ครึ่งเซียนพาร์ตไทม์ บท 1-1
บทที่ 1 กระดูกเดินดารา (1)
เมืองหนิ่วหยางในเดือนมิถุนายนร้อนอบอ้าวเสียยิ่งกว่าปีที่แล้ว ฝนไม่ตกมาหลายวัน ลมที่พัดมายังเจือไอร้อน
เวลานี้นักศึกษาคนหนึ่งรีบร้อนเดินออกมาจากในอาคารเรียนสามของมหาวิทยาลัยเชวี่ยตงที่ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองของเมืองหนิ่วหยาง เขาสวมสเวตเตอร์สีดำแดงกับกางเกงยีน เครื่องหน้าทั้งห้างดงาม ผิวพรรณขาวผ่อง ถุงใต้ตาทำให้ดวงตาของเขาดูราวกับมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ชวนให้รู้สึกประทับใจได้โดยง่าย
เมื่อวิ่งมาถึงแปลงดอกไม้หน้าตึกก็พลันมีคนชะโงกหน้าออกมาจากหน้าต่างอาคารเรียนสอง ตะโกนใส่นักศึกษาคนนี้ว่า “เซี่ยหลิงหยา ทำไมรีบกลับล่ะ คราวหน้าต้องเลี้ยงข้าวทุกคนด้วยนะ!”
“ผมมีธุระที่บ้านน่ะครับ อาจารย์ฟาง ไว้เลี้ยงซุปหมาล่าทุกคนเองครับ!” นักศึกษาที่ถูกเรียกว่าเซี่ยหลิงหยาหันกลับไปตอบ
อาจารย์ฟางมองเซี่ยหลิงหยาวิ่งไป แล้วก็หันกลับมาพร้อมรอยยิ้มบนหน้า
วันนี้เป็นวันสอบอภิปรายวิทยานิพนธ์จบการศึกษาของนักศึกษาสาขาวิชาการจัดการการเงินของมหาวิทยาลัยเชวี่ยตง ทั้งสาขามีเพียงเซี่ยหลิงหยาที่กลับไปเร็วที่สุด คล้ายว่ามีธุระที่บ้านจึงเพียงทักทายอาจารย์สั้นๆ เท่านั้น
แม้ว่าอาจารย์ฟางไม่ใช่ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของเซี่ยหลิงหยาแต่ก็เคยสอนเขามาก่อน เขาเดินมาจากห้องเรียนข้างๆ แล้วเอ่ยถามไปด้วยความอยากรู้
“จะว่าไปแล้วเหมือนไม่เคยได้ยินว่าเซี่ยหลิงหยาไปฝึกงานที่ไหนเลย วิทยานิพนธ์เขาเป็นยังไงบ้าง?”
หลักสูตรของพวกเขาคือนำการฝึกงานกับวิทยานิพนธ์รวมเข้าด้วยกัน และอนุญาตให้นักศึกษาเลือกหัวข้อเกี่ยวกับการฝึกงานเป็นหัวข้อในวิทยานิพนธ์ได้ แม้ไม่ใช่ระบบบังคับ แต่นักศึกษาส่วนใหญ่ต่างทำกันแบบนี้
อาจารย์ที่ปรึกษาของเซี่ยหลิงหยาได้ยินก็แสดงสีหน้าแปลกใจ หยิบรายงานฝึกงานออกมา เลื่อนไปตรงหน้าอาจารย์ฟางพลางกล่าว “วิทยานิพนธ์เขียนได้ไม่เลว องค์กรที่ฝึกงาน…”
อาจารย์ฟางยื่นหน้าไปมองด้วยความอยากรู้ เมื่อเห็นตราประทับที่ประทับไว้ด้านบน ก็พลันรู้สึกสับสน
“อารามเป้าหยางแห่งเมืองหนิ่วหยางในมณฑลเชวี่ยซาน ประเทศจีน เขาไปทำอะไรที่นั่น ฝึกงานในอารามเต๋าก็ได้หรือ”
