ครึ่งเซียนพาร์ตไทม์ ตอนที่ 7-1

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 7 นักพรตคนแรก (1)

เซี่ยหลิงหยาอยากให้เฮ่อจุนพาเพื่อนมากินเมล็ดแตงดื่มน้ำชาที่นี่จากใจจริง ช่วงนี้เขาสั่งใบชามาเพิ่ม วางเก้าอี้จำนวนหนึ่งในลานข้างหน้าเพื่อใช้รับรองคนที่มาพักผ่อน จะได้สั่งน้ำชาคู่กับเมล็ดแตง กินไปพลางพูดคุยไปพลาง
เฮ้อ ไม่มีใครเข้ามากราบไหว้ ได้แต่ต้องหาเงินด้วยวิธีแบบนี้ไปก่อนล่ะนะ
แม้ค่อนข้างหมดคำพูดอยู่บ้าง แต่เฮ่อจุนลองคิดดูแล้ววิธีการนี้เชิญชวนเพื่อนๆ มาจุดธูปกราบไหว้ได้ง่ายกว่าจริงๆ จึงตัดสินใจว่ากลับไปแล้วจะเปลี่ยนวิธีการชวนใหม่

เนื่องจากการใช้ชีวิตในอารามค่อนข้างอัตคัดขัดสน ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาเซี่ยหลิงหยาก็ไม่ได้ขอเงินจากครอบครัวแล้ว เวลาแบบนี้ยิ่งไม่อาจขอให้พ่อช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ ก่อนหน้านี้ยังน่าเวทนายิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก ตอนนี้ได้กินเนื้อบ่อยขึ้นแถมยังได้ขายเมล็ดแตงเพิ่มรายรับเข้ามาแล้ว
เซี่ยหลิงหยาขบคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ใช้ที่ดินที่อยู่ด้านหลังแปลงนั้นให้เป็นประโยชน์ด้วยการปลูกผักสองสามชนิด อะไรประหยัดได้ก็ประหยัด ค่าตอบแทนจากอาเฮ่อส่วนที่เหลือเขายังนำไปฝากธนาคารด้วย
เมื่อก่อนตอนที่ที่ดินแปลงนี้ยังไม่รกร้างหรือก็คือตอนที่มีหวังอวี่จี๋คอยดูแลเป็นประจำ เขาปลูกทั้งแตงและผักหลายชนิด เซี่ยหลิงหยาเคยช่วยงานจึงพอรู้งานอยู่บ้าง
เวลาว่างจากงานที่ลานข้างหน้า เซี่ยหลิงหยาก็จะปักหลักทำสวนอยู่ข้างหลัง ปลอบตัวใจเองว่าต้องลำบากและอยู่อย่างเรียบง่ายสักหน่อยถึงจะเรียกว่าเป็นการใช้ชีวิต
ทำสวนอยู่ครึ่งวัน คุณป้าคนหนึ่งก็มาเรียกเขา “เสี่ยวเซี่ย เสี่ยวเซี่ยออกมาเร็ว เพื่อนร่วมงานเธอมาหาแน่ะ”
เพื่อนร่วมงานของฉันหรือ? ฉันมีเพื่อนร่วมงานที่ไหนกัน?
