอดกลั้นราวกับว่าอีกวินาทีเดียวฝูเจ๋อจะต้องจะโดนกระชากวิญญาณโยนลงไปให้สุนัขนรกกิน
รอฝูเจ๋อกลืนแอปเปิ้ลจนหมดลูก ก็บิดขี้เกียจและหันมาหาอู๋เลี่ยง
“ที่พวกเจ้ามาหา ก็คงเพราะว่ามีเรื่องจะขอร้องท่านอาลิ่วต้าวจื่อ ข้าอยู่กับเขามาหลายปี รู้นิสัยเขาดีที่สุดว่าจะทำอย่างไรให้เขาตอบตกลง”
อยู่ๆ เขาก็หยุดพูด อู๋เลี่ยงดูเหมือนจะใกล้หมดความอดทน…
ฝูเจ๋อเห็นท่าทางอู๋เลี่ยงก็ยิ้มขึ้น
“จะให้ข้าช่วยพวกเจ้าก็ไม่ยาก แต่ว่า ข้าเป็นแค่คนธรรมดา ตอนนี้ยังมีเรื่องลำบาก…”

“จะเอาอะไร! รีบบอกมา นวยนาดน่ารำคาญ เป็นผู้ชายหรือเปล่า!” แม้จะอดกลั้นแล้วก็ตาม แต่น้ำเสียงอู๋เลี่ยงก็ยังคงฟังดูเกรี้ยวกราด

ซื่อเหลียงหันไปกะพริบตามอง ไม่รู้ว่าวันนี้อู๋เลี่ยงกินอะไรมา ถึงได้ทำกิริยาเช่นนี้ น่าอายเสียจริง…
อู๋เลี่ยงรู้ได้ทันทีว่าน้องสาวเขากำลังตำหนิเขาด้วยสายตา
อู๋เลี่ยงตบโต๊ะดังปัง เขาพยายามไม่หันไปมองฝูเจ๋อ เพราะกลัวจะเผลอไปฆ่าเขาเข้า
อึดอัด
“ไม่ต้องอะไรมาก ให้ตำแหน่งข้าสักตำแหน่งก็พอ”
สำหรับหวังหงจอมเจ้าเล่ห์ ถ้าไม่ใช่เพราะโชคช่วย เขาก็คงไม่มีวันนี้ การได้ตำแหน่งเล็กๆ ในยมโลกก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
และถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะได้ไปที่แม่น้ำลืมเลือนทุกวันด้วย…
ซือเหลียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ ข้อเสนอนี้น่าสนใจ หลังจากเสร็จงาน พวกเราสามารถช่วยให้เจ้าพอมีตำแหน่งที่เหมาะสมได้”
คนสวยใจใหญ่ดีจริง!
เมื่อได้รับคำรับรอง ฝูเจ๋อก็เลิกเก๊กท่า
“ตกลง! แต่ว่าต้องบอกก่อนนะ หนึ่ง ข้าอาจช่วยไม่สำเร็จ เพราะพวกท่านก็รู้นิสัยของลิ่วต้าวจื่อดี สอง ถ้าหากสำเร็จ ท่านทั้งสองต้องเก็บเป็นความลับ”
ถ้าทุกคนรู้กันหมดว่าลิ่วต้าวจื่อชอบดื่มเหล้าหมักผลอู่ซั่ว ฝูเจ๋อก็คงหมดประโยชน์
ทั้งสองพยักหน้าตอบรับข้อเสนอของฝูเจ๋อ
ฝูเจ๋อพูดต่อ
“อย่าหาว่าข้าสอดรู้ ท่านต้องการให้เขาช่วยอะไรกันแน่? ยมโลกกว้างใหญ่ คนมีฝีมือมากมาย ทำไมต้องลำบากพวกท่านมาตามหาคนในที่เช่นนี้?”
ซือเหลียงเหล่มองอู๋เลี่ยง เป็นการถามด้วยสายตาว่าจะพูดเรื่องนี้ได้หรือไม่ อู๋เลี่ยงหัวเราะเบาๆ และตบเบาๆ ไปที่มือนาง
ตอนนี้อู๋เลี่ยงหายโกรธแล้ว แต่กลับกลายมาเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายขึ้นมาเฉยๆ
“ซือเหลียง ให้ข้าพูดเอง”
เขาเป็นพี่ที่รักน้องสาวมาก
ซือเหลียงชักมือกลับและยังคงนั่งหน้านิ่งเช่นเดิม
“ก่อนที่ข้าจะบอก เจ้าต้องรู้ไว้ก่อนว่าเรื่องนี้ห้ามนำไปบอกใครเด็ดขาด หากความลับรั่วไหล ไม่เพียงแต่เจ้า แม้แต่พวกข้าก็ไม่รอดเช่นกัน”
ฝูเจ๋อพยักหน้า เขาจึงพูดต่อ
“เจ้าชื่อหลินชวนใช่ไหม ข้าชื่ออู๋เลี่ยง ส่วนนี่ซือเหลียง พวกเราเป็นรองหัวหน้ากองงานเวียนว่ายตายเกิดประจำตำหนักสาม เพราะว่ามีเรื่องที่ต้องใช้ยันต์เคลื่อนย้ายจำนวนหนึ่งจึงต้องมาหาลิ่วต้าวจื่อ คิดไม่ถึงว่านับวันอารมณ์เขาจะยิ่งแปรปรวน…”
“พวกท่านสนิทกับลิ่วต้าวจื่อ?”