ลองอ่านดูอีกคร่าวๆ ก็พบว่าหัวข้อวิทยานิพนธ์เกี่ยวข้องกับอารามเป้าหยางจริงๆ เป็นวิทยานิพนธ์ที่เป็นเอกลักษณ์ต่างไปจากหัวข้อหลากหลายของนักศึกษาคนอื่นๆ
อาจารย์ที่ปรึกษาเกาศีรษะก่อนกล่าว
“ตอนแรกผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ยังคิดอยู่เลยว่าอารามเต๋ามีตราประทับเป็นทางการหรือเปล่า แต่เอาเข้าจริงก็มีหมดทุกอย่าง เสนอตำแหน่งให้ด้วยก็ยังได้ ขนาดนักศึกษาในสาขาข้างๆ เรายังเข้าฝึกงานที่ห้างสรรพสินค้าหน้ามหาวิทยาลัยได้ แล้วทำไมจะฝึกงานที่อารามเต๋าไม่ได้ล่ะ อีกอย่างผมลองถามดูแล้ว เหมือนว่าลุงของเขาเป็นเจ้าของอารามเต๋าด้วย”
“เซี่ยหลิงหยาคนนี้…คงไม่คิดหางานทำแล้วแน่นอน เข้าสังกัดในองค์กรของญาติตามสะดวก เขาไม่ใช่ว่าสอบปริญญาโทไม่ผ่านก็เตรียมตัวจะสู้ต่อแล้วหรือ” อาจารย์ฟางถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“ฉันก็คิดแบบนั้น”
ข้างๆ ยังมีนักศึกษารออยู่ ทั้งสองจึงคุยอะไรมากไม่ได้ บทสนทนาจึงจบลงเพียงเท่านี้
โรงพยาบาลใจกลางเมืองหนิ่วหยาง
เซี่ยหลิงหยาเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยด้วยความระมัดระวัง ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเป็นชายชราผมหงอกซึ่งมีใบหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงผู้ป่วย เขารีบสูดลมหายใจลึกๆ เดินไม่กี่ก้าวก็ไปถึงเตียงผู้ป่วย
“คุณลุง?”
ชายชราคนนี้คือหวังอวี่จี๋ ลุงของเซี่ยหลิงหยา ออกบวชเป็นนักพรตตั้งแต่อายุสิบสี่ ตอนนี้เป็นเจ้าของอารามและเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวของอารามเป้าหยาง ตนเองชี้แนะตนเองมากว่าสิบปีแล้ว
สองสามเดือนก่อนเซี่ยหลิงหยาไปขอความช่วยเหลือจากหวังอวี่จี๋เรื่องประทับตราฝึกงาน ไม่คิดเลยว่าเมื่อได้พบกันอีกครั้ง หวังอวี่จี๋ดูเหมือนแก่ตัวลงหลายสิบปี ทำให้เซี่ยหลิงหยาตกใจกลัวอย่างที่สุด
“ลุงเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
เมื่อหวังอวี่จี๋ได้พบเซี่ยหลิงหยาก็มีสีหน้าสงบลงเล็กน้อย เขาออกแรงก้มตัวไปควานหาของบางสิ่ง เซี่ยหลิงหยาจึงรีบเข้าไปช่วยหา แล้วก็ควานเจอกล่องไม้ใบหนึ่งใต้เตียง หยิบออกมาดูแล้วก็คุ้นตามาก ถ้าเขาจำไม่ผิด สิ่งที่อยู่ข้างในคงเป็นกระบี่ไม้เล่มหนึ่งที่หวังอวี่จี๋แทบจะไม่เคยไว้ห่างตัว เป็นของโบราณไว้ใช้ประกอบพิธีกรรมที่สืบทอดต่อกันในอารามเต๋าของพวกเขา ชื่อว่ากระบี่ตรีรัตน์
