ครึ่งเซียนพาร์ตไทม์ ตอนที่ 7-2

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 7 นักพรตคนแรก(2)

เซี่ยหลิงหยากับนักพรตเคราบางเก็บกวาดห้องพักด้วยกันเสร็จแล้ว เขาก็ปลีกตัวออกมาทำบะหมี่ให้อีกฝ่ายกิน ตอนยกบะหมี่ออกมาจากครัวก็เห็นอีกฝ่ายกำลังรดน้ำผักอยู่ คาดไม่ถึงว่าจะลุกขึ้นมาทำงานเอง
“มากินอะไรก่อนสิ” เซี่ยหลิงหยาเรียก
นักพรตเคราบางลุกขึ้นแล้ววางบัวรดน้ำลง พอเงยหน้ามา เซี่ยหลิงหยาก็ตกใจ “คุณเป็นใครเนี่ย?”
นักพรตเคราบาง…เรียกเคราบางไม่ได้แล้วสิ จางเต้าถิงลูบหน้า “ฉันโกนนวดเครามาน่ะ เธอจำไม่ได้เลยหรือ”
“อย่างนี้สิถึงจะเชื่อว่านายอายุยี่สิบหกจริงๆ” เซี่ยหลิงหยาอึ้งไปเนิ่นนานกว่าจะเอ่ยออกมา
จางเต้าถิงยกยิ้มมุมปาก
หลังเขาโกนหนวดเคราที่รกรุกรังจนเกลี้ยงแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกก็พัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด เขาดูหล่อและสดใสขึ้นมาก
เห็นแบบนี้ก็รู้แล้วว่าเขาโชคร้ายมากขนาดไหน อย่างเซี่ยหลิงหยาเพราะมีหน้าตาที่ใครเห็นแล้วก็ต้องชื่นชอบ พวกลุงป้าที่ลานข้างหน้าต่างชอบมาพูดคุยกับเขา เมื่อก่อนเวลาไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ไหนลูกค้าก็มักให้ทิปสูงบ่อยครั้ง
เดิมทีเซี่ยหลิงหยายังกังวลว่าคนผู้นี้มีประวัติไม่ดีตอนทำงานที่จุดชมวิว ควรหาทางแก้ไขอย่างไรถึงจะเหมาะสม แต่เห็นแบบนี้แล้วถ้าหากยังมีใครจำได้อีกก็โคตรคนแล้ว!
จางเต้าถิงสูดบะหมี่พลาง เจียดเวลามาตอบคำถามเซี่ยหลิงหยาพลาง
ในฐานะที่เป็นนักพรตมีบัตรอนุญาต ทั้งยังแฝงตัวอยู่ในอารามเต๋าต่างๆ มาถึงหกเจ็ดปี เขาจึงมีประสบการณ์เรื่องลัทธิเต๋า คัมภีร์ และกฎเกณฑ์ต่างๆ แถมยังได้เรียนรู้ขั้นตอนประกอบพิธีกรรมจากอาจารย์มาบ้าง แต่ยังไม่เคยต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองเลยสักครั้ง
เซี่ยหลิงหยา “วาดยันต์เป็นไหม”
จางเต้าถิงตอบอย่างเป็นกังวล “ไม่เป็น”
เขาเร่ร่อนมาหลายอารามเต๋า กราบไหว้อาจารย์ไม่น้อยกว่าสามคน หรือไม่ก็ทำงานเบ็ดเตล็ดให้ใครก็ตามที่ร้องขอ เพราะอยู่ไม่นานนี่เอง ดังนั้นจึงเรียนรู้มาหลากหลายแต่ไม่เชี่ยวชาญสักอย่าง อักษรในยันต์ทั้งเยอะทั้งซับซ้อน เขาจึงไม่ค่อยเข้าใจหลักการมันเท่าไหร่นัก
หลายปีนี้เขาตะลอนไปในอารามเต๋าแต่ละแห่ง ผนวกกับดวงชะตาตกต่ำของตัวเอง จึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าบางสิ่งอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ยิ่งสัมผัสเท่าไหร่ก็ยิ่งปลงในวิชาความรู้อันมหาศาล
เซี่ยหลิงหยาไม่ได้คิดมาก พูดตามใจปาก “ไม่เป็นไร ผมวาดเป็น”
จางเต้าถิง “…”
“จริงสิ ผมขอคลำหน่อย” เซี่ยหลิงหยาบอก
