ครึ่งเซียนพาร์ตไทม์ บท 4-1
บทที่ 4 ภารกิจที่ท่านปรมาจารย์มอบให้ (1)
ภัยแล้งในเมืองหนิ่วหยางและเขตพื้นที่ต่างๆ โดยรอบยกระดับกลายเป็นภัยพิบัติ ขนาดชาวเมืองยังรับไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประชาชนที่อาศัยในเขตภูเขาห่างจากตัวเมืองเลย ข่าวลือกระพือทั่วสังคมชั่วขณะหนึ่ง แต่โชคดีที่ราคาน้ำถูกควบคุมไม่ให้ผกผันตามสถานการณ์
วันนี้เซี่ยหลิงหยาได้รับจดหมายฉบับหนึ่งที่ส่งมาจากสมาคมลัทธิเต๋าประจำเมือง ข้างในแนบบัตรเชิญหนึ่งแผ่น ระบุองค์กรที่ได้รับเชิญว่า ‘อารามเป้าหยาง’
เมื่อเปิดออก ริมซ้ายเป็นตัวอักษรดูมีรสนิยมหนึ่งบรรทัด
‘พิธีอธิษฐานขอฝนและร่วมระดมทุนบริจาคสิ่งของบรรเทาภัยแล้งในเมืองหนิ่วหยาง
สามัคคีคือพลัง
ร่วมกันฟันฝ่าภัยแล้ง’
เซี่ยหลิงหยา “…”
เซี่ยหลิงหยาไม่ค่อยรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ‘วงการหลักศาสนา’ ดังนั้นเมื่อเห็นหัวข้อกิจกรรมจึงรู้สึกแปลกๆ อยู่นิดหน่อย จึงทอดถอนใจว่า “ดูเหมือนว่าช่วงที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยอย่างกระตือรือร้น บุคคลในวงการศาสนาก็ไม่นิ่งเฉยเหมือนกันสินะ…”
ช่วยเหลือในแบบของตน ส่วนจะได้ผลหรือไม่นั้นก็…พูดยากแฮะ อย่างไรก็ตามยังมีขั้นตอนบริจาคสิ่งของด้วย
แม้อารามเป้าหยางมีขนาดเล็ก แต่ถึงอย่างไรก็สร้างอารามมานาน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสมาชิกของสมาคมลัทธิเต๋าประจำเมืองหนิ่วหยางด้วยเหมือนกัน เพียงแต่เมื่อก่อนหวังอวี่จี๋คงไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรม ไม่มีการผูกมิตรกับเพื่อนร่วมอาชีพแต่อย่างใด
พอพลิกดูอีกด้านหนึ่งของบัตรเชิญ ผู้เชิญคือสำนักงานใหญ่สมาคมลัทธิเต๋าประจำเมืองหนิ่วหยาง ทั้งยังเขียนกำกับเอาไว้ชัดเจนว่า พิธีอธิษฐานขอฝนโดยสมาคมลัทธิเต๋าประจำเมืองหนิ่วหยางจะจัดขึ้นที่อารามไท่เหอวันมะรืน ภายใต้การสนับสนุนเต็มที่จากสมาคมลัทธิเต๋าระดับมณฑล
เกากง[1]ในพิธีคือหัวหน้าสมาคมลัทธิเต๋าประจำเมืองกับเจ้าอารามเฉินซานเซิงจากอารามไท่เหอ พร้อมทั้งเชิญนักพรตอีกสิบกว่าท่านจากแต่ละอารามในมณฑลมาเข้าร่วม เชิญองค์กรสมาชิกแต่ละท่านมาร่วมชมพิธี ถึงเวลานั้นยังมีกิจกรรมบริจาคสิ่งของให้กับประชาชนที่ประสบภัยแล้งด้วย
เกากงเดิมทีเป็นเพียงผู้มีความรู้ลึกซึ้งในหลายแขนง ในลัทธิเต๋าถือเป็นอาจารย์ผู้ดูแลพิธีกรรมทุกระดับ หรือจะเข้าใจว่ามีฝีมือสูงมากก็ได้เช่นกัน ส่วนเฉินซานเซิงเป็นประธานสมาคมลัทธิเต๋าประจำเมืองนี้ แน่นอนว่ามีฝีมือคู่ควรกับตำแหน่ง