“อ้าว เจ้าไม่รู้หรือ? เมื่อก่อนเขาเป็นหัวหน้าของตำหนักสอง ไม่รู้ว่าทำไมถึงลาออก พวกเรารู้จักกัน แต่ได้ยินมาว่ามีเจ้าหน้าที่เคยมาขอยันต์จากเขา แต่ถูกปฏิเสธ อีกอย่างเขาก็ไม่ตอบสารจากข้า จึงต้องมาด้วยตัวเอง”
“พรุ่งนี้เป็นวันปล่อยผี หลังวันงานก็จะงานยุ่งมาก คงไม่มีเวลามา เราสองตนจึงต้องรีบมาก่อน เห็นว่าเจ้าสนิทสนมกับเขา เลยอยากให้เจ้ามาช่วย”
อู่เลี่ยงไม่ชอบอ้อมค้อม ในเมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
ข่าวสารเหล่านี้ฝูเจ๋อคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าลิ่วต้าวจื่อจะเป็นคนของตำหนักพญายม และยังเป็นถึงหัวหน้าอยู่ในตำหนักสอง ตำแหน่งของเขาใหญ่พอๆ กับมัจจุราชตำหนักหนึ่งเลยนะนั่น!”
“ฟังคำพวกท่านแล้วข้าชักไม่แน่ใจว่าเขาจะยอมช่วยพวกท่านหรือไม่ เอาแบบนี้ ข้าจะกลับไปลองคุยดูก่อน อีกหนึ่งชั่วยามจะกลับมาหาพวกท่าน”

