ครึ่งเซียนพาร์ตไทม์ บท 3-1

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 3 หยั่งรู้เพียงน้อยนิดก็วาดยันต์ได้ (1)

ฉันอาจจะเป็นคนโง่
หลังถูกเซี่ยหลิงหยาใช้สายตาเย้ยหยันมองครู่หนึ่ง เฮ่อจุนก็รู้สึกตัวแล้วเหมือนกัน ถุย สมองเขาเป็นบ้าอะไรเนี่ย!
หลวงจีนในอารามเต๋า หลวงจีน? คนปกติที่ไหนจะพูดจาปัญญาอ่อนแบบนี้กัน
เซี่ยหลิงหยาเข้าใจ อีกฝ่ายอาจจะตกใจจนไอคิวลดฮวบ จึงพูดขึ้น “นายไปพักผ่อนก่อนดีกว่า ฉันว่านายคงไม่อยากออกไปตอนนี้ ทนเบียดกับฉันหน่อยคงได้ใช่มั้ย”
เฮ่อจุนพยักหน้าทันที
เซี่ยหลิงหยาให้เฮ่อจุนพักที่อารามเป้าหยางหนึ่งคืน ก่อนนอนเฮ่อจุนได้ยินเซี่ยหลิงหยาบอกว่า ตอนนี้นักพรตในอารามเป้าหยางไม่อยู่ (แต่ความจริงแล้วไม่มี) ก็รู้สึกเสียดายมาก ตัวเขายังมีคำถามอยู่เต็มอก เซี่ยหลิงหยาก็ให้คำตอบไม่ได้ด้วย
เช้าวันที่สองเซี่ยหลิงหยาตื่นขึ้นมา เฮ่อจุนยังกำลังนอนกรนเสียงดัง ไม่เหมือนคนที่มีเรื่องกังวลใจแม้แต่น้อย เขาพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ปลุกเฮ่อจุนตื่นขึ้นมา
เซี่ยหลิงหยาตื่นแต่เช้ามานั่งพิมพ์บันทึกด้านนอก พลันพบยันต์แผ่นหนึ่งสอดอยู่ในสมุด เป็นผลงานการฝึกฝนของลุงเขาเมื่อนานมาแล้ว ไม่รู้ว่าผ่านมากี่ปีเหมือนกัน แต่อักษรยันต์คดโค้งที่เขียนด้วยชาดแดงยังสีสดคมชัด
เซี่ยหลิงหยาเห็นแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อก่อนเขาค่อนข้างสนใจในสิ่งเหล่านี้ แม้ตอนนี้เป้าหมายในอนาคตเปลี่ยนไปแล้ว แต่ไม่ได้คิดว่าหากศึกษาเป็นงานอดิเรกสักหน่อยจะมีอะไรเสียหาย
เหตุผลข้อแรกคือ หลังจากนี้เขายังต้องช่วยลุงหาลูกศิษย์ จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ ข้อที่สอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้เขาตระหนักได้ว่า หากมีทักษะติดตัวมากสักหน่อยย่อมเป็นเรื่องดี ตอนนี้เขากลายเป็นตัวแทนอารามเป้าหยางแล้วไม่มากก็น้อย ถ้าหากยังหานักพรตในเวลาอันสั้นนี้ไม่ได้ หรือว่าเขาจะต้องแนะนำให้คนอื่นไปที่อารามไท่เหอแทนหรือ
ดังนั้นหลังเซี่ยหลิงหยาอ่านศึกษาครู่หนึ่งจึงหยิบกระดาษเหลือง พู่กัน และชาดแดงออกมา เตรียมตัวลอกแบบ
เขาลองฝึกวาดโดยใช้สมุดเลกเชอร์กับน้ำหมึกธรรมดาก่อน ครั้งแรกที่วาดยังค่อนข้างติดขัด แต่ลองวาดไปสักพักก็เริ่มจับจุดได้แล้ว ลองฝึกวาดอีกสองสามรอบจึงเปลี่ยนไปใช้ชาดแดง
