ครึ่งเซียนพาร์ตไทม์ บท 2-1

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 2 นิ้วกลางที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ (1)

เซี่ยหลิงหยาใช้เวลาสองวันไปกับการตรวจเช็กข้าวของในอารามเป้าหยางหนึ่งรอบ จนได้เจอป้ายแผ่นหนึ่งในห้องเก็บของ นี่เป็นป้ายเดิมของอารามเป้าหยาง มีอายุหลักร้อยปีแล้ว
ก่อนถนนคนเดินจินกุ้ยจะปรับปรุงซ่อมแซมใหม่ หน้าร้านบนถนนทั้งสายล้วนมีการตกแต่งแบบเดียวกัน ความจริงแล้วอารามเป้าหยางตั้งอยู่นอกทางเข้าถนนคนเดิน แต่ในตอนนั้นคงเพราะตั้งอยู่ติดกับร้านส่วนใหญ่ เพื่อปรับปรุงให้เป็นระเบียบเรียบร้อยจึงต้องรื้อกำแพงด้านนอกออก
อีกอย่างอารามเป้าหยางทั้งหลังมีพื้นที่รวมกันไม่ถึงหนึ่งหมู่[1] เป็นอารามไซส์มินิ สร้างด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์เสี่ยวซื่อ[2]ที่มีโครงสร้างเป็นอิฐไม้ ลานข้างหน้าปลูกแนวต้นไผ่ติดกำแพง มีบ่อน้ำเก่าแก่ทรงแปดเหลี่ยมหนึ่งบ่อถูกขุดไว้ตรงมุมลาน
ลำดับถัดมาเป็นวิหารซานชิงซึ่งเป็นวิหารหลักและเป็นการก่อสร้างที่ใหญ่สุดในอารามเป้าหยาง ภายในบูชาองค์เทพซานชิง[3] ข้างหลังยังมีจักรพรรดิอวี้หวง[4] ในห้องตะวันออกและตะวันตกมีองค์ไท่อี่เทียนจุน[5]
เมื่อผ่านวิหารซานชิงไปยังลานข้างหลัง ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างรายล้อม นอกจากมีวิหารปีกสองหลังอย่างวิหารหลิงกวนกับวิหารเหวินชางแล้ว ล้วนเป็นส่วนสำหรับดำเนินชีวิตประจำวันเช่นที่พักอาศัยกับห้องครัว ส่วนสำหรับพักอาศัยนี้ถูกรื้อสร้างใหม่ด้วยซีเมนต์
ในลานมีพื้นที่แปลงเล็กๆ แต่เดิมเคยปลูกผักผลไม้ แต่ตอนนี้ถูกทิ้งรกร้าง ทั้งยังมีศิลาจารึกเก่าแก่อายุหลายร้อยปีวางอยู่ด้วย
อารามทั้งหลังมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่อารามเต๋าทั่วไปควรยึดเป็นแบบอย่าง เช่น นั่งทิศเหนือหันสู่ทิศใต้ โครงร่างที่วางได้สมมาตร รวมถึงโครงสร้างแบบสี่เรือนประสาน เพียงแต่คานเสากับกระเบื้องมุงหลังคาค่อนข้างเก่ากระทั่งชำรุดเสื่อมโทรม ไม่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมนานมากแล้ว
จากบันทึกของคนรุ่นก่อน อารามหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง เคยถล่มครั้งหนึ่ง แต่ก็สร้างขึ้นใหม่ในปลายราชวงศ์ชิง
