ขอเพียงอ้อมกอด ตอนที่ 8
บทที่ 8 ผีงูครึ่งท่อน
ฝูเจ๋อติดตามผีน้อยสองตนผู้เพิ่งประสบโศกนาฏกรรมมาจนถึงปากถ้ำแห่งหนึ่ง
วิญญาณสัตว์เดรัจฉานหลังจากตาย มักจะกลับไปที่ที่เคยอาศัยอย่างเช่นถ้ำ
หากเป็นคนตายไป วิญญาณก็มักจะกลับไปที่บ้าน แน่นอนว่าตอนยังมีชีวิตก็ต้องมีบ้านเสียก่อน
ผีสองตนคุยกันมาตลอดทาง ต้องบอกว่าที่บ่นมาตลอดทางคืองูครึ่งท่อนที่ชื่อ ‘อาย่วน’ นั่นแหละ
จากบทสนทนาทำให้ฝูเจ๋อรู้ว่า ธารฉ่านหมิงเป็นสถานที่อันตราย ภูติผีชั้นต่ำไม่กล้าเฉียดกราย ส่วนผู้ที่มีวิชาบ้างก็ต้องมีเครื่องมือติดตัวไปด้วยจึงจะกล้าเข้าใกล้
ส่วนเจ้าหัวจิ้งจอกมีชื่อว่า ‘อาฉี่’ ตั้งแต่ตอนมีชีวิตจนกระทั่งตายเป็นผีก็อยู่กับงูครึ่งท่อนผู้ถูกเย้ยหยันมาโดยตลอด
อาย่วนบอกว่า เขาเป็นจิ้งจอกที่จิตใจดีที่สุด
เขาไม่ควรจะไปตามหา ‘ยินหลิงจือ’ ที่ธารฉ่านหมิง หางที่เหลือครึ่งท่อนของเจ้างูน่าจะทำให้เขาเข้าใจ
เขาควรจะบำเพ็ญตบะหรือไปเกิดใหม่ จิ้งจอกที่แสนดีขนาดนี้ ถ้าไปเกิดใหม่ก็ต้องได้ไปเกิดที่ดีๆ อย่างน้อยก็ดีกว่ามาอยู่กับงูครึ่งท่อนอย่างเขา
อาฉี่ไม่เอื้อนเอ่ย ไม่โต้ตอบ
อาย่วนก็ไม่รู้ว่ารู้จักกับอาฉี่ตั้งแต่เมื่อไร เมื่อไรกันนะ?
รู้แต่ว่าเคยชินกับการตามติดของจิ้งจอกสีแดง แต่เล็กแต่น้อยก็ชอบตามเขาไป
อย่าคิดว่าข้ามีแค่ครึ่งท่อนแล้วจะไม่กล้ากินเจ้านะ! อาย่วนพูดกับจิ้งจอกน้อย
จิ้งจอกน้อยก็เอาแต่ส่ายหัว
ต่อมา พวกบรรดาฝูงงูในถ้ำก็ล้อเลียนเขาว่าเป็น ‘งูพิการ’ ที่ต้องมี ‘องครักษ์จิ้งจอก’ คอยดูแล
อาย่วนโกรธมาก
ต่อจากนั้นเป็นอย่างไร เขาก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ จิ้งจอกน้อยที่ติดตามเขาเหลือเพียงแต่ส่วนหัว ส่วนตัวที่หายก็ไม่รู้ยังอยู่หรือถูกเขมือบไปหมดแล้ว
เดินมาจนถึงที่ลับสายตา มีกอหญ้าสูงประมาณหนึ่งเมตร อาย่วนหากอนุ่มๆ วางหัวจิ้งจอกน้อยลงอย่างเบามือ
“อาฉี่ ที่นี่ไม่มีใครแล้ว รีบบอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น! บอกมาตอนนี้บางทียังอาจจะไปช่วยนำตัวเจ้ากลับมาทัน”
ยังไม่ทันพูดจบ ฝูเจ๋อก็พูดแทรกขึ้นมา
“บังเอิญว่าข้าผ่านมาพอดี”
ธารฉ่านหมิงแม้จะเป็นสถานที่อันตราย แต่ของวิเศษก็มีมากมายเช่นกัน ของวิเศษมีมาก อวี่กวนก็กินได้อิ่มขึ้น พอกินอิ่มก็จะได้ไม่แสดงสีหน้าท่าทางใส่เขา ถ้าเกิดได้เจอของวิเศษระดับสูง อวี่กวนอาจจะดีใจ เขาก็พลอยจะโชคดีไปด้วย
ฝูเจ๋อคิดฝันหวาน ก่อนจะไปโบราณสถานรกร้าง ก็แวะที่ธารฉ่านหมิงดูหน่อย เขายังไม่เคยไปที่นั่นเลย
