ข้ามมิติลิขิตรักนายตัวเบี้ย ตอนที่ 1-1
เล่มที่ 1 ภาคอวิ๋นโจว ตอนที่ 1 ข้ามมิติมา
ณ จวนตระกูลหลิ่วยามค่ำคืน
สือชีลืมตาทั้งสองข้างขึ้นช้าๆ พลางฟังเสียงแสกสากยามสายลมพัดผ่านใบหลิวนอกหน้าต่าง เขายังงุนงงอยู่นิดหน่อย
สือชีเป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ตั้งแต่เล็กไม่มีชื่อ พ่อบุญธรรมรับมาเลี้ยงตอนอายุเจ็ดปี ถูกสั่งสอนให้เป็นมือสังหารชั้นยอดตอนอายุสิบเจ็ดปี จนอายุสี่สิบเจ็ดปี ระหว่างที่เขาเตรียมสังหารพ่อค้าผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง โชคไม่ดีนัก เขาถูกบอดี้การ์ดของอีกฝ่ายฆ่าตาย จบชีวิตมือสังหารสามสิบปีของเขานับแต่นั้น!
ทว่า สิ่งที่ทำให้สือชีคิดไม่ถึง คือหลังความตายเขาไม่ได้ลงนรก แต่กลับข้ามมิติมาในนิยายแฟนตาซีเล่มหนึ่งที่เคยอ่าน กลายเป็นตัวประกอบไร้ประโยชน์คนหนึ่งในหนังสือไปเสียแล้ว
เพราะเป็นเพียงตัวละครไม่สำคัญ ที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ ในนิยายต้นฉบับจึงพูดถึงเขาไม่มากนัก มีเรื่องราวของเจ้าของร่างเดิมไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่โชคดีที่ในสมองของสือชียังมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอยู่
สือชีสะสางความทรงจำที่ไม่งดงามเหล่านั้น เขาส่ายศีรษะเบาๆ เจ้าของร่างเดิมคนนี้ เป็นเจ้าขยะน้อยผู้เลื่องชื่อของตระกูลหลิ่ว เพราะมารดาเป็นคนธรรมดา ดังนั้นตอนเกิด โครงกระดูกของเขาจึงไม่ดีนัก พรสวรรค์ในการฝึกตนก็อ่อนด้อยอย่างยิ่ง อายุสิบห้าปีแล้วแท้ๆ พลังเพิ่งถึงระดับฝึกปราณขั้นสามเท่านั้นเอง
เจ้าของร่างเดิมเป็นคนไร้ประโยชน์ เพราะอย่างนั้น จึงมักถูกพี่สาวพี่ชายร่วมตระกูลของตนยั่วยุ ด่าทอและทุบตีอยู่บ่อยครั้ง และที่เขาม่องเท่งไปก็เพราะถูกหลิ่วเทียนลู่ พี่หกของเขาซ้อมจนตายนั่นเอง
“เฮ้อ ไร้ประโยชน์จริงๆ เลย!” เมื่อคิดว่าเจ้าของร่างเดิมคนนี้ถึงกับถูกตีตายเสียดื้อๆ สือชีก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญาทีหนึ่งแล้วลุกขึ้นจากเตียง
“โอ๊ยๆ!” สือชีคลำหน้าอกที่ยังคงรู้สึกเจ็บ จะยันตัวขึ้นแต่ดันลงไปกองกับพื้นแทน จากนั้นค่อยๆ เขยิบตัวมาถึงโต๊ะเครื่องแป้ง ลุกขึ้นนั่งพร้อมจุดเทียนไขบนโต๊ะ
มองดูใบหน้าเยาว์วัยในกระจกสำริด พลางยกมือลูบคลำ
“หน้าตาไม่เลวนี่ หน้าตาดีกว่าฉันเมื่อชาติที่แล้วอยู่นิดหน่อย เสียแต่อ่อนแอเกินไปแล้ว!” พูดถึงตรงนี้ สือชีก็ลูบรอยช้ำที่มุมปาก เป็นแผลที่ถูกหลิ่วเทียนลู่ผู้น่าชังคนนั้นซ้อมนั่นเอง
สือชีจับจ้องใบหน้าน้อยที่ทั้งเยาว์วัย ทั้งรูปงามดวงนี้ในกระจกสำริด มองอยู่เนิ่นนาน จากอายุสี่สิบเจ็ดปีกลายเป็นสิบห้าปี นับว่าจากเฒ่ากลับมาเป็นทารกสินะ?
“หลิ่วเทียนฉี ตอนนี้ข้าชื่อหลิ่วเทียนฉี มีชื่อมีแซ่แล้ว!”