เซี่ยหลิงหยายังจำได้ว่าตอนเด็กลุงเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยยุครุ่งเรืองที่สุดของอารามเป้าหยาง เมื่อเดินเลียบเส้นแกนกลางอารามเข้าไปยังมีอีกหลายวิหาร เดิมทีวิหารหลักเป็นที่ประดิษฐานของเทวรูปหลิงกวน[6] ส่วนเทวรูปซานชิงประดิษฐานอยู่ในวิหารข้างหลัง ทั้งยังมีวิหารปีกอีกหลายวิหาร ต่อมาเกิดความเสียหายตามกาลเวลา เหลือเพียงแค่วิหารหลักกับสองวิหารปีก ทำให้เทวรูปซานชิงถูกย้ายไปประดิษฐานที่วิหารหลัก ส่วนเทวรูปหลิงกวนย้ายไปประดิษฐานที่วิหารปีก
เซี่ยหลิงหยาถ่ายรูปภายในอารามแล้วไปยังกรมวัฒนธรรมในเมือง ลุงของเขาไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้เท่าไหร่นัก เขาคิดว่าในอารามนับว่ามีวัตถุโบราณหลายชิ้น จึงลองไปสอบถามดูสักหน่อย
หลังสอบถามมา เซี่ยหลิงหยาถึงทราบว่าอารามเป้าหยางได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว
ช่วงสองปีมานี้ในเมืองเริ่มจะให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์โบราณสถานโบราณวัตถุ เจ้าหน้าที่จากกรมวัฒนธรรมเคยมาสำรวจประเมินค่าในอารามเป้าหยาง แต่หวังอวี่จี๋นักพรตเพียงคนเดียวไม่ค่อยอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ดังนั้นจึงเพียงขึ้นทะเบียนไว้ก่อน
พอเซี่ยหลิงหยาโผล่หน้าไปแสดงตัว พวกเขายังบอกว่าจะมอบป้ายชื่ออารามเป้าหยางให้ เป็นป้ายแบบเดียวกันกับโบราณสถานต่างๆ ในเมือง เซี่ยหลิงหยารับเอาไว้ด้วยความยินดี แถมยังหน้าด้านสอบถามอีกว่ามีให้ยื่นคำร้องของบประมาณในการบำรุงรักษาในด้านนี้บ้างไหม
แต่น่าเสียดาย ทางกรมมีกองทุนพิเศษให้ก็จริงแต่ก็มีจำกัด อารามเป้าหยางไม่ใช่ทั้งอารามที่เก่าแก่ที่สุด และไม่ใช่ทั้งอารามที่ไร้ระเบียบมากที่สุด ไม่รู้เมื่อไหร่กว่าเงินงบประมาณจะเวียนมาถึง
พนักงานต้อนรับเห็นเซี่ยหลิงหยาหน้าตาดี เวลาพูดจาก็ยิ้มแย้มเสมอจึงเกิดความประทับใจ บอกเขาว่ากรมกำลังจัดทำหนังสือเกี่ยวกับโบราณสถานโบราณวัตถุเลื่องชื่อ ถ้าหากอารามเป้าหยางสนใจก็ส่งข้อมูลมาให้พวกเขาได้

เซี่ยหลิงหยากระตือรือร้น กลับไปเริ่มเปิดสมุดบันทึกทันที
ไม่ใช่แค่ต้องใช้เงินซ่อมแซมอาราม อารามที่โล่งกว้างหลังนี้ยังยากดึงดูดลูกศิษย์เข้ามา จนอาจจะนำไปสู่วังวนอันน่าเศร้า เขาต้องเชิญชวนนักท่องเที่ยวกับศาสนิกชนสักกลุ่มหนึ่งมาให้ได้ก่อน ช่วงแรกๆ อาจจะลำบากสักหน่อย แต่ก็ต้องทำให้ได้
หวังอวี่จี๋ไม่เคยคิดพัฒนาอารามไปสู่ธุรกิจมาก่อน หรือจะบอกว่าคิดไม่ได้ก็ได้ เซี่ยหลิงหยาคิดว่าควรเริ่มต้นที่ตำนานเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบของอารามเต๋าก็แล้วกัน