พอใช้ชาดแดงวาดยันต์เหมือนจะลื่นไหลกว่าใช้น้ำหมึกธรรมดาเล็กน้อย เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมข้างนอกเสียงดังหนวกหูมาก เซี่ยหลิงหยาจึงใส่หูฟังแล้วเปิดเพลง ‘Leap Frog[1]’ เพื่อตัดขาดจากความวุ่นวายภายนอก รวบรวมสมาธิในชั่วพริบตา ปล่อยน้ำหนักผ่านพู่กันลื่นไหลดังใจนึก
วาดยันต์เสร็จแล้ว ผลงานคล้ายกับยันต์ที่คุณลุงวาดมาก ลอกลายได้ค่อนข้างยอดเยี่ยมทีเดียว
เซี่ยหลิงหยาวาดยันต์ในกลุ่ม ‘ยันต์ห้าขุนเขาปกป้องบ้าน’ หรือก็คือยันต์ที่ลุงเขาวาดขึ้นนั่นแหละ พอตากจนแห้งดีแล้วก็ยังรู้สึกไม่จุใจ ลองเปิดสมุดบันทึกอีกครั้ง เจอยันต์กลุ่มหนึ่งที่ดูแล้วง่ายมาก จึงลอกลายออกมาอีกครั้ง
หลังวาดเสร็จแล้วเซี่ยหลิงหยาถึงเห็นหมายเหตุด้านล่าง อักษรลายมือหวัดเขียนโน้ตเอาไว้ว่า ‘ยันต์หกเกราะ’
อืม แค่ชื่อก็ฟังดูแล้วง่ายมากจริงๆ นั่นแหละ
ขณะที่เซี่ยหลิงหยากำลังตากยันต์ให้แห้ง เฮ่อจุนก็เดินบิดขี้เกียจออกมาจากในห้องพอดี พอเห็นเขากำลังวาดยันต์อยู่ก็มองมาด้วยความสนอกสนใจ พูดอย่างคันปากยุบยิบ “คุณวาดยันต์ได้ด้วยหรือ”
เซี่ยหลิงหยาตอบด้วยความสำรวม “อันที่จริงฉันเพิ่งเข้าสำนักมาไม่นาน”
อืม ประมาณครึ่งชั่วโมงนี่เอง
เฮ่อจุนมองดูนานสองนานก็เอ่ยขึ้น “จริงด้วย ต้องขอบคุณคุณกับมหาเทพหลิงกวน ผมอยากบริจาคเงินสักหน่อย แต่บอกตามตรงว่าผมไม่มีความรู้เรื่องนี้ มีกำหนดไว้รึเปล่า”
“ไม่มีกำหนด ตามกำลังศรัทธาเลย” เซี่ยหลิงหยาทั้งดีใจและแปลกใจอยู่บ้าง ถึงเฮ่อจุนจะเป็นนักศึกษา ดูแล้วยังขาดไหวพริบอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามนี่เป็นการได้รับบริจาคครั้งแรก
เฮ่อจุนรื้อค้นกระเป๋าตัวเอง สุดท้ายก็หยิบเงินสามร้อยยี่สิบเจ็ดหยวนห้าเหมา[2]ออกมา ถือพลางถาม “ใส่ตรงไหน”
เซี่ยหลิงหยา “…”
ยังมีเศษย่อยเต็มไปหมดอีก! เซี่ยหลิงหยาชี้ไปยังกล่องรับบริจาค
เฮ่อจุนกันค่าแท็กซี่ไว้ให้ตัวเอง แล้วบริจาคเงินด้วยความเต็มใจ จากนั้นก็พูดพลางทำตาปริบ “ยันต์พวกนั้นยกให้ผมสักแผ่นสองแผ่นได้ไหม”
เซี่ยหลิงหยาคิดในใจว่าแย่แล้ว ฉันเพิ่งเข้าสำนักมาไม่นานจริงๆ นะ ทักษะอ่อนด้อยขนาดนี้ยกให้คนอื่นคงไม่ค่อยดีมั้ง
แต่เฮ่อจุนกลับเข้าใจเป็นอีกอย่าง ล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา “ถ้าขอซื้อได้ไหมครับ แต่ตอนนี้ผมไม่มีเงินสดแล้ว จ่ายผ่านวีแชตได้เปล่า?”
“ไม่เป็นไรๆ เอาไปเหอะ” แม้เซี่ยหลิงหยาหน้าด้านแต่ก็ไม่กล้ารับเงินไว้ ยัดยันต์ใส่มือเขา “คือเพิ่งเข้าสำนักมาจริงๆ…”
ไม่เอาเงินจริงๆ หรือว่าถ่อมตัวกันแน่ เพิ่งเรียนมาจริงหรือ? เฮ่อจุนเจือความผิดหวังเล็กน้อย “ก็ได้”
เฮ่อจุนจุดธูปสักการบูชาหวังหลิงกวนอีกครั้งก่อนกลับไป

