ครึ่งเซียนพาร์ตไทม์ ตอนที่ 9-1
บทที่ 9 ล้างคำสาป (1)
จางเต้าถิงคิดว่าเซี่ยหลิงหยาจะไปตีกับคนอื่น กระทั่งเห็นว่าสิ่งที่เขานำออกมาคือกระบี่ไม้เล่มหนึ่งก็เบาใจลง “จะออกไปทำพิธีหรือ? ฉันต้องอยู่เฝ้าที่นี่หรือเปล่า?”
“นายอยู่ที่นี่ ฉันไปคนเดียวก็พอแล้ว” เซี่ยหลิงหยาหยิบกระบี่ตรีรัตน์ในกล่องออกมา ถือไว้ในมือแล้วเดินออกไปทางประตูหลัง
ถึงแม้อารามเป้าหยางมีคนมากกว่านี้ เขาก็ไม่สะดวกที่จะนำจางเต้าถิงไปด้วย จางเต้าถิงยังไม่เรียนรู้วิชาคาถาใด อีกอย่างคนของอารามไท่เหอก็ไม่อยากเผยแพร่เรื่องนี้ด้วย
ตั้งแต่เถ้าแก่คนนั้นมาเล่าให้ฟังจนตอนนี้ก็ผ่านไปพักหนึ่งแล้ว เมื่อเซี่ยหลิงหยาไปถึงที่เกิดเหตุ รถพยาบาลก็มาถึงแล้ว
เซี่ยหลิงหยาเบียดเข้าไปดูเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์กำลังยกร่างนักพรตชราวางลงบนเปลหาม ขาของเขาผิดรูปร่าง บริเวณเอวยังมีบาดแผลขนาดใหญ่ เลือดไหลหยดเป็นทาง
“คุณนักพรต คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” เซี่ยหลิงหยาถามนักพรตคนนั้น
นักพรตคนนั้นยังตื่นอยู่ แต่คล้ายว่าสติไม่ค่อยแจ่มชัดเท่าไหร่นัก ปากเอาแต่พร่ำเพ้อ
ประชาชนที่มุงดูเหตุการณ์ด้านข้างคิดว่าเป็นคนแก่เสียสติวิ่งขึ้นไปบนไซต์ก่อสร้างที่หยุดการทำงาน หลังจากนั้นก็ก้าวพลาดพลัดตกลงมา
นี่เป็นไซต์ก่อสร้างเดียวกันกับที่พวกเฮ่อจุนเจอผีครั้งก่อน ไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้ถึงหยุดก่อสร้างมาหลายวันแล้ว เซี่ยหลิงหยามาถึงได้พักหนึ่งแล้วก็ยังไม่เห็นคนจากอารามไท่เหอมาดูนักพรตแก่คนนี้ ดูท่าว่าคงมีบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ
“เขาเป็นนักพรตจากอารามไท่เหอ เดี๋ยวพวกคุณโทรไปแจ้งที่อารามด้วยนะครับ” เซี่ยหลิงหยารั้งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์คนหนึ่งแล้วกำชับบอก ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบก็เดินออกไปแล้ว
…
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ทว่าพระอาทิตย์ยังไม่ลาลับ
เซี่ยหลิงหยากุมกระบี่ตรีรัตน์ ฉวยโอกาสที่บริษัทก่อสร้างยังไม่ทันสังเกตเห็นทางนี้มุดเข้าไปข้างในไซต์ก่อสร้าง พื้นที่ตรงนี้จะสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ มีการปิดพื้นที่ส่วนบนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้ไม่มีคนงานอยู่เลยสักคน
ภายในห้างสรรพสินค้ายังไม่เริ่มตกแต่ง ล้วนเป็นพื้นซีเมนต์กับผนังปูนเปลือย เนื่องจากไม่มีคนทำงานจึงไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย ยิ่งเดินเข้าไปข้างในก็ยิ่งมืดมิด
พื้นที่ข้างในกว้างขวางอย่างยิ่ง เซี่ยหลิงหยาไม่ได้ยินเสียงใดๆ พลันเกิดความคิดดีๆ ขึ้นมา เขาวางกระบี่ตรีรัตน์ลง จากนั้นก็หยิบถุงชาดแดงเล็กๆ ในกระเป๋าออกมา ปากท่องคาถา
“…ไม่รบกวนถึงมือวิเศษของท่าน เพียงขอให้จิตของท่านกับผมเชื่อมถึงกัน ตอนนี้ผมขออัญเชิญท่านมาสถิตร่างเพื่อบรรลุประสงค์!”