บันทึกจากคนรุ่นก่อนในอารามเป้าหยางมีเนื้อหาจำนวนมาก แถมเขียนหมายเหตุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามแต่ละยุคสมัย ในหนึ่งหน้าสมุดมีคำอธิบายไปแล้วกว่าครึ่งหน้า แหล่งข้อมูลเนื้อหาที่เซี่ยหลิงหยาต้องการล้วนกระจัดกระจายอยู่ในสมุดเล่มนี้ เขาเปิดอ่านดูหลายเล่ม กลับเปิดเจอลายมือไก่เขี่ยสมัยก่อนของตัวเอง
เมื่อก่อนเซี่ยหลิงหยาไม่ชอบเรียนหนังสือ มักแอบอ่านสมุดบันทึกของหวังอวี่จี๋เป็นประจำ
ความจริงแล้ววิชานรลักษณ์ค่อนข้างมหัศจรรย์เลยทีเดียว สมัยก่อน กลุ่มคนที่เรียกว่ามีกระดูกเดินดาราเหล่านั้นเป็นอย่างไรเซี่ยหลิงหยาก็ไม่รู้จัก ถึงเขาจะไม่ชอบเรียนหนังสือ แถมสิ่งที่เรียกว่า ‘ใช้เวลาสิบหกขั้นเป็นเซียน’ ก็ดูเป็นเรื่องเหนือจริง แต่เขาก็ยังทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็วเหนือมนุษย์
ความทรงจำยังคงสดใหม่ เหมือนกับเนื้อหาที่เขาเปิดผ่านไม่กี่หน้าในตอนนี้
หลังอ่านไปได้พักหนึ่ง ถือโอกาสทบทวนความรู้ใหม่ให้ลึกซึ้งเพิ่มขึ้นอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดเซี่ยหลิงหยาก็เจอข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบได้แล้ว
การตั้งชื่อของอารามมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าชื่อเทพเจ้า ตำนาน สถานที่ หรือศัพท์เกี่ยวกับวัฒนธรรมของลัทธิเต๋าก็ล้วนนำมาตั้งเป็นชื่ออารามได้ทั้งหมด เซี่ยหลิงหยาคิดเองเออเองมาตลอดว่าชื่อของอารามเป้าหยางตั้งมาจาก ‘รองอินโอบหยาง[7]’
สุดท้ายมาเปิดเจอในสมุดบันทึกของหวังอวี่จี๋ถึงได้ทราบว่า อารามเป้าหยางเดิมเรียกว่า ‘อารามอุ้มแพะ[8]’ เพราะเมื่อก่อนเลี้ยงแพะในอารามจำนวนไม่น้อย ต่อมาไม่ทราบว่าเป็นมาอย่างไรถึงค่อยๆ กลายเป็น ‘โอบหยาง’
“โคตรสิ้นคิดเลย” เซี่ยหลิงหยาเหงื่อตก ถือโอกาสข้ามส่วนนี้ไป เขาจับปากกาแต่งเรื่องเล่าเกี่ยวกับอารามเป้าหยางเพิ่มเติมจากเนื้อหาส่วนใหญ่ที่คนรุ่นก่อนบันทึกไว้ เช่นว่ามีเทพเซียนจุติบนโลกมนุษย์ ภูตผีปีศาจต่อสู้กัน
เมื่อเขียนเสร็จแล้วเซี่ยหลิงหยายังไม่ค่อยพอใจ ไม่ใช่เขาจินตนาการเกินจริง แต่ตอนอยู่ที่กรมวัฒนธรรมได้เห็นข้อมูลที่คนอื่นๆ เรียบเรียงส่งมาแล้ว ส่วนที่เกินจริงที่สุดก็คือการนำเจ้าแม่หนี่ว์วา[9]กับจักรพรรดิหวงตี้[10]มารวมอยู่ด้วย ส่วนที่ธรรมดาที่สุดคือเอ่ยถึงจักรพรรดิเฉียนหลง[11]