กิจกรรมในรูปแบบนี้ เมื่อก่อนหวังอวี่จี๋นักพรตเพียงคนเดียวในอารามเป้าหยางมักปฏิเสธไม่เข้าร่วม ทางสมาคมเพียงส่งจดหมายมาเชิญตามหน้าที่ แต่ตอนนี้ในอารามไม่มีนักพรตแล้ว หลังเซี่ยหลิงหยาได้รับคำเชิญก็คิดว่าควรไปร่วมงาน
แต่ไม่ใช่ว่าเขากระตือรือร้นอยากเข้าร่วมกิจกรรมหรอกนะ เซี่ยหลิงหยาแค่อยากทำความเข้าใจกับสภาพแวดล้อมในสายอาชีพนี้สักหน่อย จะได้ถือโอกาสสำรวจดูว่า จะหาลูกศิษย์ในอนาคตของลุงเจอหรือไม่
พิธีกรรมจัดขึ้นทั้งหมดสามวัน เซี่ยหลิงหยาตั้งใจว่าจะไปแค่วันแรก และในหนึ่งวันนั้นต้องทำความรู้จักกับคนอื่นให้ได้ เขาวานให้ภรรยาของซุนฟู่หยางช่วยดูแลลานหน้าอารามให้ชั่วคราว ส่วนวิหารใหญ่นั้นปิดล็อกเอาไว้
วันพิธีอธิษฐานขอฝน เซี่ยหลิงหยาสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนไปร่วมงาน
ในงานนอกจากนักพรตแล้วยังมีผู้ศรัทธามากมายมาร่วมชม ดังนั้นการแต่งตัวของเซี่ยหลิงหยาจึงไม่โดดเด่น เพียงแต่ตอนแสดงบัตรเชิญ นักพรตที่ตรวจบัตรก่อนเข้างานหน้าประตูแอบซุบซิบกันอยู่บ้างว่าอารามเป้าหยางนี้ถ้าไม่มีใครมาก็น่าจะส่ง…ลูกศิษย์ (?) มาเป็นตัวแทน
อารามไท่เหอมีพื้นที่กว้างกว่าอารามเป้าหยางมาก อีกทั้งยังเพิ่งได้รับการบูรณะซ่อมแซมเมื่อไม่กี่ปีก่อน เปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ทั้งหมด ทำให้ดูมีสง่าราศีมาก
ช่วงที่ผ่านมาเซี่ยหลิงหยาอ่านบันทึกเป้าหยาง ระหว่างทางก็ประยุกต์ใช้วิชานรลักษณ์ที่เพิ่งศึกษามาพิจารณามองลักษณะใบหน้าของนักพรตทั้งหมดเพื่อสำรวจหาพรสวรรค์ของพวกเขา
ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน นักพรตสามารถย้ายระหว่างอารามต่างๆ ได้ แต่การย้ายนั้นโดยปกติแล้วเป็นการย้ายระหว่างสำนักเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับยุคปัจจุบันแล้ว หลายอารามยังเชิญนักพรตที่มีชื่อเสียงมารับตำแหน่งเจ้าอารามได้ด้วย ล้วนพัฒนาเป็นอาชีพไปแล้ว
ทำนองเดียวกับอารามเป้าหยางที่มีความสามารถแท้จริง หากจะตามหาผู้สืบทอดคนต่อไปก็ต้องรอบคอบหน่อย
สำหรับอารามเป้าหยางในตอนนี้ เรื่องสำคัญเร่งด่วนที่สุดก็คือแม้แต่นักพรตธรรมดาๆ ที่พอจะอธิบายสอนสั่งผู้ศรัทธาสักคนยังไม่มี ถึงอย่างไรหากมีเงินก็ยังจ้างได้ แต่ผู้สืบทอดสำนักควบเจ้าอารามกลับเป็นคนละเรื่อง
…
เพราะเซี่ยหลิงหยาถือบัตรเชิญในนามองค์กรสมาชิก ดังนั้นจึงต่างจากผู้ศรัทธาทั่วไป สามารถยืนชมพิธีได้ใกล้ยิ่งขึ้น เขาปะปนอยู่ในกลุ่มนักพรตเพื่อชมพิธีการ