เขาตั้งใจว่าจะคลำดูกระดูกของจางเต้าถิง คนผู้นี้แม้ชะตาชีวิตตกต่ำ แต่กลับมีคุณลักษณะไม่เลว ถ้าหากไม่ซื่อเกินไปก็เกือบจะได้เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของลุงเขาแล้ว แต่ก็คอยสอนความสามารถอื่นให้เขาได้บ้างตามสถานการณ์ ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นสมาชิกของอารามเป้าหยางแล้ว
“???” จางเต้าถิงกลืนบะหมี่ลงคออย่างลำบาก ถามเสียงอ่อน “ทำไมต้อง…”
“แค่คลำเฉยๆ” เซี่ยหลิงหยาตอบส่งๆ ยังไม่บอกเหตุผลที่ต้องตรวจสอบก่อน แต่คลำจางเต้าถิงสะดวกกว่าซือฉางเสวียนมาก เพราะตอนนี้จางเต้าถิงเป็นคนของอารามเป้าหยางแล้ว
จางเต้าถิงพยักหน้าอย่างหวั่นเกรง “ได้”
หลังจากเซี่ยหลิงหยาคลำเสร็จแล้วก็พอรู้แนวว่าจะผลักดันเขาไปในทางไหน แล้วกำชับทิ้งท้าย “เดี๋ยวผมจะเล่าประวัติความเป็นมาของอารามเป้าหยางให้ฟัง รวมถึงรายละเอียดสำคัญต่างๆ”
แน่นอนว่ายังมีเรื่องที่สำคัญมากก็คือต้องปรึกษากันว่าจะเพิ่มผู้ศรัทธายังไงดี


แขกประจำอารามเป้าหยางสังเกตเห็นแล้วว่ามีนักพรตเพิ่มมาอีกหนึ่งคน แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติเช่นกัน อารามเต๋าที่ไม่มีนักพรตต่างหากที่แปลก นักพรตประจำอารามเป้าหยางก่อนหน้านี้ไม่รู้หายไปไหนแล้ว ตอนนี้ในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้นสักที
นักพรตน้อยคนนี้ยังหนุ่ม หน้าตาดีไม่เลว หลังเสี่ยวเซี่ยพามาทักทายกับทุกคนก็แนะนำตัวว่าชื่อจางเต้าถิง
คนส่วนใหญ่ที่มาที่นี่เป็นนักดื่มชามาเพื่อตักน้ำ หรือไม่ก็เป็นชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ มาคุยเล่นยามว่าง พวกเขาเห็นจางเต้าถิงยังอายุน้อยก็เอ่ยถามด้วยความสนใจว่านักพรตต้องใช้ชีวิตยังไงบ้าง
จางเต้าถิงเล่าว่าเวลาส่วนใหญ่ตนจะใช้ไปกับการเรียน ก่อนดึงหัวข้อสนทนากลับมาที่อารามเป้าหยาง
พอพูดถึงอารามเป้าหยาง ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “เหมือนว่าอารามเป้าหยางสร้างมานานมากแล้ว แต่ฉันอยู่ในเมืองหนิ่วหยางมาตั้งนาน ยังไม่รู้เลยว่ามีภูมิหลังเป็นมายังไง”
จางเต้าถิงหลุดยิ้ม เล่าว่า “อารามของเราสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง ครั้งหนึ่งเคยถูกทำลายในสงคราม ต่อมาก็ได้สร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในสมัยราชวงศ์ชิง เทพเจ้าหลักที่บูชาในอารามคือเทพอัสนีไท่อี่เทียนจุนหวังหลิงกวน”
“หวังหลิงกวน เทพองค์ไหนกันน่ะ พวกเธอบูชาซานชิงไม่ใช่หรือ” มีคนถาม
จางเต้าถิงอธิบายเรื่องเทพเจ้าองค์หลักในอารามให้ฟัง จากนั้นก็ให้ความรู้เกี่ยวกับหวังหลิงกวน
มีคนนิสัยตรงไปตรงมาพูดขึ้น “เอาจริงๆ นะ ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย”