ท่องคาถาจบแล้วก็ใช้มือจุ่มชาดแดงวาดเส้นโค้งระหว่างคิ้ว รูปร่างคล้ายกับเลขสองแบบตัวอาราบิก แต่เส้นโค้งกลับดูนุ่มนวล หัวตะขอด้านบนโค้งมากกว่าที่ควรเป็นเช่นกัน กลางตะขอยังวาดวงกลมคล้ายลูกตาเพิ่มด้วย
นี่เป็นคาถาอัญเชิญหวังหลิงกวนแบบเร่งด่วน สามารถอัญเชิญหวังหลิงกวนมาสถิตร่างในสถานการณ์ฉุกละหุกได้ แต่เซี่ยหลิงหยาแค่อยากยืมพลังของท่านปรมาจารย์เท่านั้น ดังนั้นจึงวาด ‘ดวงตา’ กลางหว่างคิ้ว เพราะเทวรูปหวังหลิงกวนมีดวงตาที่สามแฝงพลังมหาศาลกลางหน้าผาก
โดยปกติการอัญเชิญเทพมาสถิตร่างไม่ใช่นักพรตทุกคนจะทำได้หรือจะอัญเชิญมาได้สำเร็จทุกครั้ง แต่สถานการณ์ของเซี่ยหลิงหยาค่อนข้างแตกต่างอยู่บ้าง นอกจากเขามีพรสวรรค์แล้ว ตอนนี้ยังกำลังบูรณะเทวรูปให้หวังหลิงกวน…หวังหลิงกวนคงจะไม่ปฏิเสธเขาหรอกใช่ไหม?
เมื่อเซี่ยหลิงหยาเลื่อนฝ่ามือออกจากดวงตาก็มองเห็นพลังอินที่ทั้งเข้มข้นทั้งเจือจาง ไซต์ก่อสร้างแห่งนี้มีพลังอินหนาแน่นกว่าพื้นที่อื่นๆ เป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ค่อยดีสำหรับคนเป็นเท่าไหร่นัก
เขากดสวิตช์เปิดไฟ มองบริเวณโดยรอบภายใต้แสงสลัว ทันใดนั้นก็พบพลังอินเข้มข้นอย่างยิ่งที่เสาเข็มต้นหนึ่งจึงสาวเท้ามุ่งไปหาทันที
เมื่อเซี่ยหลิงหยาเลี้ยวมาข้างหลังเสาเข็มก็เห็นผู้ชายผมสั้นคนหนึ่งกำลังยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้น
พอชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นก็เผยให้เห็นใบหน้าขาวซีด เลือดไหลครบทั้งเจ็ดทวาร มองเซี่ยหลิงหยาด้วยแววตาอับแสง
เซี่ยหลิงหยาตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าว “เชี่ย!”
“อ๊ากกก!” ผีหนุ่มอ้าปากกรีดร้องอย่างน่าเวทนาด้วยใบหน้าหวาดกลัวเช่นกัน แถมยังตัวสั่นระริก
เซี่ยหลิงหยา “…”
เซี่ยหลิงหยา “เวรเอ๊ย นายกรีดร้องได้ยังไงเนี่ย!”
ผีหนุ่มส่ายหน้าอย่างแรง ไม่กล้าสบดวงตาที่สามที่เซี่ยหลิงหยาใช้ชาดแดงวาดกลางหว่างคิ้ว หวังหลิงกวนใช้สายฟ้าและเปลวเพลิงขับไล่สิ่งชั่วร้าย ทั้งแข็งแกร่งทั้งกล้าหาญ เซี่ยหลิงหยาที่อัญเชิญพลังของหวังหลิงกวนมาอย่างกะทันหันสร้างความตกใจให้กับวิญญาณเร่ร่อนจนต้องหลบซ่อน
เซี่ยหลิงหยายังไม่เคยคุยกับผี เรียกให้ถูกคือเดิมทีเขาไม่เคยเห็นผีมาก่อน ตอนนี้จึงกุมกระบี่ขึ้นมาตั้งใจจะฟันผีตัวนี้
ผีหนุ่มตกใจกลัวสุดขีด โบกมือลนลานอย่างเสียสติ ร่างกายลอยขึ้นมาอย่างเสียการควบคุม มันเป็นแค่วิญญาณเร่ร่อน เพิ่งเป็นผีเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นจึงทำได้มากสุดแค่กรีดร้องไม่กี่ครั้ง ไม่อาจสื่อสารกับเซี่ยหลิงหยาด้วยร่างวิญญาณได้
“หือ? เดี๋ยวก่อน…นายใช่คนที่พลัดตกลงมาเมื่อไม่นานมานี้หรือเปล่า” เซี่ยหลิงหยาเห็นผีหนุ่มตัวนี้พยักหน้าก็คิดในใจว่าผีตัวนี้ไม่ได้กล้าหาญไปกว่าเฮ่อจุนมากนัก แถมยังสู้ผีในบ้านอาเฮ่อไม่ได้ด้วย ทำเอาเขาต้องลดมือลงอย่างเก้อเขิน “นายเห็นกลุ่มนักพรตผ่านมาบ้างไหม?”
