ครึ่งเซียนพาร์ตไทม์ ตอนที่ 6-1

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 6 เก็บกระเบื้อง (1)

อันที่จริงเวลานักพรตส่วนใหญ่ทำพิธีกรรมจะเน้นใช้ไม้นวมก่อน จากนั้นค่อยเชือดไก่ให้ลิงดู หากไล่ออกไปได้ก็ไล่ แต่ถ้าหากไล่ไม่ออกถึงค่อยลงมือ ขั้นตอนแบบนี้ช่วยประหยัดพลังได้มาก
เซี่ยหลิงหยากลับใช้ความรุนแรงเข้าสู้โดยไร้ความเห็นอกเห็นใจ ภูติผีทั้งเจ็ดประเภทสลายไปในชั่วข้ามคืน เป็นการกระทำอันแสนป่าเถื่อน
ซือฉางเสวียนอธิบายให้เจ้าของบ้านฟังง่ายๆ สองประโยคก็ผละไปเตรียมขั้นตอนอัญเชิญเทพเจ้าหลักมาสถิตในบ้านเงียบๆ แล้ว เพียงแต่สายตาที่ใช้มองเซี่ยหลิงหยานั้นยากบรรยายได้ด้วยคำพูดเดียว
คุณอาเฮ่อกับภรรยาไม่ได้คิดมากขนาดนั้น อาจารย์เซี่ยอยู่ต่อเพื่อช่วยเหลือไม่ใช่หรือ พวกเขาย่อมยินดีอยู่แล้ว ตอนที่นักพรตซือบอกว่าต้องไล่สัมภเวสีออกไปพวกเขายังกังวลอยู่ว่าหลังจากนี้ยังต้องทำอย่างไรต่อ ทว่าเพียงหันหน้ามอง อาจารย์เซี่ยก็กำจัดพวกมันไปแล้ว เยี่ยมไปเลย
เซี่ยหลิงหยากำลังตรวจสอบกระบี่ของตัวเอง รู้สึกได้ว่าคงไม่ต้องใช้มันอีกแล้วจึงเก็บเข้ากล่อง ไหนเลยจะรู้ว่าตัวเองป่าเถื่อนแค่ไหนในสายตาคนอื่น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาไม่ใช่มืออาชีพ กะแรงได้ไม่แม่นยำขนาดนั้น รู้ตัวอีกทีความป่าเถื่อนธรรมดาๆ ก็ส่งตรงถึงมันแล้ว
เฮ่อจุนขยับเข้ามาใกล้ “…อาจารย์เซี่ย คุณบอกว่าเมตตาหมายถึงรักและเมตตาไม่ใช่หรือ”
ตอนได้ยินครั้งแรกเขาคิดว่าจะใช้ดัดนิสัยผีเสียอีก ทว่ากลับทำให้ภูติผีทั้งเจ็ดสูญสลายไปแล้ว!
เซี่ยหลิงหยาปิดฝากล่องไม้เรียบร้อยแล้วก็อธิบายให้เฮ่อจุนฟังอย่างมีสมาธิ “เมตตาหมายถึงรักและเมตตา แต่นายคงไม่เคยได้ยินใช่มั้ย ความเมตตาก่อให้เกิดความกล้าหาญ เพราะรักและเมตตาถึงทำให้มีพลังและความกล้าหาญ เมื่อกี้ฉันเมตตามั้ย”
เฮ่อจุน “…มะ เม เมตตา”
ก่อนหน้านี้เฮ่อจุนได้ลองศึกษาทฤษฎีลัทธิเต๋ามากบ้างเล็กน้อย ตอนที่ได้ยินเซี่ยหลิงหยาพูดถึงกระบี่ตรีรัตน์ยังคิดว่าเป็นสามสิ่งล้ำค่าในลัทธิเต๋าอย่าง ‘มรรคา อาจารย์ และคัมภีร์’ เสียอีก
แต่ความจริงแล้วสามสิ่งล้ำค่าที่ว่าหมายถึง ‘เมตตา มัธยัสถ์ และนอบน้อม’ ที่ปรากฏในคัมภีร์ลัทธิเต๋าว่า ข้ามีรัตนะอยู่สามประการที่ยึดถือและรักษาไว้เป็นอย่างดี หนึ่งคือเมตตา สองคือมัธยัสถ์ สามคือไม่กล้าอยู่เหนือใต้หล้า
สามสิ่งนี้ต่างหากที่เป็นแรงบันดาลใจให้ปรมาจารย์บรรพบุรุษของอารามเป้าหยางศึกษาคิดค้นกระบี่ตรีรัตน์ขึ้นมา และหมายถึงแก่นแท้ของกระบี่ตรีรัตน์ด้วยเช่นเดียวกัน
แต่ไม่รู้ทำไมเซี่ยหลิงหยาถึงอธิบายแบบนี้ เฮ่อจุนรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง…