โดยปกติในสายตาของผู้ไม่ศรัทธาคิดว่าอารามเต๋าต้องบูชาเทพเจ้าที่เก่งกาจและมีชื่อเสียง อย่างเช่นเจินอู่ต้าตี้หรือหลี่ว์ต้งปิน แม้บอกว่าหวังหลิงกวนองค์นี้เป็นมหาเทพสายคุ้มครอง แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงมากขนาดนั้น อีกอย่างพอจางเต้าถิงเล่าว่า วิหารแรกของแต่ละอารามมักบูชาหวังหลิงกวน ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเทพเฝ้าประตูมากกว่า
จะว่าไปแล้วอารามเป้าหยางมีผู้ศรัทธาเงียบเหงาไม่สอดคล้องกับปรมาจารย์หวังหลิงกวนที่พวกเขาบูชา มณฑลเชวี่ยซานมีอารามหลิงกวนน้อยมาก ยุคนี้ทุกคนยอมที่จะกราบไหว้เทพเจ้าที่มีชื่อเสียงน่าเกรงขามดีกว่า
“หวังหลิงกวนเป็นมหาเทพที่คุ้มครองสำนักเต๋า มีหน้าที่ขับไล่ภูตผีสิ่งชั่วร้าย พูดแบบนี้ทุกคนอาจจะไม่เห็นภาพ ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังแล้วกัน” จางเต้าถิงว่า
“ทุกคนน่าจะรู้จักไซอิ๋วกันอยู่แล้ว ตอนที่ซุนหงอคงบุกไปก่อกวนสวรรค์ไม่มีใครขัดขวางเขาได้ กระทั่งบุกไปถึงตำหนักหลิงเซียว[1] เป็นหวังหลิงกวนที่ลงมือขัดขวางเขา ทั้งสองต่อสู้กันจนตัดสินแพ้ชนะไม่ได้ แม้ไซอิ๋วเป็นเพียงนิยาย แต่ทำไมผู้แต่งถึงเขียนให้หวังหลิงกวนกับซุนหงอคงต่อสู้เสมอกันล่ะ ก็เพราะหวังหลิงกวนเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่มีพลังต่อสู้สูงมากในทางลัทธิเต๋า!”
หวังหลิงกวนมีบทบาทในไซอิ๋วแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทุกคนจึงไม่มีภาพจำของท่าน แต่ถ้าหากลองไปค้นหาหลักฐานตามที่จางเต้าถิงเล่ามาจะพบว่าเป็นความจริง ทำให้ทุกคนถึงบางอ้อทันที
พวกเขาไม่คุ้นชื่อหวังหลิงกวน แต่คุ้นเคยเรื่องซุนหงอคงบุกก่อกวนสวรรค์กันดี จึงเห็นภาพชัดเจนแล้ว
ไม่คาดคิดเลยว่าหวังหลิงกวนจะเก่งกาจขนาดนี้ แถมมีกำลังรบเป็นอันดับต้นๆ ในลัทธิเต๋า มิน่าล่ะอารามเป้าหยางถึงได้บูชาท่าน
ได้รับคำอธิบายที่ชัดเจนด้วยการยกตัวอย่างง่ายๆ จากจางเต้าถิงแล้วทุกคนก็เข้าใจ ไม่ได้คิดว่าเทพเจ้าองค์หลักของอารามเป้าหยางไม่เจ๋งจริงอีกแล้ว
“นอกจากขับไล่ภูตผีปีศาจ ความจริงแล้วหวังหลิงกวนยังมีบทบาทอื่นอีก ท่านยังเป็นเทพอัสนี เทพอัคคี บันดาลฝนเบิกฟ้า รักษาโรคภัยพิษร้าย รวมถึงรักษาความสงบในโลกมนุษย์ ในสมัยราชวงศ์หมิงจักรพรรดิหย่งเล่อให้ความเคารพเทพหลิงกวนมากที่สุด ถึงขั้นบูชาเทวรูปหลิงกวนในตำหนักบรรทมเลยทีเดียว”
จางเต้าถิงเล่าต่อ “หากมีคนป่วยร่างกายอ่อนแอในครอบครัวก็หมั่นระลึกถึงหวังหลิงกวน หรือไม่ก็จุดธูปอธิษฐาน อัญเชิญยันต์หลิงกวนกลับบ้าน”
เล่าถึงตรงนี้ก็เริ่มเข้าใจยากแล้ว เป็นวิจารณญาณส่วนบุคคล หากเชื่อก็เป็นความจริง ไม่เชื่อก็ไม่ใช่ความจริง
ทุกคนกำลังนั่งอยู่ในอารามเป้าหยาง ส่วนใหญ่มาตักน้ำจากที่นี่บ่อยครั้ง หากไม่เชื่อแน่นอนว่าก็ไม่พูดจาลบหลู่โดยเด็ดขาด เวลาปกติมีบ้างที่ค่อนข้างสนใจเรื่องเหล่านี้ อีกอย่างตอนนี้ในที่สุดอารามเป้าหยางก็มีนักพรตแล้วจึงยินดีฟังต่อ