เสียงที่ดังแทรกขึ้นมาทำเอาอาย่วนตกใจตนเกือบจะโยนหัวจิ้งจอกทิ้งลงไป
อาย่วนครุ่นคิดว่าทำไมถึงมีคนโผล่มาได้ ซ้ำยังจะตามไปที่ธารฉ่านหมิง
สัตว์เดรัจฉานกลายเป็นภูต แต่สัตว์ก็คือสัตว์ สติปัญญาไม่ได้มากตามไปด้วย
ได้ยินว่ามีคนอยากจะไปด้วย อาย่วนคิดว่า คงจะมีแต่งูโง่ๆ ถึงจะปฏิเสธ
ฝูเจ๋อก็แค่อยากให้มันนำทางไป
จิ้งจอกได้ยิน ก็หรี่ตาลง สองหูหงายผึ่ง
อาย่วนหัวเราะ “ดีเลย รีบไปกันกันเถอะ!” เขาอยากจะรีบไปนำส่วนตัวของจิ้งจอกกลับมา ยิ่งนานก็ยิ่งอันตราย
มีเพียงเขาที่รู้ว่า การเป็นกายภูตกับวิญญาณพิการไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไร
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถ้าไปเกิดใหม่ก็จะมีรูปร่างพิการเช่นเดิม
ยอมล่องลอยในยมโลก ดีกว่าไปเกิดใหม่ให้เขาเฉดหัวทิ้ง
ยังดีที่จิ้งจอกมาอยู่ด้วยกับเขา
ฝูเจ๋อผายมือออกแสดงท่าทางเชื้อเชิญ
จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ใช่คนมีมารยาทสักเท่าไร แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอยากหยอกล้อกับงูตัวนี้
หูจิ้งจอกน้อยขยับขึ้นลงไปมา
อาย่วนดีใจขนาดหนัก ยิ้มจนปากจะฉีกถึงหู เขาใช้หางพันเข้าที่ชายเสื้อของฝูเจ๋อเพื่อให้รีบเดิน
ไปด้วยกัน
ก่อนไปยังไม่ลืมกำชับ “อาฉี่ เจ้าอย่าซี้ซั้วไปไหนนะ ที่นี่ปลอดภัยจากสัตว์อสูร รอข้าอยู่นี่นะ”
จิ้งจอกน้อยกะพริบตารับทราบ
แต่อาย่วนไม่เห็นว่า ที่หางตาของจิ้งจอกน้อยมีรอยเปียกอยู่ด้วย
อาย่วนเลื้อยไปสักพักก็เริ่มรู้สึกว่าหางที่พันชายเสื้อฝูเจ๋ออยู่สร้างความลำบาก หันกลับไปมองเขาก็ไม่ได้มีท่าทีจะวิ่งหนี จึงยอมคลายหางออก
ฝูเจ๋อพูดขึ้น “นี่ เจ้าชื่ออาย่วนใช่ไหม?”
อาย่วนตกใจ “เจ้าฟังภาษาข้าออกด้วยหรือ?”
เขาเป็นแค่ผีระดับล่าง ยังไม่ได้เรียนรู้ภาษาคน พูดได้แต่ภาษาสัตว์ แต่ว่าฟังคนพูดกันเข้าใจ เมื่อครู่มัวแต่กังวลเรื่องร่างของอาฉี่ เลยไม่ได้สนใจเรื่องนี้
มิน่าอาฉี่ถึงทำหูแปลกๆ
ฝูเจ๋อคิดไม่ถึงว่าเจ้างูไม่ได้พูดภาษาคน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงฟังภาษาสัตว์เข้าใจ เพื่อที่จะไม่ให้เขาระแวง จึงพูดปัดไปว่า
“เมื่อก่อนเคยมีคนสอนภาษาสัตว์ให้ข้าไว้ป้องกันตัว มนุษย์อย่างเราไปมาที่นี่ มีวิชาเพิ่มก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย”
อาย่วนพยักหน้า เขาก็แค่งูพิการ ไม่มีอะไรให้อยู่แล้ว จะกลัวอะไรอีก !