“เสี่ยวหยา เวลาของลุงใกล้หมดลงแล้ว” ประโยคแรกของหวังอวี่จี๋ทำให้เซี่ยหลิงหยาตกใจอย่างมาก เขาไม่มีแรงพูดคุยมากนัก กดเซี่ยหลิงหยาให้ฟังตนพูดจนจบ
“หลานเก็บกระบี่ตรีรัตน์เอาไว้ ลุงทำพินัยกรรมไว้แล้ว เมื่อลุงจากไปแล้วอารามเป้าหยางจะเปลี่ยนไปอยู่ภายใต้ชื่อของหลาน ตอนนี้หลานเรียนจบแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก ลุงเป็นห่วงแค่เรื่องเดียวก็คือไม่ทันได้รับลูกศิษย์ ไม่ได้ถ่ายทอดหลักการเต๋าให้ ต่อไปถ้าหลานมีเวลาว่างก็ช่วยลุงดูหน่อยว่าพอจะหาลูกศิษย์ได้บ้างไหม…แต่ก็คงยากอยู่เหมือนกัน”
หวังอวี่จี๋แค่นหัวเราะตนเอง
“ครึ่งชีวิตแรกมั่นใจในตัวเองและมีความทะเยอทะยาน ครึ่งชีวิตหลังหมดไปอย่างรวดเร็ว ทำให้อาจารย์ผิดหวังแล้ว แม้แต่ศิษย์สักคนยังไม่มี คาดว่าคงตายตาไม่หลับ”
คุณแม่ของเซี่ยหลิงหยาจากไปตั้งแต่ยังสาว ตอนเด็กๆ คุณพ่องานยุ่ง เขาจึงกินข้าวกับคุณลุงบ่อยครั้ง มีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อเห็นสภาพของคุณลุงในตอนนี้น้ำตาก็แทบไหล
“ลุงอย่าทำให้ผมตกใจสิ ตายเตยอะไรกัน พูดจาน่ากลัวขนาดนั้น ลุงไม่มีลูกศิษย์ก็รับผมแทนแล้วกัน ผมจะกราบคำนับลุงเป็นอาจารย์ตอนนี้เลย ลุงเคยบอกว่าผมมีคุณสมบัติที่จะเป็นเซียนไม่ใช่หรือ”
หวังอวี่จี๋ทั้งหัวเราะทั้งเจ็บปวดใจ ตำหนิแต่เจือรอยยิ้มบางๆ
“เด็กโง่ หลานยังคิดจะเป็นเซียนอีกหรือ กระดูกชิ้นนั้นของหลานคงงอกมาผิดรูป ถ้าลุงรับหลานเป็นศิษย์ อาจารย์ของลุงคงไม่ต่อว่าอะไร แต่แม่หลานต้องรอหยิกลุงอยู่ข้างล่างแน่”
เซี่ยหลิงหยาเริ่มรู้ตั้งแต่ตอนประถมว่าอาชีพของคุณลุงนั้นต่างจากวิทยาศาสตร์ที่คุณครูสอนลิบลับ ขนาดหนังสือ ‘ใกล้วิทยาศาสตร์’ ยังอธิบายหลักการส่วนนั้นไม่ได้ แต่เมื่อคุณลุงที่คาดการณ์ได้แม่นเหมือนเซียนพูดถึงเวลาตายของตัวเองก็ทำให้เขาหวั่นวิตกมาก
เซี่ยหลิงหยาฝืนยิ้ม ถามว่า “ลุงครับ หมอบอกผลตรวจว่ายังไงบ้าง ผมตามพ่อมาดีกว่า เราย้ายโรงพยาบาลกันเถอะ เหมือนว่าพ่อจะรู้จักหมอที่โรงพยาบาลหนึ่ง”
“อายุขัยลุงใกล้หมดแล้ว เราใช้เวลานี้คุยกันให้มากดีกว่า” หวังอวี่จี๋ส่ายหน้า
“แต่ทำไมถึงกะทันหันแบบนี้…ครั้งก่อนตอนที่ผมเจอลุงยังดีๆ อยู่เลย” เซี่ยหลิงหยาไม่อยากเชื่อ
“ไปสะสางเรื่องบางอย่าง ตบะไม่แก่กล้าพอก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ”