หลังกลับมาถึงมหาวิทยาลัย เฮ่อจุนก็เล่าประสบการณ์พิศวงเมื่อคืนให้รูมเมตของตัวเองฟัง ทุกคนได้ฟังแล้วก็ขนลุก แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งลี้ลับซับซ้อน จึงพากันเริ่มถามเขาว่าเมื่อคืนเมาหรือเปล่า
ไม่เพียงแต่เพื่อนในชั้นเรียนที่ไม่เชื่อ เฮ่อจุนยังโทรไปเล่าให้คนที่บ้านฟัง คนที่บ้านสงสัยว่าเขาคบคนไม่ดีที่มหาวิทยาลัยหรือเปล่า กินยาอะไรเข้าไปถึงเกิดประสาทหลอน เฮ่อจุนไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ตัวเขามั่นใจว่าเหตุการณ์เมื่อคืนต้องไม่ใช่ภาพหลอนอย่างแน่นอน
หลังกลับไปแล้วเฮ่อจุนยังลองค้นหาในอินเตอร์เน็ต พยายามหาว่าเหตุการณ์ที่เจอกับตัวเมื่อคืนคืออะไรกันแน่ เขาเปิดไปเจอเว็บไซต์เกี่ยวกับความรู้เรื่องลัทธิเต๋า อ่านศึกษาอยู่ครึ่งวันก็ยังตัดสินไม่ได้
ในเว็บไซต์มีอธิบายเรื่องยันต์ด้วย พอเจอเรื่องวาดยันต์ เฮ่อจุนก็นึกถึงยันต์สองสามแผ่นนั้นที่เซี่ยหลิงหยาให้มา จึงลองเปิดอ่านดู
[การวาดยันต์ไม่ได้ง่ายเหมือนที่เห็นในละครทีวี ผู้วาดยันต์ต้องชำระกายจุดธูป[3] จัดโต๊ะบูชา ท่องคาถา และต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ต้องมีจิตใจที่ใสสะอาดถึงจะวาดยันต์ออกมาได้สำเร็จ! ถึงแม้บำเพ็ญจนมีตบะสูงส่งลึกล้ำพอจะลดทอนพิธีการได้ แต่หลังวาดยันต์เสร็จแล้วก็จะสูญเสียพลังไปในปริมาณมาก ถึงขั้นนอนหมดสภาพได้เลย!]
เฮ่อจุนเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างแล้ว เขายังตื๊อขอยันต์จากเซี่ยหลิงหยาอีก แม้เซี่ยหลิงหยาเพิ่งเข้าสำนักมา แต่เดิมทีการวาดยันต์ลำบากขนาดนี้ เพิ่งเข้าสำนักมาไม่ใช่ว่าวาดแล้วจะยิ่งเหนื่อยหรือ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่เขาได้อ่านเรื่องแบบนี้อาจจะคิดว่าผู้เขียนต้องงมงายเกินไปแล้ว ตอนนี้กลับยอมเชื่อหลายส่วน เขาปิดเว็บไซต์ลงด้วยความเคารพนับถือ
แน่นอนว่าหากเขาเลื่อนลงมาอีกนิดจะได้เห็นคอมเมนต์ตอบโต้
[เหอะๆ เข้าใจผิดแล้ว! แค่หยั่งรู้นิดหน่อยก็วาดยันต์ได้แล้ว คนธรรมดาเปลืองน้ำหมึกกับชาดแดงไปเปล่าๆ! ว่ากันตามทฤษฎี ถ้าคุณวาดไปแล้วรู้สึกยาก แสดงว่าคุณไม่มีคุณสมบัตินี้!]