“ข้าเชื่อใจเจ้า ไม่ว่าเข้าจะไปที่นั่นเพื่ออะไร ข้าขอแค่ร่างของอาฉี่ นอกนั้นเป็นของเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าห้ามทำร้ายข้าเป็นอันขาด!”
งูตัวเขียวแลบลิ้นสีแดงฉานแทนคำเตือน
ไม่คิดว่าแม้วิญญาณจะไม่สมประกอบ แต่พละกำลังไม่ได้ด้อยไปเลย มิน่าถึงยังอยู่ได้จนบัดนี้
ฝูเจ๋อยิ้มจนเห็นลักยิ้มเล็กๆ พูดด้วยน้ำเสียงใจดี “ตามนั้น”
อย่าคิดว่าอาย่วนจะเป็นงูที่ดุร้าย หลายครั้งที่เขาไม่ค่อยระวังตัว ดีที่ได้จิ้งจอกน้อยคอยเตือน ถึงอยู่รอดมาได้จนทุกวันนี้
หนึ่งคนหนึ่งสัตว์พากันเดินหน้าต่อไป
เมื่อใกล้จะถึงป่าหมื่นผี อาย่วนก็เริ่มเร่งความเร็ว
ฝูเจ๋อขมวดคิ้วแต่ไม่พูดอะไร ยังคงตามเขาไป
เมื่อเข้าไปที่ป่าชั้นกลาง ก็เป็นที่โล่ง ไม่มีกองกระดูก ไม่มีต้นไม้ และไม่มีอะไรเลย
มีแค่พื้นดินกับหลุมเต็มไปหมด
ภาพตรงหน้า ทำให้ฝูเจ๋อนึกขึ้นได้ หลายครั้งที่เขาใช้ของวิเศษผ่ามิติไปโผล่ในที่แปลกๆ มันก็คือที่นี่…
การข้ามมิติของเขาครั้งก่อน ระยะทางไม่ไกล อัตราเสี่ยงอันตรายมีไม่มากนัก ประกอบกับมียันต์เคลื่อนย้ายเป็นตัวช่วย การไปมาระหว่างยมโลกกับมนุษยโลกเลยไม่เป็นปัญหา แต่ในเวลาจำเป็น ต้องสร้างค่ายกลเพื่อเคลื่อนย้าย นี่คือปัญหาที่สร้างความลำบากให้เขา
แต่ถึงกระนั้น หากโชคร้ายเจอกับทูตไต่สวน ก็อาจถูกจับส่งไปขังที่มิติอันไกลโพ้น
มิติอันไกลโพ้นคืออะไร? ไกลแค่ไหน? ก็คือที่ที่ถ้าเจ้าซี้ซั้วเข้าไปในประตูมิติอื่น ก็จะไปโผล่ที่ไหนที่แม้แต่ทูตไต่สวนก็ไม่รู้เช่นกัน เหมือนกับครั้งก่อนที่ไปโผล่ที่แดนฟ้าปิด
พวกเขารู้แค่วิธีปกป้องกฎเกณฑ์แห่งการข้ามมิติเท่านั้น
“นี่ เจ้าน่ะ ที่ว่าประตูทางเข้าธารฉ่านหมิง คงไม่ใช่ที่นี่หรอกนะ”
อาย่วนพยักหน้า “ใช่สิ ได้ยินว่าที่นี่สามารถไปถึงที่นั่นได้ เมื่อก่อนมีเจ้าเสือดาวขี้ขลาดตกลงไป โผล่มาอีกทีนี่กลายเป็นคนละตัวเลย! เห็นเขาบอกว่า ที่นั่นมีของล้ำค่ามากมาย จิ้งจอกน้อยของข้าได้ยินก็เลยกระโดดลงไปบ้าง”
“เขาจะเข้าไปหาของวิเศษ เพื่อมาช่วยวิญญาณที่ไม่สมประกอบของเจ้า?” ฝูเจ๋อนับถือในน้ำใจจิ้งจอกน้อย
อาย่วนตอบอย่างภูมิใจ “ใช่! ให้มันรู้เสียบ้างว่าเพื่อนใคร!”