ทางด้านซือฉางเสวียนยังทำพิธีต่อ เขาต้องอัญเชิญเทพเจ้าหลักกลับมาสถิตในบ้าน กว่าจะเสร็จสิ้นพิธีทั้งหมดเวลาก็ล่วงเลยถึงเที่ยงคืนแล้ว
เพราะดึกมากแล้วคุณอาเฮ่อจึงชวนพวกเขาค้างที่นี่ แต่ซือฉางเสวียนปฏิเสธ ตอนแรกเซี่ยหลิงหยาก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน แต่พอเห็นซือฉางเสวียนปฏิเสธแล้วก็นึกได้ว่าเขาต้องตื่นแต่เช้ามาเปิดประตูให้คนเข้ามาตักน้ำทุกวัน จึงปฏิเสธและขอตัวกลับอารามเต๋า
คุณอาเฮ่อได้แต่บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันขับรถไปส่งพวกเธอแล้วกัน”
ส่วนอาสะใภ้เฮ่อยื่นซองแดงบางๆ สองซองให้เซี่ยหลิงหยากับซือฉางเสวียน
เฮ่อจุนอยู่ค้างที่นี่ เซี่ยหลิงหยากับซือฉางเสวียนออกไปรอคุณอาเฮ่อถอยรถออกมาหน้าบ้าน
เซี่ยหลิงหยากำลังคิดว่าจะชวนซือฉางเสวียนคุยหรือทิ้งช่องทางติดต่อไว้อย่างไรดี พลันได้ยินซือฉางเสวียนเอ่ยขึ้นก่อน “ฉันเคยเห็นนายที่อารามไท่เหอ”
เซี่ยหลิงหยาเงยหน้ามองด้วยความแปลกใจ “ฉันไปร่วมพิธีอธิษฐานขอฝน แต่ว่านักพรตซือสังเกตเห็นฉันได้ยังไง”
หรือว่าพรสวรรค์ของเขาล้นทะลักออกมา ไม่ว่ายังไงก็ปิดไม่มิดหรือ
ซือฉางเสวียน “…นายจ้องฉันตลอดเวลา”
เซี่ยหลิงหยา “…”
เซี่ยหลิงหยา “ไม่ใช่สักหน่อย…ที่จริงแล้วตอนนั้นทุกคนก็ต่างจ้องนาย!”
ซือฉางเสวียนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
เซี่ยหลิงหยารู้สึกสับสนและกระอักกระอ่วนเล็กน้อย จึงเอ่ยปากเปลี่ยนประเด็น “จริงสิ ที่จริงฉันสงสัยเรื่องหนึ่ง…บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ว่าเจ้าอารามเฉินยังสบายดีอยู่รึเปล่า”
ซือฉางเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางมองเขา
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ หรือ” เซี่ยหลิงหยาแปลกใจกับการตอบสนองของเขา
ความจริงแล้วเขาก็เดามั่วๆ จากที่คุณลุงเคยเล่าถึงหายนะที่ผู้แพ้การประลองคาถาต้องประสบทำให้นึกโยงไปถึงเจ้าอารามเฉินที่ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นในพิธีอธิษฐานขอฝนเมื่อวันก่อน ไหนจะประธานหวังบอกว่าฟางเจิ้นซิงที่เก็บเงินได้พร้อมคุณอาเฮ่อติดกับดักเข้าแล้ว
