ครึ่งเซียนพาร์ตไทม์ บท 2-2
บทที่ 2 นิ้วกลางที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ (2)
เฮ่อจุนแทบจะฟุบเข้ากับประตู ฟันบนกระทบฟันล่างด้วยความหวาดกลัวที่แผ่คลุมรอบตัว เคาะประตูมากว่าสามนาทีแล้วแต่ยังไม่มีเสียงตอบรับ ความมืดข้างหลังกลับคล้ายค่อยๆ คืบคลานเข้ามา…
จนเขาแทบหมดความหวังแล้ว จู่ๆ ประตูบานใหญ่กลับเปิดออกอย่างฉับพลัน แอ๊ด แสงจันทร์สาดเข้ามาในบริเวณที่ถูกแง้มออก ส่องให้เห็นใบหน้าที่ดูดีมาก ผิวหน้าขาวเกลี้ยงคล้ายกับแสงจันทร์ ถุงใต้ดวงตาคู่นั้นขับเน้นความน่ารัก แต่มองจากองศาที่เฮ่อจุนฟุบเข้ากับประตูพลางก้มเล็กน้อยแล้ว กลับมองเห็นความเย็นชาหลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด เฮ่อจุนอึ้งไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็แสดงความดีใจที่ในที่สุดก็ได้เจอคนเป็นๆ สักที “ได้โปรดให้ผมเข้าไปหน่อย ช่วยด้วย!” เซี่ยหลิงหยาเลิกคิ้ว เฮ่อจุนอยากเบียดตัวเข้าไปผ่านช่องประตูที่แง้มออก แต่เซี่ยหลิงหยาปิดทางไว้อย่างมิดชิด เขาจึงพูดด้วยความร้อนรน “ช่วยหนึ่งชีวิตได้บุญกุศลยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น คุณให้ผมเข้าไปหลบหน่อยเถอะนะ!” เซี่ยหลิงหยาว่า “เจดีย์? คุณมองออกไหมว่าที่นี่เป็นอารามเต๋า?” “…” เฮ่อจุน เขาไม่รู้จริงๆ…มองจากข้างนอกกลางดึกเห็นสิ่งปลูกสร้างหลังนี้ ทีแรกเขายังคิดว่าเป็นวัด เฮ่อจุนกลัวว่าอีกฝ่ายจะทิ้งเขาเอาไว้ข้างนอกจริงๆ อาจจะคิดว่าเขาหนีเจ้าหนี้ก็เป็นได้ จึงทุบประตูตะโกนว่า “ได้โปรดเถอะ ช่วยผมด้วย มีผี ช่วยด้วย!” มีผี? เซี่ยหลิงหยาที่กำลังจะปิดประตูเผลอชะงักไปครู่หนึ่ง ค้ำประตูพลางเหลือบมองอีกฝ่าย ก่อนจะค่อยๆ ยกมือซ้ายขึ้นท่ามกลางสายตาแห่งความหวังของคนหลังบานประตู นิ้วนางกับนิ้วก้อยหุบลง นิ้วชี้กับนิ้วโป้งแยกออกไปจับเส้นแนวขวางบนข้อแรกของนิ้วกลางทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ก้านนิ้วกลางขาวผ่องเรียวยาวตั้งตรง เฮ่อจุน “…” เฮ่อจุนตัวสั่นระริก โพล่งด้วยความแค้นใจทันที “คุณทำแบบนี้ได้ยังไง? ไม่ฟัง ไม่เชื่อ หรือไม่คิดยื่นมือช่วยเหลือก็เถอะ ทำไมต้องชูนิ้วกลางใส่ผมด้วย!!” เซี่ยหลิงหยา “…?” ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ เฮ่อจุนหันหลังเตรียมเดินออกไป เซี่ยหลิงหยาตะโกนขึ้นจากข้างหลัง “เฮ้ คุณเข้ามาข้างในก่อนเถอะ” เฮ่อจุนเดินออกไปได้ห้าก้าวแล้ว อันที่จริงพอเขาเดินถึงก้าวที่สามก็นึกเสียใจภายหลังเพราะข้างนอกน่ากลัวขนาดนี้ เซี่ยหลิงหยายังพูดไม่ทันจบ เขาก็หันหลับมาทันที “อืม โอเค!” เซี่ยหลิงหยาที่เดิมทีอยากอธิบาย “…” … เซี่ยหลิงหยารินน้ำอุ่นยื่นให้ชายแปลกหน้าคนนี้ เขาสำรวจมองแวบหนึ่ง ชายคนนี้ดูแล้วอายุไม่มาก น่าจะประมาณยี่สิบกว่าเท่านั้น ถามขึ้น “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?” อันที่จริงเมื่อครู่เฮ่อจุนรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ยิ่งตอนนี้ได้ดื่มน้ำอุ่นๆ ก็ยิ่งกระปรี้กระเปร่าขึ้น เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ฟังช้าๆ เฮ่อจุนเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สองของมหาวิทยาลัยหนิ่วหยาง ออกมากินข้าวร้องคาราโอเกะกับเพื่อนที่นัดกันไว้ หลังแยกย้ายกันก็รู้สึกง่วงมาก ทั้งยังดื่มไปนิดหน่อย จึงคิดอยากเปิดห้องที่โรงแรมใกล้ๆ เพื่อพักผ่อน เฮ่อจุนคิดจะใช้ทางลัดจึงเดินตัดผ่านถนนเส้นเล็กๆ สายหนึ่ง แต่พบว่าเดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงปลายทางสักที อีกทั้งบรรยากาศโดยรอบก็เงียบจนผิดปกติ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นย่านการค้า เป็นไปไม่ได้ที่กลางดึกจะไม่ได้ยินเสียงใดเลย แถมแสงไฟตามตึกทั้งหมด รวมถึงไฟลถนน อยู่ดีๆ ก็ดับวูบ เหลือเพียงแสงจันทร์ที่ดูพิศวง ยิ่งทวีความขนหัวลุกมากขึ้น โลกทั้งใบไร้ทิศทาง ไร้เสียงดัง ไร้แสงไฟในชั่วพริบตา เฮ่อจุนสร่างเมาในแทบจะทันที พลันนึกออกสามคำ ‘ผีกำแพง[1]’ เหตุการณ์ถัดมาไม่เพียงแต่หนีไปไหนไม่ได้ ยังคล้ายกับมีบางสิ่งแอบมองอยู่ในที่มืด เขาหวาดกลัวจนขนลุกขนพอง ระหว่างที่เฮ่อจุนกำลังสิ้นหวังอยู่นั่นเอง อารามเป้าหยางก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของเขา แสงไฟจากอารามเป้าหยางราวกับเป็นแสงที่สว่างที่สุดในค่ำคืนนี้ เหตุการณ์หลังจากนั้นเซี่ยหลิงหยาก็ทราบแล้ว เฮ่อจุนพุ่งมาเคาะประตู ในตอนนั้นเซี่ยหลิงหยากำลังหลับทั้งที่ยังใส่หูฟังอยู่ ดังนั้นเฮ่อจุนจึงเคาะประตูนานหลายนาที เฮ่อจุนเห็นว่าแววตาของเซี่ยหลิงหยาคล้ายไม่ได้ไม่เชื่อ จึงพูดด้วยความลังเล “เอ่อ อันที่จริงตอนที่คุณยกนิ้วกลางใส่ผมเมื่อกี้นี้ จากที่ผมรู้สึกเหมือนมีผ้าโปร่งชั้นหนึ่งคลุมตัวอยู่ แต่จู่ๆ ก็หายวับ กลับมาสู่โลกปกติ นั่นเป็นเพราะนิ้วกลาง…ของคุณใช่มั้ย?” เซี่ยหลิงหยา “…ไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอก” เฮ่อจุนพนมมือแล้วโค้งคำนับให้เซี่ยหลิงหยา พูดพร่ำว่า “ขอบคุณจริงๆ ผมเข้าใจผิดไป นึกไม่ถึงเลยว่านิ้วกลางของคุณช่วยชีวิตผมไว้! ผมเจอกับสิ่งลี้ลับเข้าแล้วใช่ไหม ได้ยินมาว่า ถ้าเจอเจ้าสิ่งนั้นก็ต้องโหดร้ายให้มากกว่า มันจะได้กลัว! ขอบคุณมาก ผมได้บทเรียนแล้ว!” เซี่ยหลิงหยาพูดไม่ออก ถือโอกาสพาเฮ่อจุนไปยังวิหารหลิงกวนที่อยู่ด้านข้าง เฮ่อจุนเงยหน้ามอง ภายในวิหารปีกขนาดไม่ใหญ่มีเทวรูปเกราะทองชุดแดงประดิษฐานอยู่ แลดูเก่าแก่เล็กน้อย แต่สีหน้าท่าทางน่าเกรงขามมาก บนหน้าผากมีสามตา มือข้างหนึ่งกุมแส้ทอง อีกข้างหนึ่งทำท่าทางเหมือนเซี่ยหลิงหยาก่อนหน้านี้ นิ้วกลางตั้งตรงตระหง่าน เฮ่อจุนสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอด “…เทพเจ้าลัทธิเต๋าของพวกคุณเจ๋งแบบนี้ทั้งหมดเลยหรือเปล่า” เซี่ยหลิงหยา “…” เซี่ยหลิงหยาอดไม่ได้ที่จะกลอกตา ก่อนอธิบายให้ฟัง “นี่คือปรมาจารย์ประจำอารามเป้าหยางของพวกเรา เทพอัสนีไท่อี่เทียนจุน เป็นมหาเทพที่คอยปกปักรักษาลัทธิเต๋านามว่าหวังหลิงกวน มือของท่านทำท่าหลิงกวน หรือที่รู้จักกันดีในชื่อนิ้วหยกแกนผลาญที่ใช้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย คนรุ่นหลังทำท่าหลิงกวนเพื่ออัญเชิญท่านปรมาจารย์มากำจัดสิ่งชั่วร้าย” ถึงจะเหมือน แต่นี่ไม่ใช่การชูนิ้วกลางจริงๆ นะ! แต่เป็นการขับไล่ภูตผี ขับไล่สิ่งชั่วร้าย! แค่ชูนิ้วกลางก็ได้ผลแล้วจริงหรือ ถึงเจ๋งแค่ไหนก็ไม่น่าไร้หลักการได้ขนาดนี้มั้ง! ในฐานะอารามเต๋าที่บูชาหวังหลิงกวน นี่เป็นความรู้พื้นฐานของอารามเป้าหยาง ในสมุดบันทึกของคนรุ่นก่อนอธิบายเรื่องนี้เอาไว้อย่างละเอียดยิบ ท่ามุทราทั่วไปต้องผสานกับการก้าวดารา[2]และคาถา ท่าหลิงกวนเองก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่ได้บรรบุรุษแต่ละรุ่นของอารามเป้าหยางได้ดัดแปลงรวบรัดแล้ว การทำมุทราก็เช่นกัน นับว่าเป็นเคล็ดวิชาที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ เฮ่อจุนฟังจบแล้วก็ยิ่งเคารพยำเกรง เขากะแล้วว่าแค่นิ้วกลางจะยอดเยี่ยมอะไรขนาดนั้น ตอนที่เซี่ยหลิงหยาทำท่าเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าความหนาวเย็นรอบตัวถูกขจัดออกไปแล้ว ก่อนเกิดเหตุการณ์ในคืนนี้ เขาไม่ใช่คนที่ไม่เชื่อในเทพเจ้าเสียทีเดียว แต่ก็ไม่เคยเข้าวัดวาอารามมาก่อนเช่นกัน วันนี้กลับเปลี่ยนความคิดแล้ว พูดด้วยความเคารพนับถือทันที“ถ้างั้นผมจุดธูปขอบคุณท่านปรมาจารย์สักหน่อยดีกว่า!” หลังจากเฮ่อจุนจุดธูปเสร็จแล้วก็ถามเซี่ยหลิงหยา“ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าผมจะได้รับผลกระทบอะไรไหมมีอาการอะไรหลงเหลือรึเปล่า เพราะอะไรผมถึงเจอมัน ผมควรระวังสถานที่ไหนบ้าง มันคือผีกำแพงในตำนานจริงๆ ใช่ไหม” “ไม่รู้สิ” เซี่ยหลิงหยาตอบ เฮ่อจุน “??” สำหรับเฮ่อจุนเซี่ยหลิงหยาที่ช่วยชีวิตเขาในสถานการณ์ล่อแหลมคล้ายกลายเป็นผู้วิเศษไปแล้ว คำตอบนี้ทำให้ใบหน้าที่แข็งทื่อของเฮ่อจุนเริ่มหัวเราะออก เซี่ยหลิงหยาพูดอย่างจริงใจ “ไม่รู้จริงๆ ฉันไม่ใช่นักพรต แค่อาศัยอยู่ที่นี่เท่านั้น” นักพรตสมัยนี้ไม่ต้องไว้ผมยาวแล้ว แต่เขาไม่ใช่นักพรตจริงๆ ต้องขอโทษด้วยที่เขาไม่ได้โกหก ทฤษฎีความรู้ที่เขามีไม่รวมถึงระบบการเข้าสำนัก แถมไม่ได้มีสายตาที่เฉียบแหลมขนาดนั้น เขาไม่อาจฟันธงได้ว่าสิ่งที่เฮ่อจุนพบเจอมาใช่ผีกำแพงหรือไม่ สายตาของเฮ่อจุนเปลี่ยนไปจนไม่อาจคาดเดาได้ มองเซี่ยหลิงหยาพลางพูดอย่างตกตะลึง“หรือว่าคุณเป็นหลวงจีนกวาดลานวัด[3]ของที่นี่…” “…” เซี่ยหลิงหยาใช้สายตาเย้ยหยันมองเขา
________________________________________
[1] อาการเดินวนอยู่ที่เดิมในสถานการณ์ที่ไม่มีเสียงหรือแสงมากพอในการนำทาง ว่ากันว่าคนจะถูกผีในกำแพงขัดขวางเพื่อทำร้าย
[2] การก้าวย่างตามตำแหน่งดวงดาวในขณะทำพิธี เพื่ออาศัยพลังของดวงดาวเพิ่มพลังเวทย์ให้กับผู้ประกอบพิธี
[3] ตัวละครในนิยายเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้าที่ประพันธ์โดยกิมย้ง เป็นหลวงจีนท่านหนึ่งมีหน้าที่ทำความสะอาดหอคัมภีร์ในวัดเส้าหลิน มีวิทยายุทธ์ลึกล้ำยากคาดเดา ทั้งยังมีสติปัญญามาก ปัจจุบันนำมาใช้อุปมาถึงคนที่ดูธรรมดา แต่ความจริงแล้วเก่งกาจ มีความสามารถ
คอมเมนต์