เซี่ยหลิงหยาแปลกใจ เขาที่กำลังรดน้ำผักอยู่จึงต้องวางบัวรดน้ำแล้วเช็ดมือให้สะอาด พอออกไปดูก็เห็นว่ามีนักพรตคนหนึ่งสวมชุดนักพรตยืนอยู่ที่ลานข้างหน้า อายุราวสามสิบกว่าปี ข้างริมฝีปากไว้หนวดเล็กๆ บนคางยังมีเคราบางๆ เล็กน้อย เกล้าผมเป็นมวย มือหิ้วกระเป๋า
นักพรตเคราบางมองเซี่ยหลิงหยาเดินออกมาพร้อมคุณป้าจนมายืนอยู่หน้า ยังไม่ทันตั้งสติได้ก็เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก “สวัสดี ฉันอยากพบเจ้าอารามของที่นี่”
“ตอนนี้ที่นี่ยังไม่มีเจ้าอาราม นักพรตมีเรื่องอะไรก็คุยกับผมได้เลยครับ” เซี่ยหลิงหยาสำรวจมองนักพรตคนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า รู้สึกเกะกะสายตากับหนวดที่รุงรังของเขามาก
นักพรตเคราบางรีบบอกทันที “รบกวนแล้ว ฉันอยากจะขอพำนักอยู่ที่นี่ชั่วคราว”
ขอเพียงเป็นนักพรต หากเดินทางไปต่างถิ่นก็ขอพักอาศัยในอารามของที่นั่นได้เสมอ เรียกว่าการพำนัก จากอดีตจนถึงปัจจุบันมีกฎเกณฑ์แตกต่างกัน สังคมในยุคนี้โดยทั่วไปหากเป็นนักพรตที่มีบัตรนักพรตก็สามารถใช้เป็นหลักฐานเข้าพักในอารามอื่นๆ ได้ฟรีสามวัน หากอยู่นานกว่านั้นต้องจ่ายเงินให้กับอาราม
เซี่ยหลิงหยารู้กฎข้อนี้เหมือนกัน เพียงแต่เพิ่งได้เจอกับตัวครั้งแรก ด้านหลังยังมีห้องพักอีกหลายห้องแต่แค่ยังไม่ได้เก็บกวาดเท่านั้นเอง
เขาเอ่ยด้วยความเกรงใจ “ถ้างั้นวางสัมภาระลงก่อนดีไหม ผมต้องเก็บกวาดห้องก่อน”
“ขอบคุณ ขอบคุณมากหนุ่มน้อย” นักพรตเคราบางขอบคุณยกใหญ่
เซี่ยหลิงหยาเดินพลางถามอย่างไม่ทันคิดพลาง “ผมไม่ได้มีเจตนาอื่นหรอกนะ แต่ในเมืองนี้อารามไท่เหอโด่งดังกว่ามาก ทำไมถึงไม่ไปขอพำนักที่อารามไท่เหอล่ะ”
ไม่ใช่โด่งดังกว่าเท่านั้น สภาพแวดล้อมที่นั่นก็ดีกว่ามาก
นักพรตเคราบางอ้ำๆ อึ้งๆ “คือว่า…อารามไท่เหออยู่ไกลเกินไป…”
เซี่ยหลิงหยาเกิดความคลางแคลงใจจึงสำรวจนักพรตเคราบางคนนี้อีกครั้ง ทันใดนั้นก็หยุดเดินแล้วเอ่ยขึ้น “เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า อารามของเราคุณสมบัติแย่ขนาดนี้ ยังคิดจะหลอกอยู่ฟรีกินฟรีอีกหรือ?”
เขาถลกชุดนักพรตเคราบางขึ้น ขอบชายเสื้อข้างในเห็นตัวอักษรลางๆ ไม่กี่ตัวอ่านได้ว่า ‘จุดชมวิวหลงหู’ เวลาขยับเดินจะมองเห็นได้รางๆ
จุดชมวิวหลงหูเป็นจุดชมทิวทัศน์สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเมืองหนิ่วหยาง ข้างในไม่มีอารามเต๋า มีเพียงเมืองอนุสรณ์จำลองยุคโบราณเท่านั้น เจ้าหน้าที่ข้างในจะแต่งชุดโบราณจำลองบทบาททั้งปัญญาชน ยาจก หรือหมอดูเพื่อเพิ่มความสมจริง
ก่อนหน้านี้เซี่ยหลิงหยารู้สึกว่าเนื้อผ้าของเขาดูด้อยคุณภาพมาก ตอนนี้คิดได้แล้วว่า…เสื้อผ้าที่ใส่แสดงต้องมีคุณภาพต่ำเป็นธรรมดาอยู่แล้ว!
“เปล่า ไม่ใช่ เธอเข้าใจผิดแล้ว!” นักพรตเคราบางไม่รู้ว่าควรดึงชายเสื้อตัวเองลงก่อนหรือว่าควรล้วงหยิบบัตรแสดงตัวตนก่อนกันแน่ “ฉันเป็นนักพรตจริงๆ แต่แค่ไปทำงานที่นั่นเท่านั้นเอง!”
เซี่ยหลิงหยา “???”
นี่มันอะไรกัน? นักพรตแท้ต้องไปทำงานที่จุดชมวิวหลงหูด้วยหรือ?
