ครึ่งเซียนพาร์ตไทม์ บท 1-2

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 1 กระดูกเดินดารา (2)

ถนนคนเดินจินกุ้ยในเมืองหนิ่วหยางมีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเดียวกันทั้งหมด ตั้งแต่หัวถนนจนสุดปลายถนน ไม่ว่าจะเป็นร้านเสื้อผ้า ร้านของทำมือ หรือร้านอาหารต่างทาผนังข้างนอกด้วยสีฟ้าอมเทาแบบเดียวกัน มีป้ายบอกชื่อร้านเป็นสีน้ำตาลอมแดง มุมชายคาที่ยื่นออกมาเป็นสไตล์โบราณที่ไม่ได้รับความสนใจ
ต่อจากถนนคนเดินจินกุ้ยคือจัตุรัสหลีหมิงบริเวณที่บรรจบกันมีหน้าประตูขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ก่อสร้างแบบเดียวกันกับถนนคนเดิน ป้ายด้านหน้าแบบเดียวกันเขียนอักษรตัวใหญ่ว่า ‘อารามเป้าหยาง’
ความจริงแล้วหากยืนสังเกตจากระยะไกลก็จะพบว่านอกจากผนังข้างนอกเป็นสไตล์โบราณแล้ว ยังมีสถาปัตยกรรมหลังคาที่มีกลิ่นอายของยุคสมัยรางๆ แต่เพราะอารามมีประตูหน้าทรงโบราณแบบเดียวกับบริเวณโดยรอบ ทำให้แม้มีคนเดินเล่นบนถนนคนเดินมาก แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับอารามแห่งนี้แม้แต่น้อย
สองสามเดือนมานี้ประตูอารามเป้าหยางปิดสนิท จนกระทั่งตอนนี้ที่เซี่ยหลิงหยากับพ่อไขประตูเปิด พวกเขาเพิ่งจัดงานศพของหวังอวี่จี๋เสร็จสิ้นไปอย่างเรียบง่ายตามความต้องการตอนยังมีชีวิตอยู่ของเขา
ภายในอารามเป้าหยางกว้างกว่าที่เห็นภายนอกมาก หลักๆ เป็นเพราะได้แบ่งพื้นที่เล็กๆ หน้าอารามให้คนอื่นเช่า ปรับปรุงเป็นร้านขายหนังสือพิมพ์ขนาดเล็ก แม้จะดูแคบและเล็กเมื่อมองจากข้างนอก แต่ในความเป็นจริงแล้วกว้างถึงสิบห้าเมตรเป็นอย่างน้อย อีกทั้งเมื่อเดินเข้าไปข้างในก็ยังกว้างกว่าเดิมอีกเล็กน้อย
ต่างจากประตูหน้ากลางเก่ากลางใหม่ ภายในอารามเป้าหยางค่อนข้างมีกลิ่นอายโบราณ บนพื้นปูด้วยหิน ไม้กระดาน และก้อนอิฐสีดำ เมื่อเข้ามาแล้วราวกับเป็นโลกอีกใบหนึ่ง
ตอนนี้สิทธิ์ในการครอบครองสถานที่แห่งนี้เป็นของเซี่ยหลิงหยาแต่เพียงผู้เดียว แต่เพราะไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้วจึงถือโอกาสสำรวจให้ทั่วก่อน
ผู้เป็นพ่อวางกระเป๋าเดินทางของเซี่ยหลิงหยาลง แน่นอนว่ามีกระเป๋าของเซี่ยหลิงหยางแค่คนเดียว ตัวเขาทำงานอยู่ในตัวเมือง และลางานเพื่อมาที่นี่ ยังต้องกลับไปทำงานต่อ
เขาเอ่ยถาม “ตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม”
เซี่ยหลิงหยามองพ่อแวบหนึ่ง ตอบว่า “พ่อไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่ออกบวชแน่นอน ผมยังอยากต่อปริญญาโทอยู่นะ แต่อยู่ที่นี่จะได้ช่วยทำความปรารถนาของลุงให้สำเร็จได้ง่ายกว่า”
มุมปากของคุณพ่อเซี่ยกระตุกสองครั้ง เริ่มใจฝ่ออย่างเลี่ยงไม่ได้
“…พ่อแค่กลัวว่าลูกจะลำบาก อารามของลุงมีแต่ความเงียบเหงา ไม่มีอะไรดึงดูดผู้คน”
“นั่นก็จริง ตอนนี้จะหาภิกษุหรือนักพรตสักคนต้องระบุเงินเดือนชัดเจน แต่ผมจะพยายามแล้วกัน” เซี่ยหลิงหยาตอบ