ผีหนุ่มชี้ไปยังที่มืดสนิท
ของสิ่งหนึ่งย่อมข่มสิ่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ผีตัวนี้เคยหลอกเฮ่อจุนได้ แต่พอเจอเซี่ยหลิงหยากลับหวาดกลัว
เซี่ยหลิงหยาบอก “งั้นดีเลย นายนำทางฉันไปหน่อยสิ”
แม้เขาอัญเชิญเนตรเทพหลิงกวนมาแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่คุ้นทางเท่าอีกฝ่ายที่อยู่ที่นี่ทุกวัน
ผีหนุ่มหันหลังลอยไปทันที แต่ไม่ทราบว่าเซี่ยหลิงหยาคิดไปเองหรือเปล่า ท่ามกลางความเงียบสงบแว่วเสียงสะอื้นที่คล้ายมีคล้ายไม่มีเสียงหนึ่ง
…
เซี่ยหลิงหยาตามผีหนุ่มเข้าไปยังส่วนภายในของไซต์ก่อสร้าง พอขึ้นบันไดมาถึงชั้นสี่ก็สัมผัสได้ถึงพลังอินอันเข้มข้นที่หน้าบันได สร้างความหนาวเย็นและเหนียวตัวแก่ผู้คน
ในเวลาเดียวกันนี้เองก็มีเสียงคนเบาๆ ดังออกมา เซี่ยหลิงหยาแยกได้ทันทีว่าเป็นนักพรตอารามไท่เหอกลุ่มนั้น เขากระตือรือร้นขึ้นมา เดินมาถึงขอบประตู
ผีหนุ่มลอยวนหน้าเซี่ยหลิงหยาสองรอบด้วยใบหน้าตื่นตระหนก บอกเป็นนัยว่าตัวเองอยากออกไปจากตรงนี้แล้ว
“ไปเถอะ” เซี่ยหลิงหยาโบกมือไล่ กุมกระบี่ตรีรัตน์เดินเข้าไป
แล้วก็พบว่าบริเวณชั้นสี่ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งกว้างตกอยู่ในสถานการณ์อันแสนยุ่งเหยิง แสงจันทร์ส่องเข้ามาทางหน้าต่างเผยให้เห็นสภาพเหตุการณ์ที่ชัดบ้างลางบ้าง หญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่ในมุมห้องพลางพึมพำท่องคาถา ข้างๆ กันนั้นมีชายชราคนหนึ่งนอนอยู่ ศีรษะพิงอกเธอ ไร้ซึ่งความมีชีวิตชีวา เห็นได้ชัดว่าเป็นคนตายแล้ว ข้างทั้งคู่ยังมีกระปุกเจ็ดใบวางอยู่ด้วย
ไม่ไกลกันนั้น ซือฉางเสวียนกุมกระบี่ไม้กับแผ่นยันต์ ผีห้าตัวกำลังวนเวียนรอบเขา
ต่างจากผีหนุ่มขี้ขลาดตัวเมื่อครู่ ผีห้าตัวไม่ใช่ทั้งสีแดงหรือเขียว โดยปกติหากเป็นสีแดงคือวิญญาณชั่วร้าย อันที่จริงสีเขียวก็เหมือนกัน ยิ่งสีเข้มชัดมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งทวีความร้ายกาจ หากแต่พวกมันไม่ใช่ทั้งสีแดงและเขียว สีวิญญาณเข้มอย่างยิ่ง
ซือฉางเสวียนต้องถือทั้งอาวุธและแผ่นยันต์คงขาดกำลังช่วยเหลือ ตอนนี้เซี่ยหลิงหยามีเนตรเทพของหวังหลิงกวน ดังนั้นจึงไม่เพียงแต่มองเห็นพลังอินของผี แต่ยังมองเห็นแสงศักดิ์สิทธิ์จากแผ่นยันต์ในมือซือฉางเสวียนด้วย
ผีร้ายส่งเสียงร้องโหยหวนเมื่อเข้าใกล้แผ่นยันต์ของเขา นักพรตอีกสามคนด้านข้าง มีสองคนโถมโจมตีซือฉางเสวียนราวกับเสียสติไปแล้ว ใบหน้าดุร้ายผิดปกติ ส่วนอีกหนึ่งคนคอยขัดขวางทางนั้นทางนี้ สภาพยับเยินไม่แพ้กัน ทุกคนต่อสู้กันอย่างอุตลุด
“นักพรตซือ!” เซี่ยหลิงหยาตะโกนขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปผสมโรง
ซือฉางเสวียนปรายตามองเซี่ยหลิงหยา ในที่สุดก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาวาบหนึ่ง
หญิงชราคนนั้นเห็นเซี่ยหลิงหยาแล้วเหมือนกัน ทวีความเร็วท่องคาถาไวขึ้นอีก
ชั่วพริบตา ผีร้ายห้าตัวที่เคยรุมล้อมซือฉางเสวียนก็หันมาพุ่งเข้าหาเซี่ยหลิงหยาแทน
เซี่ยหลิงหยา “…”
เซี่ยหลิงหยาเกือบเบรกไม่ทัน เขาหยุดวิ่งในทันที หันหลังถอยกลับด้วยความเร็ว อ้าปากพ่นคำด่าออกมา “ไอ้พวกผีเวรตะไลเอ๊ย!”