เซี่ยหลิงหยาตรวจสอบบัตรนักพรตของอีกฝ่ายด้วยท่าทีระแวง แต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นของจริง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? คุณไม่ใช่นักแสดงนี่นา ทำไมถึงทำงานที่นั่น”
นักพรตเคราบางก้มหน้าตอบอย่างท้อแท้ “ฉันจนนี่นา”
เซี่ยหลิงหยา “…”
เซี่ยหลิงหยา “จริงหรือเปล่า จนขนาดไหนกัน แม้แต่ที่พักอาศัยยังไม่มีหรือ”
นักพรตเคราบางเงยหน้าขึ้น เล่าเรื่องราวชีวิตอันน่าเศร้าใจให้ฟัง
เขามีชื่อเดิมว่าจางเต้าถิง ตัวอักษรต่างกันแค่ตัวเดียวกับจางเต้าหลิง ผู้ก่อตั้งหนทางสู่การเป็นปรมาจารย์แดนสวรรค์ในตำนาน ทว่าชะตาชีวิตกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
เขากำพร้าพ่อกำพร้าแม่ ออกบวชตั้งแต่อายุสิบแปด แต่บวชได้ไม่ถึงหนึ่งปีอารามก็มีผู้ศรัทธาน้อยลงทุกวัน ขาดแคลนอาหาร กระทั่งเขาถูกเพื่อนสนิทเชิญออกจึงแยกย้ายไปตามทาง
ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าขนาดอยู่ในอารามเต๋ายังถูกลดบุคลากรได้
แปดปีที่ผ่านมานักพรตเคราบางเร่ร่อนไปหลายแห่ง แต่ทว่าอารามที่เขาเข้าไปประกอบอาชีพอย่างถูกต้องมักเสื่อมโทรมลงด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป ขนาดอาหารยังไม่ตกถึงท้อง
เขาเร่รอนมาถึงเมืองหนิ่วหยางเมื่อปีก่อน ครั้งนี้เขาไม่ทำงานที่อารามเต๋าอีกแล้ว หากแต่ตรงไปทำงานที่จุดชมวิวแทน เพราะเขาท่องคาถาคัมภีร์เป็นจึงได้เปรียบกว่านักแสดงสมมุติเหล่านั้น ผ่านการสมัครอย่างราบรื่น มีหน้าที่คอยนั่งประจำตามจุดชมวิวและถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวก็พอแล้ว แถมบริษัทยังมีอาหารกับที่พักให้
ทว่าความสุขไม่ยั่งยืน หลายวันก่อนเขาหลับในเวลางานจนถูกนักท่องเที่ยวร้องเรียนเข้า แถมพอดีกับช่วงที่หัวหน้าใหญ่มาตรวจสอบจึงถูกไล่ออก
ความจริงเขาได้ไปขอพำนักที่อารามไท่เหอมาแล้วสามวัน แถมยังหน้าด้านขอพักต่ออีกหนึ่งวันแล้วด้วย เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารและที่พักอาศัยจึงต้องออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็มาเจออารามเป้าหยาง
เซี่ยหลิงหยาฟังเรื่องราวที่แสนโชคร้ายจบแล้วก็แสดงสีหน้าเหลือเชื่อ “ออกบวชตั้งแต่อายุสิบแปด เอ้อระเหยอยู่ไปวันๆ มาตั้งแปดปี ดังนั้นตอนนี้คุณเพิ่งอายุยี่สิบหกเองหรือ??”
แต่ดูเหมือนสามสิบหกแล้ว!
นักพรตเคราบาง “…”
นักพรตเคราบางลูบหนวดเคราของตัวเอง เอ่ยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “นี่เป็นความต้องการของทางจุดชมวิว…ไม่สิ คุณโฟกัสผิดจุดหรือเปล่า?”
เซี่ยหลิงหยาพูดด้วยหน้าเหยเก “ทำไมถึงได้โชคร้ายขนาดนี้?”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน อาจารย์เคยบอกว่าดวงชะตาของฉันตกต่ำมากเหลือเกิน บางทีพ่อแม่อาจทิ้งฉันเพราะเป็นตัวนำพาความซวยก็ได้” เคราน้อยตอบ “เอ่อ พี่ชายตัวน้อย ฉันขอพักที่นี่สักสองสามวันได้ไหม? ฉันจะไปหางานอื่นทำแล้ว”
เซี่ยหลิงหยาแปลกใจ “หางานอื่น? คุณไม่หาอารามเต๋าแล้วหรือ?”
นักพรตเคราบาง “ฉันไม่อยากนำพาโชคร้ายมาให้คนอื่นอีกแล้ว…”
เซี่ยหลิงหยานึกถึงชีวิตอันขมขื่นของอีกฝ่ายที่โชคร้ายมาเพียงพอแล้ว พลันรู้สึกว่ามีบางจุดไม่ถูกต้อง “เดี๋ยวนะ บริษัทมีอาหารกับที่พักอาศัยให้ แล้วคุณไม่มีเงินเก็บเลยหรือ? แม้แต่ค่าพำนักก็ไม่มีจ่าย?”