อย่างเช่นเพื่อนบ้านของซุนฟู่หยางเจ้าของร้านหนังสือพิมพ์ หรือก็คือยายหวังเพื่อนของยายซุนแม่ของเขา พอเธอได้ฟังแล้วก็ถามคำถามขึ้นมา
จางเต้าถิงยิ้มบางๆ ถือโอกาสอธิบายว่าจะใช้คาถาหลิงกวนหรือต้องทำท่าทางอย่างไรกับยายหวัง ค่อยๆ สอนให้เข้าใจทีละประโยค
ยายหวังฟังแล้วก็พยักหน้าตาม ท้ายสุดยังถามอีกว่ายันต์หลิงกวนมีด้านไหนบ้าง ราคาเท่าไหร่ แต่ก็เพียงแค่ลองถามดูเท่านั้น เธอเห็นว่านักพรตหนุ่มแบบนี้หาได้ยาก อีกอย่างเธอเพิ่งอัญเชิญยันต์จากอารามไท่เหอมาเมื่อช่วงตรุษจีนนี่เอง
เธออยู่ใกล้กับอารามเป้าหยาง กลับไม่เคยมากราบไหว้ที่นี่เลย หลายวันนี้ได้ออกมาเดินเล่นกับเพื่อนจึงถือโอกาสเข้ามาจุดธูปกราบไหว้เทพซานชิงด้วยความเคารพสองครั้ง สำหรับเธอแล้วยังเป็นป้ายอารามไท่เหอที่สว่างกว่าหน่อย
ยายหวังคุยกับจางเต้าถิงพลางเกาบริเวณที่ถูกยุงกัดตามตัวไปพลาง
จางเต้าถิงมองแวบหนึ่ง “คุณป้า ที่บ้านยุงเยอะหรือครับ?”
ยายหวังตอบ “ใช่แล้ว บ้านฉันอยู่ชั้นแรกยุงก็เลยเยอะ ยุงพวกนั้นตบเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที”
จางเต้าถิงยิ้มบางๆ อีกครั้ง “ยุงเยอะก็อัญเชิญยันต์ไล่ยุงกลับไปสักแผ่นได้นะครับ”
“…” คนอื่นที่ได้ยินต่างพูดไม่ออก นี่มันอะไรกัน เขาบอกว่ายันต์ป้องกันตัวยังพอทำเนา นี่ยังมียันต์ไล่ยุงด้วยหรือ?
แม้แต่ยายหวังที่ศรัทธาในเทพเจ้ายังถามขึ้นด้วยความสงสัย “นี่…ใช้ได้ผลด้วยหรือ”
ตอนนี้สิ่งที่ขายกันมากที่สุดในอารามเต๋าล้วนเป็นพวกยันต์ป้องกันตัวหรือยันต์นำโชค มียันต์ไล่ยุงด้วย? ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ทำไมถึงได้รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมนะ
จางเต้าถิงย้อนถาม “คุณเห็นว่าอารามของเรามียุงไหมล่ะครับ”
ทุกคนชะงักไปชั่วขณะ สองวันมานี้เหมือนว่าอารามเป้าหยางไม่มียุงจริงๆ!
หากจางเต้าถิงไม่ทักพวกเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว พอทักขึ้นมาก็นึกได้ว่าจริงด้วย โดยเฉพาะคนที่มานั่งอยู่ที่นี่หลายชั่วโมงแล้วก็ยิ่งรู้สึกได้ชัดเจน
“ฉันยังแปลกใจอยู่เลยว่าทำไมถึงไม่มียุงสักตัว!”
แม้พูดแบบนี้ แต่หากจะให้คนส่วนใหญ่เชื่อในประสิทธิภาพของยันต์ไล่ยุงที่จางเต้าถิงบอกก็เป็นไปได้ยากอยู่บ้าง
สุดท้ายก็มีเพียงยายหวังกับนักดื่มชาสามสี่คนที่ขอยันต์ไล่ยุงกลับไปด้วยความสมัครใจ จางเต้าถิงพูดด้วยความมั่นใจขนาดนั้น ทำให้ยายหวังเชื่ออยู่บ้าง
คนอื่นๆ นอกจากสนใจก็คิดว่ายันต์แผ่นหนึ่งไม่ได้แพงอะไร แค่ยี่สิบหยวนเท่านั้น เห็นเป็นความบันเทิงชั่วคราว อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย แต่ปกติพวกเขามาตักน้ำฟรีในบ่อน้อยเสียเมื่อไหร่กันล่ะ อย่างน้อยก็ต้องตอบแทนน้ำใจกันบ้าง สนับสนุนอารามจนๆ แห่งนี้หน่อยจะเป็นอะไรไป!