แม้ว่าเขามาเพื่อช่วยเหลือ แต่ก็ไม่อยากให้พวกมันหันมาไล่ตามเขาจนหนีหัวซุกหัวซุนหรอกนะ?!
เซี่ยหลิงหยาหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ผีร้ายห้าตัวไล่หลังเขามาพร้อมกับลมอินพัดวูบ ด้วยระยะห่างที่ใกล้กันทำให้มองเห็นใบหน้าสยดสยองของผีแต่ละตัวได้ชัดเจน ทางด้านซือฉางเสวียนก็ไม่มัวเสียเวลา หลังเป็นอิสระจากพวกผีแล้วก็ต่อสู้กับนักพรตสองคนนั้นที่เห็นได้ชัดว่าคงถูกผีสิงร่าง
แม้ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ใหญ่แค่ไหนก็ยังมีหลังคา เซี่ยหลิงหยาสงสัยว่าก่อนหน้านี้นักพรตชราคนนั้นก็คงถูกผีไล่ต้อนจนต้องกระโดดตึกหนีด้วยเหมือนกัน
เซี่ยหลิงหยาถูกต้อนมาถึงหน้าต่างสุดทางเดิน เขาหันหลังยกกระบี่ขวางข้างหน้า ตะโกนว่า “พลังแห่งเต๋าทุกแห่งจงสำแดงฤทธิ์เดช!”
พลังกระบี่ตรีรัตน์แผ่ไปท่วมท้นทั่วทิศ!
ผีห้าตัวที่กำลังแยกเขี้ยวตะปบเล็บพลันส่งเสียงกรีดร้อง ลอยห่างออกไปหนึ่งจั้ง[1]
ผีห้าตัวถูกพลังกระบี่ทำร้ายจนเกิดบาดแผลลวกไหม้ตามตัว มองดูแล้วยิ่งน่าอนาถกว่าเดิม
นี่คือกระบวนท่าที่สองของกระบี่ตรีรัตน์ กระบี่แห่งความมัธยัสถ์
ความเมตตาเดิมเสริมความกล้าหาญ ความมัธยัสถ์เสริมความอุดมสมบูรณ์ กระบี่แห่งความเมตตาเป็นการโจมตีรูปแบบเดียวแต่ทรงอานุภาพกระทบถึงบริเวณใกล้เคียง เช่นตอนที่เซี่ยหลิงหยาตวัดกระบี่หนึ่งครั้งก็กำจัดสัมภเวสีทั้งเจ็ดได้ ทว่ากระบี่แห่งความมัธยัสถ์เป็นการโจมตีระยะกว้าง เหมือนสถานการณ์ตอนนี้ที่ผีร้ายจู่โจมเข้ามาหลายทิศทาง การใช้กระบวนท่านี้จึงเหมาะสมมากที่สุด
แต่เซี่ยหลิงหยาเพิ่งเคยใช้กระบวนท่าที่สองนี้เป็นครั้งแรกจึงไม่ค่อยชินมือนัก เมื่อกี้ยังต้องตั้งหลักก่อนครู่หนึ่ง
ทว่าผีร้ายห้าตัวนี้ถูกควบคุมโดยหญิงชราอย่างเห็นได้ชัด แถมไม่รู้ด้วยว่าไปหาผีร้ายขนาดนี้มาจากที่ไหน หลังได้รับบาดเจ็บแล้วก็ถูกกระตุ้นให้จู่โจมใส่เซี่ยหลิงหยาอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง ซือฉางเสวียนตะโกนขึ้น “มาทางนี้!”