ชาติก่อนมีชีวิตมาสี่สิบเจ็ดปี เขาไม่เคยมีชื่อมีแซ่ เพราะตนเป็นมือสังหารลำดับที่สิบเจ็ด ได้รับการสั่งสอนจากพ่อบุญธรรม ดังนั้น เขาถึงชื่อว่าสือชี [1] ตอนออกไปทำภารกิจ เขามีบัตรประชาชนเป็นตั้ง สร้างชื่อปลอมไว้มากจนสุมเป็นกองพะเนิน แต่สือชีรู้ดี ชื่อเหล่านั้นล้วนเป็นชื่อปลอม ไม่ใช่ชื่อของเขา แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เขามีชื่อแล้ว มีชื่อเป็นของตัวเองแล้ว
หลิ่วเทียนฉี เจ้าของร่างเดิมเป็นลูกหลานคนที่เจ็ดของตระกูลหลิ่วรุ่นนี้ อายุน้อยที่สุด ดังนั้น บิดาจึงตั้งชื่อให้เขาว่าหลิ่วเทียนฉี มารดาเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ฝึกตนไม่ได้ หลังให้กำเนิดเจ้าของร่างเดิมไม่นานก็เสียชีวิตไป
บิดาเจ้าของร่างเดิมเป็นคนที่สุดยอดคนหนึ่ง เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับหลอมปราณ และยังเป็นผู้ใช้ยันต์ขั้นสี่ด้วย ทว่าน่าเสียดายที่บิดามักเก็บตัวฝึกฝน ส่วนเจ้าของร่างเดิมก็เป็นคนปากหนัก ดูถูกตนเองเป็นที่สุด ไม่ค่อยชอบพูดคุยกับบิดา เพราะอย่างนั้น ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกจึงไม่ดีมาตลอด
เพราะเห็นว่าเจ้าของร่างเดิมไม่มีใครหนุนหลัง ดังนั้น พี่สาวพี่ชายในตระกูลจึงรังแกเจ้าขยะน้อยคนนี้อย่างไม่เกรงกลัว
นึกถึงเรื่องราวเหล่านี้แล้ว หลิ่วเทียนฉีก็ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาพลางคิดในใจ ‘เจ้าของร่างเดิมเป็นเจ้าโง่คนหนึ่งจริงๆ พรสวรรค์ไม่ดี เอาแต่หลบซ่อนตัว โทษตนเอง สงสารตนเอง ทอดอาลัยตายอยาก ไม่รู้จักการขอความช่วยเหลือจากบิดาหรือไงกัน? ถึงไม่ขอให้ช่วยยกระดับพลัง แต่ถูกรังแกอย่างนี้ อย่างน้อยก็ควรขอให้ออกหน้าให้ตนหน่อยสิ!’
ที่จริง แม้บิดาของเจ้าของร่างเดิมจะเก็บตัวฝึกฝนบ่อยครั้ง แต่ก็รักบุตรชายเพียงคนเดียวผู้นี้มาก ขอเพียงเจ้าของร่างเดิมเป็นฝ่ายเข้าหาเสียหน่อย สนิทกับบิดามากขึ้น หากเป็นเช่นนั้น มีหรือที่พี่สาวพี่ชายเหล่านั้นจะกล้ามาซ้อมบุตรชายของผู้ฝึกตนระดับหลอมปราณจนตาย?
ดังนั้น หลิ่วเทียนฉีจึงได้ข้อสรุปหนึ่งข้อ คือ ‘แทนที่จะบอกว่าถูกซ้อมจนตาย สู้บอกว่าเจ้าของร่างเดิมโง่เขลาจนทำตนเองตายไม่ดีกว่าหรือ!’
ในนิยายต้นฉบับ หลิ่วเทียนฉีเป็นเพียงตัวประกอบเล็กๆ คนหนึ่ง เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของหลิ่วซานที่เป็นภรรยาของพระเอก ถูกหลิ่วเทียนลู่ซ้อมจนตาย แต่ตอนนี้ ตัวประกอบที่ควรตายกลับรอดมาได้ พูดตามตรง หลิ่วเทียนฉีสงสัยนัก เนื้อเรื่องต่อไปจะเป็นอย่างไร
แต่ไม่ว่าหลังจากนี้ เนื้อเรื่องในหนังสือเล่มนี้จะดำเนินไปอย่างไร หลิ่วเทียนฉีคนนี้ก็ไม่ใช่เจ้าโง่ผู้ทึ่มทื่อ ขี้ขลาด โทษตัวเอง สงสารตนเอง ทอดอาลัยตายอยาก ดูถูกตนเองเป็นที่สุดคนนั้นอีกต่อไปแล้ว แม้เขาไม่มีใจทะเยอทะยาน อยากเป็นใหญ่ในแผ่นดินแห่งการฝึกตนแห่งนี้ แต่ใครที่คิดรังแกหลิ่วเทียนฉีคนนี้อีก นับจากนี้จะไม่มีทางทำได้อีกเป็นอันขาด
————————
[1] สือชี (十七) แปลว่าสิบเจ็ด
คอมเมนต์