ภายในอารามเต๋า ซานชิงเป็นองค์เทพสูงสุดที่ต้องเซ่นไหว้บูชา นอกจากนี้โดยปกติแล้วยังมีเทพองค์หลักอีกหนึ่งองค์ที่ต้องเซ่นไหว้บูชา เรื่องนี้ต้องดูจากเทพที่ประชาชนในท้องถิ่นหรือนักพรตในอารามศรัทธาเป็นหลัก อย่างเช่นบางอารามบูชาเจินอู่ต้าตี้[12] บางอารามบูชาหลี่ว์ต้งปิน[13] ยังมีเทพเจ้าโชคลาภ[14] เหวินฉวี่ซิง[15] และอีกมากมาย
เทพองค์หลักที่บูชาในวิหารหลักของอารามเป้าหยางคือหวังหลิงกวน หรือก็คือเทวรูปองค์สำคัญในวิหารหลิงกวนกลางวิหารปีกนั่นเอง ทั้งได้รับการเคารพนับถือเป็นปรมาจารย์ของอารามเป้าหยาง
หวังหลิงกวนเป็นเทพที่ปกปักรักษาลัทธิเต๋า คอยเฝ้ารักษาประตูอารามโดยเฉพาะ ดังนั้นโดยปกติจึงกลายเป็นวิหารแรกเมื่อผ่านเข้าประตูอารามเข้ามา บนประตูวิหารก็มีเทวรูปเทพหลิงกวนเช่นเดียวกัน ประดิษฐานไว้เพื่อปกปักรักษาอาราม
เซี่ยหลิงหยาเรียบเรียงอิทธิฤทธิ์ของหวังหลิงกวนคร่าวๆ เช่นว่าช่วยเจ้าอารามเป้าหยางสักคนกำจัดภูตผีปีศาจ แถมช่วยประชาชนในเมืองหนิ่วหยางให้พ้นเคราะห์ เมื่อส่งเรื่องคร่าวๆ ให้กับเจ้าหน้าที่กรมวัฒนธรรมแล้ว อีกฝ่ายก็ส่งอีโมติคอนนิ้วโป้งมาให้หลายอัน คาดว่าคงเข้าใจคอนเซปต์ของเรื่องแล้ว
สภาพแวดล้อมของอารามเป้าหยางเงียบสงัดเรียบง่ายตรงข้ามกับโลกภายนอก แต่คาดไม่ถึงว่ามันไม่ได้ดูแปลกแยกแต่อย่างใด
ข้างหลังอารามเป้าหยางเป็นตลาดสด พอเช้าตรู่ก็เริ่มเปิดร้านทำมาค้าขายกันแล้ว ถนนคนเดินช่วงกลางวันก็มีเสียงคนดังเอะอะเช่นเดียวกัน ตกเย็นบรรดาลุงป้าต่างมารวมตัวกันที่จัตุรัสหลีหมิงเพื่อเต้นรำแบบสแควร์ [16]เสียงเพลงดังก้องทั่วถนน
เซี่ยหลิงหยาอ่านหนังสือทั้งวันท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนี้ ยิ่งอ่านก็ยิ่งคิดว่าสภาพแวดล้อมแบบนี้หากมีผู้ศรัทธาก็ผิดปกติแล้ว…
ตอนนี้เขายังคิดไม่ออกว่าจะหาเงินอย่างไร ครึ่งวันหมดไปกับการอ่านหนังสือสาขาวิชาตัวเอง อีกครึ่งวันหมดไปกับการพิมพ์บันทึกของคนรุ่นไว้ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ พิมพ์อยู่นานจนพิมพ์ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
เนื่องจากเสียงเพลงใช้เต้นรำในจัตุรัสตอนค่ำดังเกินไป แถมอารามของเขาก็หันหน้าเข้าหาจัตุรัสด้วย ดังนั้นเซี่ยหลิงหยาจึงใส่หูฟังอ่านหนังสือ เขาอ่านไปอ่านมาก็เผลอหลับไป กระทั่งกระหายน้ำจึงตื่นขึ้นและไม่รู้ว่ากี่โมงแล้ว เมื่อเขาถอดหูฟังออกก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังแว่วมา