หลังส่งผู้เป็นพ่อกลับไปแล้ว เซี่ยหลิงหยาก็เก็บกวาดห้องของหวังอวี่จี๋พักหนึ่ง ก่อนจะนำกระบี่ตรีรัตน์ไปเก็บไว้ในห้องของตนเอง เมื่อเห็นมัน เซี่ยหลิงหยาก็หวนคิดถึงคำพูดของลุงแล้วก็รู้สึกเศร้าใจอย่างมาก
สมุดบันทึกที่หวังอวี่จี๋เอ่ยถึง เซี่ยหลิงหยาก็จัดให้เป็นระเบียบด้วยเช่นกัน บันทึกเหล่านี้เป็นสมบัติตกทอดมาจากอาจารย์บรรพบุรุษ อนาคตหากลูกศิษย์ที่หวังอวี่จี๋ไม่เคยพบหน้าได้เข้ามาร่ำเรียนในสำนัก ก็ต้องพึ่งบันทึกเหล่านี้แล้ว
ก่อนตายหวังอวี่จี๋ได้อนุญาตให้เซี่ยหลิงหยาเปิดอ่านดูได้ อีกอย่างถ้าไม่เปิดอ่าน เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยหวังอวี่จี๋ตามหาลูกศิษย์อย่างไร
บันทึกมีมากมาย ทั้งยังส่งต่อผ่านมือคนรุ่นก่อนมามากมาย ไหนจะเนื้อหาอันซับซ้อนที่ต้องเรียน แต่โชคดี ตอนที่หวังอวี่จี๋คัดลอกได้จัดเป็นหมวดหมู่และเขียนหมายเหตุกำกับเอาไว้แล้ว
เซี่ยหลิงหยาเปิดสุ่มไปถึงบทหนึ่งที่ว่าด้วยคำบรรยายวิชานรลักษณ์[1] ประโยคแรกเขียนว่า ‘ผู้มีกระดูกเซียนที่หน้าอก ชื่อเรียกกระดูกเดินดารา’
ความรู้สึกคุ้นเคยนี้ทำให้เซี่ยหลิงหยาเหม่อลอยเล็กน้อย
ครั้งล่าสุดที่ได้ยินคำว่า ‘กระดูกเซียน’ เป็นตอนที่เซี่ยหลิงหยารนหาที่ตายสมัยประถมครั้งนั้น หวังอวี่จี๋หลุดปากพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจ ทำให้เซี่ยหลิงหยารู้ว่าตัวเองมีกระดูกเซียนที่หน้าอก
กระดูกเซียนคืออะไร?
ผู้มีกระดูกเซียนที่หน้าอก เรียกว่า กระดูกเดินดารา กระดูกเซียนเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากระดูกเดินดารา อธิบายแบบนี้ก็แล้วกัน ในภาคทฤษฎีลัทธิเต๋ากล่าวว่า ผู้ที่มีกระดูกเดินดาราชิ้นนี้งอกขึ้นมาจะมีชื่อจารึกในบันทึกเซียน หมายความว่าเป็นผู้มีวาสนาเป็นเซียน!
พูดแบบนี้ก็อาจจะดูเพ้อเจ้อเกินไปหน่อย แต่ครั้งโบราณกาลเคยมีบันทึกว่า ผู้มีกระดูกเดินดาราล้วนเป็นผู้บุกเบิกสร้างสำนักเต๋า และยังเป็นผู้เก่งกาจที่นำพาสำนักไปสู่ความรุ่งเรืองได้อีกด้วย
ในตอนนั้นหวังอวี่จี๋ก็ปลงตกเช่นกัน เขาบอกว่า ‘อาจารย์เคยบอกกับลุงว่า ปุถุชนมีทั้งผู้ที่บำเพ็ญตบะมาชั่วชีวิตแต่ติดอยู่นอกสำนัก มีทั้งผู้ที่นั่งสมาธิหลายสิบปีจนบรรลุถึงสัจธรรม และมีทั้งผู้ที่ใช้เวลาสิบหกก้าวบรรลุเป็นเซียน!’
‘ยิ่งเข้าสู่สำนักก็ยิ่งเน้นหนักเรื่องพรสวรรค์ เสี่ยวหยามีพรสวรรค์แบบนี้ มิน่าถึงเข้าใจได้โดยไม่ต้องมีครูสอน!’
‘เข้าใจอะไร ขนาดตัวอักษรภาษาอังกฤษสักตัวเขายังจำไม่ได้!’ พ่อของเขาต่อว่าพลางยกมือตบท้ายทอยเซี่ยหลิงหยาที่กำลังลำพองใจหลังได้ยินสิ่งที่หวังอวี่จี๋พูด
แน่นอนว่านี่เป็นยุคสมัยใหม่แล้ว การบำเพ็ญตบะไม่สู้สอบเข้ามหาวิทยาลัย
เซี่ยหลิงหยาล่องลอยดุจเซียนไปช่วงหนึ่ง เมื่อได้พบเหตุการณ์บางอย่างแล้วก็ทุ่มเทเวลาไปกับทะเลแห่งการเรียนรู้ ไม่ได้แอบมองลุงของเขาทำกิจกรรมงมงายอีกเลย
เมื่อก่อนผลการเรียนของเซี่ยหลิงหยาแย่มาก แต่คนไม่เอาถ่านเมื่อกลับใจได้แล้วยังมีค่ามากกว่าทอง หลังได้ทุ่มเทไปกับการเรียนหนึ่งปี ในที่สุดก็สอบผ่านรอบสอง[2]ระดับท้องถิ่นมาได้
แถมเซี่ยหลิงหยายังได้เรียนรู้ถึงรสชาติของชีวิต เข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็จมอยู่ในมหาสมุทรแห่งปัญญาเช่นกัน เนิ่นนานไม่อาจถอนตัวออกได้ อย่าได้พูดถึงกระดูกเดินดาราหรือเวทย์มนต์คาถาอะไรนั่นเลย