เซี่ยหลิงหยาฉุกคิดขึ้นได้จึงร้อยเรียงเหตุการณ์เข้าด้วยกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลังฟางเจิ้นซิงเกิดเรื่องจึงเชิญเฉินซานเซิงไปช่วยถอนคำสาปให้ ทว่าเฉินซานเซิงก็พลาดท่าติดกับดักด้วยเช่นกัน ถ้าเป็นแบบนี้ก็อธิบายได้แล้วว่า ทำไมประธานหวังถึงเชิญซือฉางเสวียนมาได้ (จากสีหน้าเป็นเกียรติและยินดีของเขาน่ะนะ) แถมซือฉางเสวียนยังรู้เรื่องที่คุณอาเฮ่อได้ลาภลอยอีก
ที่ซือฉางเสวียนตอบตกลง อาจเป็นเพราะคุณอาเฮ่อเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นก็ได้
“ที่จริงฉันเดามั่วเอาเอง ฉันไม่รู้จักเจ้าอารามเฉิน นายไม่ต้องกังวล” เซี่ยหลิงหยาบอกซือฉางเสวียน
ซือฉางเสวียนจ้องเซี่ยหลิงหยาอยู่หลายวินาทีราวกับกำลังวิเคราะห์ว่าเขาพูดจริงหรือโกหก ไม่นานก็เบนสายตาออกอย่างช้าๆ
การแสดงออกแบบนี้แปลว่าเชื่อหรือไม่เชื่อกันล่ะ เซี่ยหลิงหยาสับสนเล็กน้อย ทำไมซือฉางเสวียนถึงได้ดูมีความลับขนาดนี้ แถมตัวเขาเองก็อ่านใจคนไม่เป็น คนผู้นี้ช่างเข้าหายากเหลือเกิน!
พักถัดมาซือฉางเสวียนก็ยื่นซองแดงที่เขาเพิ่งได้รับมาให้เซี่ยหลิงหยา
เซี่ยหลิงหยา “…”
ซือฉางเสวียนเห็นอีกฝ่ายกำลังจ้องเขาจึงเบือนหน้าเอ่ยประโยคหนึ่ง “งั้นให้นายก็แล้วกัน”
เอ๋? เดี๋ยวก่อนนะ แสดงว่ายอมรับและเชื่อใช่มั้ย เซี่ยหลิงหยาเหมือนไม่เข้าใจตรรกะของซือฉางเสวียนแล้ว
…เขาขอถอนคำพูดเมื่อกี้ คนผู้นี้ช่างน่าคบหาเหลือเกิน!
มือของเซี่ยหลิงหยายื่นออกไปรับซองแดงอย่างควบคุมไม่อยู่ คิดในใจว่าฉันไม่ได้ทำเพื่อตัวเองนะ แต่ทำเพื่อท่านปรมาจารย์ต่างหาก
“ขอบคุณนะ ถ้างั้นฉันไม่เกรงใจแล้ว” เซี่ยหลิงหยาเปิดซอง ข้างในซองเป็นเช็คธนาคารหนึ่งใบเหมือนกับของเขา สองใบรวมกันห้าหมื่นหยวน
ถึงก่อนหน้านี้บอกไว้ว่าจะจ่ายตามราคาตลาด แต่ราคานี้สูงกว่าราคาตลาดที่เซี่ยหลิงหยาสืบมามาก ถึงอย่างไรก็แบ่งให้พวกเขาสองคน จะว่าไปแล้วอาจเห็นแก่ซือฉางเสวียนจึงให้มากขนาดนี้ก็เป็นได้ นักพรตธรรมดาทำพิธีคุ้มครองบ้านพักอาศัย ไม่รวมขับไล่ภูตผี ได้ราคาหลักหมื่นก็ถือว่าเยอะแล้ว
เซี่ยหลิงหยาเก็บซองแดง มองซือฉางเสวียนก็ยิ่งถูกชะตาจึงคลี่ยิ้มเป็นมิตรให้เขา พอยิ้มแล้วถุงใต้ตาก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น ดวงตาเป็นประกาย
“ฉันได้ยินมาว่านักพรตซือสืบทอดหลักการความรู้ในครอบครัวหรือ มิน่าล่ะถึงเก่งขนาดนี้ เราแลกช่องทางติดต่อกันได้ไหม เผื่อวันหลังมีอะไรจะได้ขอคำชี้แนะจากนาย”
ซือฉางเสวียนมองเขาอีกพักหนึ่ง ก่อนจะยอมแลกช่องทางติดต่ออย่างเนือยๆ

คอมเมนต์

Chapter List