จางเต้าถิงเดินไปข้างหลังเพื่อหยิบยันต์ให้ทุกคน กลับเดินไปหาเซี่ยหลิงหยา พูดว่า “บอส ขอยันต์ไล่ยุงสามแผ่น”
ก่อนหน้านี้เขายังเรียกเซี่ยหลิงหยาว่าพี่ชายตัวน้อย ต่อมาพอรู้ว่าอารามเป้าหยางเป็นของเซี่ยหลิงหยาก็เปลี่ยนชื่อเรียกอย่างเงียบๆ
“โอเค ฉันรู้อยู่แล้วว่ายันต์ไล่ยุงต้องตีตลาดในหน้าร้อนได้แน่นอน”
เซี่ยหลิงหยาจับพู่กันวาดยันต์ไล่ยุงสามแผ่น ยันต์นี้เป็นหนึ่งในผลสำเร็จที่เขาศึกษาในช่วงที่ผ่านมา เป็นเหตุผลว่าทำไมสองวันนี้ถึงไม่มียุงในอารามเลย
เรื่องยันต์อิ่มทิพย์กับบ่อน้ำครั้งก่อนทำให้เซี่ยหลิงหยาตระหนักได้ว่า ตอนนี้คาถาจำพวกใช้ในชีวิตประจำวันค่อนข้างช่วยเหลืออารามเล็กๆ ที่มีผู้ศรัทธาบางตาของพวกเขาได้ดีกว่า ดังนั้นจึงใช้ทุ่มเวลาศึกษาด้านนี้มากขึ้น
อย่างยันต์ไล่ยุงนี้ นักพรตทั่วไปอาจไม่ทราบว่านี่เป็นผลงานของนักพรตในสมัยราชวงศ์หมิงที่ชื่อว่าหวังจื้อหราน ความสามารถของเขาโด่งดังมากถึงขั้นได้ยินว่าควบคุมฟ้าฝนได้ เขาก็บูชาหวังหลิงกวนเหมือนกัน อาจมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับอารามเป้าหยางบ้างก็เป็นได้
ยันต์ไล่ยุงจัดอยู่ในหมวดยันต์เบ็ดเตล็ด มีความหมายตามชื่อของมัน เป็นยันต์ที่ทำได้เพียงแก้ไขปัญหาสัพเพเหระได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น ปัจจุบันอารามเต๋าที่ได้มาตรฐานจะไม่ขายยันต์ประเภทนี้เพราะจะสร้างความรู้สึกไม่เหมาะสมแก่ผู้ศรัทธา ทั้งที่ในความจริงแล้วศาสตร์คาถาของสำนักเต๋านั้นครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง
ยันต์ไล่ยุงขายในราคาแค่ยี่สิบหยวนเท่านั้น เท่ากับจำพวกยันต์ป้องกันตัวหรือยันต์ขอบุตร หากเทียบราคากับอารามเต๋าอื่นๆ แล้ว โดยทั่วไปขายกันในราคาห้าหกสิบหยวนไปจนถึงสามหรือห้าร้อยหยวนก็มี
จางเต้าถิงมาได้ถูกจังหวะ ในที่สุดอารามเป้าหยางก็มีนักพรตเสียที เปิดต้อนรับผู้ศรัทธาได้แล้ว
เซี่ยหลิงหยาก็พายเรือตามน้ำ[2]เหมือนกัน บอกจางเต้าถิงให้คอยโปรโมตขายยันต์ ถึงอย่างไรถ้าเป็นนักพรตออกหน้าเองก็ค่อนข้างเป็นเรื่องที่รับได้ ส่วนตัวเขาจะคอยควบคุมวาดยันต์เพิ่มอยู่ข้างหลัง ด้วยความเร็วของเขาแล้ว ไม่ว่าเป็นยันต์ประเภทไหน ใช้เวลาแค่สามถึงห้านาทีก็วาดเสร็จแล้ว
ตอนนี้เองที่กลายเป็นสาเหตุหลักให้เซี่ยหลิงหยาได้รับฉายาว่าเป็นเครื่องผลิตยันต์มีชีวิตแห่งหนิ่วหยางในเวลาต่อมา

[1] ตำหนักเมฆาน้ำแข็ง ตามตำนานกล่าวว่าเป็นพระราชวังของเง็กเซียนฮ่องเต้
[2] ถือโอกาสทำตามสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย

คอมเมนต์

Chapter List