เซี่ยหลิงหยาได้สติกลับคืนมาก็ปลงตกเล็กน้อย เขาถือสมุดบันทึกพลางพูดในใจว่า ‘ลุงไม่ต้องเป็นห่วงนะ คนที่มีกระดูกพื้นฐานยอดเยี่ยมเหมือนผมอาจหาได้ยากในโลกนี้ แต่ผมจะพยายามช่วยลุงตามหาเจ้าของอารามคนใหม่ให้ได้โดยเร็วแน่นอน!’
ลูกศิษย์ของหวังอวี่จี๋รับหน้าที่เป็นผู้สืบทอดสำนักของเขา แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าของอารามคนต่อไป และไม่ได้ขัดกับสิทธิ์ในการครอบครองสถานที่นี้ของเซี่ยหลิงหยาแต่อย่างใด แต่เซี่ยหลิงหยาทบทวนดูแล้ว หากอีกฝ่ายพึ่งพาได้จริงๆ เขาก็จะยกสิทธิ์ทั้งหมดให้
แต่พ่อก็พูดถูกเหมือนกัน อารามเป้าหยางมีแต่ความเงียบเหงา ไม่มีคนเข้ามากราบไหว้ คงยากจะดึงดูดผู้คน
เซี่ยหลิงหยาได้ดูบัญชีของอารามแล้ว รายรับรายจ่ายของอารามเป้าหยางไม่ซับซ้อน เมื่อก่อนคุณลุงยังพอมีรายรับจากทางอื่นอยู่บ้าง รายรับที่แน่นอนมีเพียงค่าเช่าจากแผงหนังสือพิมพ์เท่านั้น เมื่อหักกับค่าน้ำค่าไฟ ค่าธูปเทียน และค่าอาหารการกินแล้วก็เหลืออยู่น้อยมาก
ในอารามมีหลายพื้นที่ต้องซ่อมแซมแต่ต้องพักไว้ก่อนเพราะทุนทรัพย์มีจำกัด
เซี่ยหลิงหยาเก็บตราประทับอารามเต๋าให้เรียบร้อย พลางคิดว่าทำยังไงถึงพอจะเพิ่มรายรับได้บ้าง…
———————————————————-
[1] ศาสตร์ในการดูลักษณะรูปร่าง หน้าตา ท่าทางของคน เพื่อทำนายนิสัย
[2] การสอบเข้ามหาวิทยาลัยมีสามรอบ รอบที่สองคือสอบเข้าในสาขาวิชาทั่วไป

คอมเมนต์

Chapter List