หลังจากพูดคุย แม้ว่าต่อหน้าฝูเจ๋อจะรับปากตอบตกลง แต่ในใจกลับรู้สึกหวั่นๆ หลังจากพูดคุยรายละเอียดกันอีกนิดหน่อย ฝูเจ๋อก็จากไป
เมื่อฝูเจ๋อไปแล้ว อู๋เลี่ยงเตรียมจะเก็บเขตอาคม ซือเหลียงห้ามเขาไว้และถามคำถามที่อยู่ในใจ
อู๋เหลียงรู้ว่าถ้าไม่อธิบายให้ชัดเจน คงยากที่จะทำงานร่วมกัน
“ซือเหลียง เจ้าไม่ไว้ใจข้าหรือ? หลินชวนมีชื่อจริงว่า ‘ฝูเจ๋อ’ แซ่ฝูหมายถึงใครเจ้ารู้ดี ลิ่วต้าวจื่อยินดีช่วยเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าคิดว่าเขาจะเป็นแค่คนธรรมดาหรือ? คิดง่ายๆ เขาสามารถได้รับการช่วยเหลือจากลิ่วต้าวจื่อ เหตุผลนี้ก็เพียงพอแล้ว”
“แต่เจ้าไม่ควรโกหกเขา”
“โอ๊ยๆๆ ทำไม สงสารหรือ?” อู๋เลี่ยงหยอกน้องสาว
ซือเหลียงก่ายหน้าผาก คู่หูคนนี้วันๆ คิดอะไร “มันเกี่ยวพันกับท่านหัวหน้าคนก่อน แล้วก็อย่างที่เจ้าพูด แซ่ฝู ไม่ใช่คนธรรมดา”
อู๋เลี่ยงแค่ตอบว่า “อืม” แล้วไม่พูดอะไรอีก
โกหกหรือ? ก็ไม่เชิง แค่บอกไม่หมดเท่านั้นเอง
ฝูเจ๋อกลับมาถึงจิ้งยินเก๋อ ลิ่วต้าวจื่อเพิ่งจะซ่อมอาวุธวิเศษเสร็จ เป็นกระบี่สั้น ดูท่าจะใช้มาหลายปีแล้ว ขนาดฝีมือระดับเขาก็ยังไม่สามารถแก้ไขร่องรอยการผ่านศึกออกไปได้จนหมด
ลิ่วต้าวจื่อเห็นเงาที่ประตูก็หยุดงานในมือ เขาไม่ทักทาย เพียงแต่โยนของส่งไปให้ฝูเจ๋อ
“เจ้าหนู ของซ่อมเสร็จแล้ว เจ้าเอาไปเก็บไว้ที่ตู้ที”
อยู่ๆ ก็ถูกใช้ราวกับคนใช้ แต่เขาก็ไม่โกรธ ซ้ำยังเอาไปเก็บถูกที่ด้วยความเคยชิน
“ท่านอา เมื่อครู่มีใครมาท่านรู้ไหม?”
“รู้”
“แล้วทำไมไม่ออกไปพบเพื่อนเก่าหน่อยล่ะ? คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีคนของตำหนักพญายมด้วย ไม่รู้ว่าลูกกระจ๊อกอย่างข้าจะพอมีวาสนาได้ดีเพราะอยู่กับคนสำคัญไหมนะ”
“ข้าขอเตือนเจ้า ว่าให้อยู่ห่างจากพวกเขา บางเรื่องเจ้าไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
ฝูเจ๋อผายมือสองข้างออก “ยุ่งไม่ได้ก็หนีสิ พูดไปแล้วก็เป็นเพราะท่านนั่นแหละ เจ้าอู๋เลี่ยงบอกข้าว่าถ้าไม่ช่วยจะดึงวิญญาณข้าออกมา ข้ายังหนุ่มยังแน่น จะมาตายง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้นะ!”
ยุคนี้ต่อให้อยู่เฉยๆ ก็มีคนนำปัญหามาให้ได้
ต่อให้วันหนึ่งต้องตาย ก็ไม่ควรมาตายแบบนี้
ลิ่วต้าวจื่อเลิกคิ้วและยังคงนิ่งเฉย
ฝูเจ๋อพูดต่อ “ข้าได้ความมาว่าพวกเขาต้องการยันต์เคลื่อนย้าย ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน ไปทำอะไรกัน”
“ยันต์เคลื่อนย้าย? พวกเขาจะไปไหนกัน?!” ลิ่วต้าวจื่อสะดุดใจกับคำพูดนี้
“ไม่รู้สิ ข้าถึงได้กลับมาถามท่านนี่ไง”
ฝูเจ๋อออกแรงสลัดตัวจากมือลิ่วต้าวจื่อ ในใจคิดว่า ‘ปกติเขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ แต่อาการตกใจเช่นนี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก พวกเขามีอะไรกันแน่ ทำไมดูลึกลับจริง’
ลิ่วต้าวจื่อครุ่นคิดอยู่ราวชั่วเวลาธูปหนึ่งดอก เขาก็เหาะออกไปและไม่ลืมที่จะสั่งให้ฝูเจ๋อช่วยเฝ้าร้าน
ลิ่วต้าวจื่อจากไปอย่างรีบร้อน เหาะออกไปอย่างรวดเร็วจนลมพัดชายเสื้อฝูเจ๋อปลิวขึ้น และตอนนี้ก็เหลือเขาคนเดียวที่ยืนอยู่หน้าร้านที่กำแพงด้านข้างกองเต็มไปด้วยกระบุงและกองกระดูกสัตว์อสูรที่มีไว้ขับไล่สิ่งอัปมงคล
ชายหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกที่ยืนอยู่ระหว่างประตูที่แง้มไว้ครึ่งบาน ดวงตาสดใสยืนหลังตรง มันช่างเข้ากันกับสภาพแวดล้อมรอบตัวเสียเหลือเกิน…
—————————————————————-

คอมเมนต์

Chapter List