คืนหนึ่งหลังผ่านมาแล้วหลายวัน เฮ่อจุนกับรูมเมตออกไปดูภาพยนตร์รอบพรีเมียร์ด้วยกัน ตอนหนังเลิกก็ตีหนึ่งกว่าแล้ว ทุกคนตั้งใจว่าจะเดินตัดไปถนนอีกเส้นหนึ่งเพราะตรงนั้นเรียกแท็กซี่ได้ง่ายกว่า
เฮ่อจุนนึกถึงประสบการณ์ครั้งก่อนของตัวเอง รีบพูดขึ้นทันที “เดินไปอีกทางดีกว่า ครั้งที่แล้วฉันเจอผีตรงนั้น แม่ง!”
เพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน แต่ตอนนี้เขายังมีความกลัวหลงเหลือในใจ เดิมทีไม่อยากออกมาตอนกลางคืนแล้ว แต่ก็ถูกเหล่ารูมเมตชวนออกมาเสียได้
รูมเมตสามคนหัวเราะเยาะใส่เฮ่อจุน แต่เขาพูดถึงผีตอนกลางดึกแบบนี้ก็น่ากลัวจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงตกลงกันว่าจะเดินไปยังถนนอีกเส้นแทน
ถนนเส้นนี้ค่อนข้างกว้าง แต่ไม่มีใครสักคนบนถนน เงียบสงัดอย่างเห็นได้ชัด
ข้างถนนเส้นนี้เป็นพื้นที่ที่กำลังก่อสร้าง เฮ่อจุนเดิมทีกำลังพูดถึงความรู้สึกหลังดูหนังอย่างไม่ร่าเริงนักเพื่อซ่อนความกลัวของตัวเอง จู่ๆ รูมเมตคนหนึ่งก็จับไหล่เขาแล้วพูด “นายดูดิ บนตึกนั่นมีผู้หญิงอยู่ใช่มั้ย”
เฮ่อจุนตกใจจนสะดุ้งโหยง เงยหน้าขึ้นไปทันที
แต่ไม่มีอะไรเลย
รูมเมตอีกคนผลักคนนั้น “ทวดแกสิ ฉันตกใจแทบแย่ ดึกป่านนี้จะมีคนอยู่บนไซต์ก่อสร้างได้ไง”
รูมเมตคนนั้นหัวเราะแหะๆ “แค่หลอกเหล่าเฮ่อเอง เขาไม่เห็นจะกลัว พวกนายดันกลัวแทน”
เฮ่อจุนกำลังจะด่า แต่จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเพราะเขาสัมผัสได้ถึงลมหนาวที่ไม่รู้พัดมาจากไหนวูบหนึ่ง จนเขารู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง เป็นความรู้สึกเดียวกับคืนนั้นไม่มีผิด
รูมเมตที่เหลือก็รู้สึกได้เหมือนกัน หน้าซีดลงทันที “ทะ ทำไมจู่ๆ ถึงหนาวขนาดนี้ละ”
อันที่จริงพวกเขามีคำตอบในใจแล้ว ครั้งก่อนเฮ่อจุนเคยบอกว่าเจอผีกำแพงในละแวกนี้ไม่ใช่หรือ
เฮ่อจุนเปิดแฟลชจากโทรศัพท์มือถือ แต่ส่องออกไปไม่ถึงครึ่งเมตรก็ราวกับว่าถูกความมืดกลืนกิน ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งแอบมองมา ใบหน้าซีดขาวทันใด
“แม่ง จะวิ่งไม่วิ่ง”
“ขาอ่อนแล้วโว้ย!”
เวลานี้ลมเย็นวูบหนึ่งก็พัดเข้ามา คล้ายจะจู่โจมเฮ่อจุนที่คิดจะดึงรูมเมตวิ่งหนี!
เขาสะดุ้งโหยง รู้สึกเหมือนร่างกายอุ่นขึ้น จากนั้นก็รู้สึกปลอดโปล่งโดยฉับพลัน
รอบข้างไม่เงียบงันอีกแล้ว เสียงหัวเราะของผู้คนกลับเข้าสู่โสตประสาทอีกครั้ง พื้นถนนก็มองเห็นชัดเจน
สถานการณ์เปลี่ยนอย่างกะทันหันเกินไป รูมเมตอีกสามคนล้วนมีสีหน้าไม่อาจบรรยายได้ เมื่อกี้พวกเขากำลังคิดว่าจะวิ่งไปยังอารามเต๋าอย่างสุดฝีเท้าดีไหม
เฮ่อจุนชะงักไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ หยิบแผ่นยันต์ที่พกติดตัวออกมาจากในกระเป๋า ทันทีที่คลี่ออกก็พบว่าชาดแดงที่เคยสีสดคมชัดกลับซีดลงแล้ว ดูเก่าลงถนัดตา
“…เชี่ยไรเนี่ย”

——————————————————————-
[1] ชื่อเพลง小跳蛙 (Leap Frog) หรือกบกระโดด ร้องโดย 青蛙乐队
[2] ค่าเงินย่อยของจีน เทียบได้กับสตางค์ของไทย
[3] การชำระกายใจให้สะอาดก่อนทำพิธีเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อทวยเทพ

คอมเมนต์

Chapter List