การอาศัยในอารามเต๋าถูกกว่าพักที่โรงแรมหรือเช่าห้องอยู่มาก
“อ๋อ…” นักพรตเคราบางเกาศีรษะ “เงินเดือนของฉันบริจาคให้สถานสงเคราะห์หมดแล้ว ตัวฉันไม่มีพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก เข้าใจดีว่าต้องลำบากแค่ไหน”
เซี่ยหลิงหยาอึ้ง
เขาพิจารณามองนักพรตเคราบางให้ถี่ถ้วนอีกครั้ง แม้ว่าหนวดเคราค่อนข้างเกะกะสายตา แต่กลับมีดวงตาที่ซื่อสัตย์ จมูกโด่งและตรง แถมยังหางคิ้วตก เป็นนรลักษณ์ที่จริงใจน่าเชื่อถือ
นักพรตเคราบางหันมาพูด “เธอปลูกผักด้วยหรือ มา ฉันช่วยรดน้ำให้แล้วกัน”
เซี่ยหลิงหยามองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อน “คุณนักพรตหนวด ความจริงตอนนี้อารามของเราไม่มีนักพรตเลยสักคน ถ้าหากไม่ถือสาจะอยู่ที่นี่ก็ได้นะ”
นักพรตเคราบาง “…ฉันแซ่จาง”
เซี่ยหลิงหยา “…”
เซี่ยหลิงหยาพูดต่อ “ขอโทษทีผมจำผิด เอ่อ อารามของเราไม่ได้เพียบพร้อมอะไร ถ้าหากตกลง ผมมีอาหารกับที่พักอาศัยให้พร้อมเงินเดือนพื้นฐานแปดร้อยหยวนต่อเดือน หากออกไปทำพิธีข้างนอกค่อยคิดต่างหาก ตกลงไหมครับ?”
เงินส่วนตรงนี้เท่ากับเงินเดือนพื้นฐานของนักพรต แต่เทียบกับวัดวาอารามขนาดใหญ่ที่มีผู้ศรัทธามากเป็นพิเศษไม่ได้หรอกนะ อารามเต๋าธรรมดาทั่วไปจะได้เงินเดือนเริ่มต้นที่หลายร้อยไปจนถึงพันสองพันหยวน หากออกไปทำพิธีกรรมก็จะคิดเงินแยกต่างหาก เหมือนกับเป็นค่านายหน้า
ตอนนี้อารามเป้าหยางจนมาก จนถึงขั้นเซี่ยหลิงหยาต้องทำสวนเองเพื่อลดรายจ่ายแล้ว แต่เงินที่อาของเฮ่อจุนให้มาก่อนหน้านี้ยังเหลืออยู่บ้าง พอประคับประคองไปได้อีกระยะหนึ่ง เขากล้านำเงินส่วนนี้ออกมาก็เพราะอารามเต๋าต้องมีนักพรต ถือเป็นการลงทุนที่จำเป็น
ส่วนปัญหาอื่นๆ นั้น…
นักพรตเคราบาง “ฉันโชคร้ายขนาดนี้ เธอไม่กลัวหรือ?”
“ไม่กลัวหรอก มีผู้วิเศษเคยบอกว่าผมมีคุณสมบัติเป็นเซียน พาคนรอบข้างขึ้นสวรรค์ได้” เซี่ยหลิงหยาพูดอย่างไม่ยี่หระ “ผมคิดว่าคุณคงไม่โชคร้ายถึงขั้นฉุดผมตกต่ำได้”
นักพรตเคราบาง “…”
พูดกันตามความจริง หากไม่ใช่นักพรตเคราบางโชคร้ายขนาดนี้ ตัวเขาอาจจ้างนักพรตไม่ได้ก็เป็นได้ คนมักเดินขึ้นที่สูง[1] นักพรตเคราบางยังมีบัตรนักพรตด้วย บัตรนี้ต้องผ่านการบวชนานกว่าแปดปีถึงจะยื่นคำร้องขอมีบัตรได้
เซี่ยหลิงหยายังไม่กลัว แล้วนักพรตเคราบางยังมีอะไรต้องกลัวอีกล่ะ เขาเอ่ยขึ้นทันที “ถ้างั้นจากนี้ก็ฝากตัวด้วย!”

[1] มาจากประโยคคนมักเดินขึ้นที่สูง น้ำมักไหลลงที่ต่ำ หมายถึง คนเราต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเองเสมือนน้ำที่ไหลสู่ที่ต่ำเสมอ

คอมเมนต์

Chapter List