เซี่ยหลิงหยาถือกระบี่ไว้เบื้องหน้าเพื่อเปิดทางวิ่งกลับมา มืออีกข้างก็ล้วงบางสิ่งจากระเป๋าออกมาด้วย
ซือฉางเสวียนใช้มือข้างหนึ่งกดร่างหนึ่งในนักพรตที่ถูกสิงร่างบนพื้น นักพรตอีกสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ เขากัดปลายนิ้วจนเป็นแผล วาดยันต์ลงบนใบหน้าของนักพรต
นักพรตที่ถูกสิงร่างร้องโหยหวน วิญญาณสีเขียวตัวหนึ่งดีดตัวออกมาจากร่างกายนักพรตพุ่งเข้าไปหลบในกระปุกหน้าหญิงชรา หลังจากนั้นเจ้าของร่างก็หมดสติไป
ซือฉางเสวียนลุกขึ้นยืนแล้ววาดยันต์ด้วยเลือดบนตัวกระบี่ ก่อนจะฟาดกระบี่ลงบนแผ่นหลังนักพรตที่กำลังคุ้มคลั่งอีกคนหนึ่ง ผีร้ายในตัวเขาหวาดกลัวจนออกจากร่าง ผีร้ายตัวนั้นยังวนเวียนกลางอากาศกรีดร้องใส่ซือฉางเสวียน
หญิงชราหัวเราะสองเสียง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบ “ใช้ยันต์หมดแล้วหรือ? แกยังมีเลือดให้ใช้อีกเท่าไหร่กัน?”
ซือฉางเสวียนแสดงสีหน้าเย็นชา ถลกแขนเสื้อเผยให้เห็นฝ่ามือที่เต็มไปด้วยคราบเลือด
เวลานี้เซี่ยหลิงหยาที่วิ่งเข้ามาใกล้ก็หยิบของในกระเป๋าออกมาจนได้ ยันต์ป้องกันตัวหลิงจู่ราวห้าสิบหกสิบแผ่นถูกเขาโปรยออกมาราวกับเกล็ดหิมะโปรยปราย
หญิงชรา “…”
ซือฉางเสวียน “…”
ซือฉางเสวียนตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ตวัดปลายกระบี่เก็บขึ้นมาหนึ่งแผ่น จำแนกว่าเป็นยันต์ประเภทใดได้อย่างว่องไว ท่องคาถาว่า “กราบคำนับทวยเทพ จงกำจัดภูตผีคืนความบริสุทธิ์!”
แผ่นยันต์ลอยไปยังผีร้ายทันใด ราวกับติดตัวพวกมันอย่างไรอย่างนั้น ร่างผีร้ายกร่อนกลายเป็นไอดำท่ามกลางเสียงเกรี้ยวกราด ใบหน้าที่เจ็บปวดปรากฏออกมาตลอดเวลา
อีกด้านหนึ่ง เซี่ยหลิงหยาก็เลียนแบบโดยใช้ปลายกระบี่เก็บยันต์ขึ้นมา ลอยไปแนบติดบนตัวผีร้ายพวกนั้น
หากแต่เขาค่อนข้างใจกว้าง ไม่ได้ประหยัดเหมือนเวลานักพรตทั่วไปใช้ยันต์คาถา เขาใช้ยันต์เจ็ดแผ่นติดลงบนตัวพวกมันแต่ละตัว ไม่เชื่อว่าพวกมันจะยังขยับได้อีก
นักพรตอารามไท่เหอผู้มีสติเพียงคนเดียวตะลุมบอนกับเพื่อนร่วมงานที่ถูกผีสิงเป็นเวลานาน พอเห็นสถานการณ์ตรงหน้าดีขึ้นก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก ทรุดตัวลงนั่ง สายตาที่ใช้มองเซี่ยหลิงหยาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
“เดรัจฉานน้อย!” หญิงชรากัดฟันด้วยความโทโส อาฆาตแค้นอย่างยิ่ง เธอไม่ทราบว่าเซี่ยหลิงหยาโผล่มาจากไหน แม้ดูแล้วคล้ายเป็นลูกศิษย์จากสำนักเต๋า แต่เธอกลับไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของอีกฝ่าย
[1] หน่วยวัดความยาวของจีน 1 จั้ง = 3.33 เมตร
คอมเมนต์