เซี่ยหลิงหยาเพิ่งตื่น จึงรู้สึกเบลอครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดได้ว่ามีประตูที่ลานข้างหลังเชื่อมถึงตลาดสดด้านหลังอาราม ฟังจากเสียงคล้ายว่าดังมาจากประตูหลัง
เซี่ยหลิงหยากดโทรศัพท์มือถือเพื่อดูเวลา ตีสองสิบนาทีแล้ว ดึกดื่นป่านนี้ใครมาเคาะประตูกันนะ
เสียงเคาะทั้งว้าวุ่นทั้งร้อนรน โดยรอบล้วนเป็นร้านค้า แต่คนที่ถูกรบกวนดูเหมือนจะมีแค่เซี่ยหลิงหยาคนเดียว เขาเดินไปข้างหน้าอย่างใจกล้า ถือโทรศัพท์มือถือพลางสวมรองเท้าแตะเดินออกไป ไม่ลืมคว้าไม้นวดแป้งหมี่มาเป็นอาวุธป้องกันตัวด้วย
คืนนี้มีเพียงดวงจันทร์ไร้ดวงดาว แสงจันทร์สาดส่องอย่างสงบเงียบ เซี่ยหลิงหยาไม่แม้แต่จะถามสักคำว่าคนข้างนอกเป็นใคร ยกมือแง้มประตูหลังออกครึ่งหนึ่ง ถามผู้มาเคาะประตูฉับพลัน
“ต้องการอะไร?”

[1] หน่วยวัดพื้นที่ของจีน 1 หมู่ = 666.67 ตารางเมตร
[2] สถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ชิง ใช้สำหรับก่อสร้างบ้านเรือนขนาดเล็ก ไม่ต้องใช้โต่วกงรับน้ำหนักหลังคา
[3] สามปรมาจารย์สูงสุดของลัทธิเต๋า ประกอบไปด้วยหยวนสื่อเทียนจุน หลิงเป่าเทียนจุน และเต้าเต๋อเทียนจุน
[4] จักรพรรดิสวรรค์ หรือที่คนไทยรู้จักในนาม เง็กเซียนฮ่องเต้
[5] เทพที่มีศักดิ์ใหญ่ ว่ากันว่าเป็นผู้ช่วยเง็กเซียนฮ่องเต้บนสวรรค์
[6] ธรรมบาลอันดับหนึ่งในลัทธิเต๋า
[7] สรรพสิ่งมีอิน (หยิน) หยางเป็นสองสิ่งที่ตรงข้ามกันแต่ก็ประสานกันและกัน (คำว่า เป้าหยาง แปลตรงตัวว่า โอบหยาง)
[8] คำว่า อุ้มแพะ (抱羊) ออกเสียงว่าเป้าหยางเหมือนคำว่า โอบหยาง (抱阳)
[9] ตามตำนานเชื่อว่าเป็นเทพมารดาผู้สร้างมนุษย์
[10] หรือ จักรพรรดิเหลือง หนึ่งในจักรพรรดิยุคโบราณ ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางในฐานะบรรพบุรุษของชนชาติจีน
[11] จักรพรรดิลำดับที่ 6 ของราชวงศ์ชิง
[12] เทพเจ้าแห่งกลุ่มดาวเหนือ
[13] โป๊ยเซียนองค์ที่สาม เทพแห่งความมั่งคั่ง ธุรกิจการค้า
[14] หรือเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยะ
[15] เทพแห่งการศึกษา
[16] การเต้นรำที่นิยมของจีน ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีอายุมารวมตัวกันที่จัตุรัสเพื่อเต้นรำโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อออกกำลังกาย

คอมเมนต์

Chapter List