พูดจบก็กระดิกหางครึ่งท่อนไปมา
ธารฉ่านหมิงมีของวิเศษหรือไม่ ฝูเจ๋อรู้อยู่แก่ใจ แต่เขายังมีคำถามมากมาย ไม่ถามให้เข้าใจ จะพรวดพราดลงไปได้อย่างไร
คิดไปถึงครั้งก่อนที่เจอกับเทาเที้ยแล้วก็ยังขนลุกไม่หาย
กฎเกณฑ์ในยมโลกไม่ได้มากมายเหมือนเมืองมนุษย์ ใครจะไปโผล่ที่ไหนไม่มีใครควบคุมหรือสนใจ จึงไม่มีใครคอยควบคุมดูแล และที่นี่ไอจันทราก็เบาบาง ไม่เหมาะกับเหล่าผู้อาศัยในยมโลก จึงไม่ค่อยมีใครมาที่นี่
ฝูเจ๋อหาพื้นดินที่ราบเรียบนั่งลง เขายกมือขึ้นลูบเกล็ดงูที่ลื่นมันพร้อมสีหน้าที่ไม่เข้าใจ “แต่เท่าที่ข้ารู้มา การที่จะทำให้ค่ายกลของที่นี่ทำงาน จำเป็นต้องใช้ตัวช่วยจากโลกอื่น เช่นของวิเศษหรือยันต์อะไรพวกนี้ วิญญาณอย่างเจ้ามีของพวกนั้นด้วยหรือ?”
พูดจบก็ต่อท้ายอีก “อ้อ เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้จะแย่งของมาจากเจ้า แค่สงสัย ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องบอกก็ได้”
เจ้างูขดตัวไปมา ครุ่นคิดสักพัก เขาเห็นว่าฝูเจ๋อไม่ได้มีทีท่าเหมือนพวกผีร้าย จึงแลบลิ้นอธิบาย
ที่แท้หลายปีก่อนเจ้าเสือดาวตัวนั้นบังเอิญได้น้ำยาสีแดงมา ว่ากันว่าเพียงแค่หยดเดียวก็สามารถทำให้ค่ายกลทำงาน อาย่วนบอกว่าอาฉี่สู้กับเจ้าผีเสือดาวจนชนะ ก็เลยได้มันมา
เจ้าเสือดาวยังกำชับอีกว่า ธารฉ่านหมิงอันตรายมาก ถ้าไม่เข้าตาจนอย่าไปเลยจะดีกว่า
ต่อมามีแมวป่ารู้เรื่อง ก็บอกว่าเจ้าเสือดาวไม่อยากเห็นใครได้ดี ก่อนนั้นตนเองพิการ ตอนนี้กลับมาเป็นปกติ ก็เลยไม่อยากเห็นใครดีกว่า!
อาย่วนแม้จะไม่ใช่คนขี้ระแวง แต่ก็เห็นว่าเจ้าแมวพูดก็ไม่ถูกนัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไป อาฉี่ก็เช่นกัน
การถูกถามคำถามจากฝูเจ๋อก็สร้างความอึดอัดให้อาย่วนที่กำลังใจจดใจจ่อกับการหาร่างอาฉี่ไม่น้อย อยู่ๆ ก็มีคนขอตามมา เขาก็เลยทำได้แต่อดทน
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินเข้าไป ฝูเจ๋อก็บอกให้หยุด
อาย่วนใช้หางฟาดลงพื้นจนฝุ่นตลบ
ฝูเจ๋อพูดขึ้น “ข้ามีกฏอยู่ว่า ก่อนออกเดินทางต้องเซ่นไหว้ก่อน
ตอนนี้อาย่วนอยากจะเอาหางฟาดเขาให้ตาย
ฝูเจ๋อหาที่ที่มีหญ้าสองสามต้นสูงประมาณครึ่งเมตรปกคลุม อาย่วนมองเห็นเขาหยิบขวดที่มีตัวหนังสือคำว่า ‘ฝู’ และรูปตราทรงกลมบนขวดขึ้นมา
อาจจะเป็นเพราะเก่าแล้ว รวมถึงเขาชอบนำมันมาถือเล่น รูปสลักจึงแทบจะราบเรียบไปจนหมด
“ท่านปู่ เสี่ยวเจ๋อจะไปแล้ว ท่านช่วยคุ้มครองข้าด้วยนะ อย่าให้ข้าเจอทูตไต่สวนอีก! ข้าขอแค่นี้!” เขาคำนับขวดนั้นสามที แล้วก็พึมพำคนเดียวก่อนจะลุกขึ้นยืน
เขาปัดเศษดินออกจากเสื้อผ้าและมุ่งหน้าสู่ค่ายกล
—————————————————————-
คอมเมนต์