หวังอวี่จี๋พูดเสียงเบา ทว่าก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นโดยพลัน ทั้งมีแรงบีบไหล่เซี่ยหลิงหยา “เก็บกระบี่ไว้ให้ดี หากอนาคตลูกศิษย์ที่ลุงไม่เคยพบหน้ามีโอกาสได้กราบเข้าสำนักเรา หลานก็ส่งต่อให้เขา สมุดบันทึกเหล่านั้นยังเก็บไว้ที่เดิม หลานจำได้ใช่ไหม”
“เสี่ยวหยา หลานยังจำได้ไหม ตอนที่หลานอยู่มัธยมปลายปีหนึ่งยังใช้ชีวิตไร้สาระ กลางดึกก็ชวนกันปีนกำแพงกับเพื่อน ขโมยกระบี่ตรีรัตน์ของลุงไปขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่บ้านเขา ที่จริงแล้วตอนนั้นลุงกลับมานึกเสียใจอยู่บ้างที่บอกพ่อแม่หลานว่าจะไม่มีวันรับหลานเป็นศิษย์ กระดูกเดินดารานั้นเป็นพรสวรรค์ยอดเยี่ยมอย่างที่ตำนานว่าไว้จริงๆ ลุงไม่เคยสอนหลานเลย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่เคย หลานอาศัยแค่แอบดูไม่กี่ครั้งก็ใช้กระบี่ตรีรัตน์ได้แล้ว”
“แต่ก็ไม่รู้ทำไม ภายหลังนิสัยของหลานก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลานเริ่มทุ่มเทเวลาไปกับการเรียนหนังสือ ผลการเรียนก็ดีขึ้นชั่วพริบตา แถมยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วย เหมือนที่แม่หลานเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้เลย เด็กควรตั้งใจเรียนหนังสือให้มาก”
“ตอนที่ลุงยังเด็กก็แอบดูอาจารย์ทำงานเหมือนกัน แต่พวกเราในตอนนั้นไม่เหมือนหลาน…”
…
ยิ่งหวังอวี่จี๋เอ่ยถึงเรื่องราวในวันวานก็ยิ่งมีเรี่ยวแรง ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาดหลายส่วน กลับกลายเป็นเซี่ยหลิงหยาแทนที่หน้าเริ่มซีดลงทุกขณะ
ประกายแสงวาบขึ้นในห้วงความคิดของเซี่ยหลิงหยา เขายื่นมือไปกดกริ่งเรียกพยาบาล พร้อมทั้งลุกขึ้นกล่าวว่า
“ลุงครับ ผมจะไปตามหมอ ลุงไม่ต้องเป็นห่วง กลับไปแล้วผมจะไปทำงานที่อารามเต๋าของลุง เราจะรับลูกศิษย์เข้ามาหลายสิบคนเลย ถ้าที่ไม่พอก็ขยายที่เพิ่ม…”
หวังอวี่จี๋กลับยื้อข้อมือของเซี่ยหลิงหยา เรี่ยวแรงที่เพิ่มขึ้นชั่วพริบตาทำให้เขาเป็นอิสระไม่ได้ “เสี่ยวหยา หลานบอกเขาด้วยว่าสิ่งที่ตรีรัตน์ฝึกฝนไม่ใช่กระบี่ แต่เป็นจิตใจ”
‘เขา’ ที่ว่าคงหมายถึงลูกศิษย์ของหวังอวี่จี๋ที่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนคนนั้น
เซี่ยหลิงหยาร้องไห้โฮ รับคำว่า “ผมสัญญา!”
คอมเมนต์