ผู้ศรัทธาจำนวนมากมุงรอบนอกวิหาร ภายในวิหารมีอุปกรณ์ประกอบพิธีครบครัน อาทิ แท่นบูชา เชิงเทียน กระถางธูป แจกัน ธงสลักยันต์ทอง ด้านข้างยังมีระฆังบรรเลงประกอบ ดูเป็นทางการอย่างยิ่ง
มองดูอารามไท่เหอแล้วย้อนกลับไปมองสภาพอารามเป้าหยาง…พวกเขาไม่มีแม้แต่ผู้ศรัทธาสักคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลานประกอบพิธี เซี่ยหลิงหยาจำได้ว่าตอนเด็กคุณลุงก็เคยประกอบพิธีในลานเช่นกัน แต่ทำเพียงคนเดียว เทียบกับนักพรตที่อื่นที่สวดภาวนาปัดเป่าแล้ว อันที่จริงไม่ควรเรียกว่าประกอบพิธีกรรม ควรเรียกว่าพร่ำบ่นมากกว่า
แต่เห็นได้ชัดว่าคุณลุงมีความสามารถจริงๆ แถมยังเคร่งในศาสนามากๆ เซี่ยหลิงหยาคิดอย่างขมขื่นว่า พยายามอีกหน่อย ในอนาคตอารามเป้าหยางของพวกเขาต้องมีนักพรตประกอบพิธีกรรมมากกว่าเจ็ดคนแน่นอน!
เมื่อพิธีการเริ่มขึ้น นักพรตชุดแดงคนหนึ่งก็ถือกระดาษเหลืองเดินนำเข้ามา เขายังดูวัยรุ่นมาก น่าจะอายุแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้นเอง โดยเฉพาะหน้าตาหล่อเหลาเกินบรรยาย สวมชุดนักพรตสีแดงสดตลอดร่างก็จริงแต่กลับไม่ดูเชยแม้แต่น้อย ดูราวกับเซียนที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์
เขาไม่ได้ไว้ผมยาวแต่สวมหมวกทรงโบราณเอาไว้ ในเวลานี้ดวงตาเรียวเหมือนหงส์ที่เยือกเย็นหลุบมองกระดาษเหลืองในมือ สีหน้าท่าทางสงบนิ่งดุจสายน้ำ
ปกติแล้วเกากงที่นำประกอบพิธีต้องสวมชุดนักพรตสีแดงปักลายนกกระเรียน ส่วนนักพรตที่เหลือจะสวมชุดสีเหลือง
เซี่ยหลิงหยาถามนักพรตคนข้างๆ ด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “…เจ้าอารามเฉินเด็กขนาดนี้เลยหรือ”
นักพรตคนนั้นเดิมแสดงสีหน้า ‘นายบ้ารึเปล่า’ แต่พอหันมาเห็นเซี่ยหลิงหยาที่หน้าตาดีไม่น้อย ความหงุดหงิดก็หายไป
“เจ้าอารามเฉินติดธุระด่วนจึงให้นักพรตซือฉางเสวียนรับหน้าที่เกากงแทน”
อารามเป้าหยางอยู่ชายขอบในสมาคมขนาดนั้น เรื่องเปลี่ยนตัวคนกะทันหัน เซี่ยหลิงหยาย่อมไม่ทราบ
เซี่ยหลิงหยาหน้าด้านถามต่อ “เขาดังมากเลยหรือครับ มาจากอารามไหน”
คนนั้นมองเซี่ยหลิงหยาอย่างเหลือเชื่อ “นายหลงเข้ามาหรือ”
เซี่ยหลิงหยา “…”
แสดงว่าดังมากจริงๆ ใช่ไหม
นักพรตคนนั้นเหมือนได้ยินเสียงความคิดของเซี่ยหลิงหยา พูดขึ้นว่า “นายเห็นเขาไม่ไว้ผมยาวก็น่าจะรู้แล้ว เขาเป็นนักพรตฆราวาส[2]นิกายเจิ้งอี ไม่สังกัดอารามไหน! นักพรตซือได้รับถ่ายทอดหลักการความรู้ภายในครอบครัว!”
เซี่ยหลิงหยา “…”
แย่แล้ว ความรู้ทั่วไปยังไม่มากพอ
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ซือฉางเสวียนก็ได้คลี่กระดาษเหลืองแล้วเริ่มอ่าน เสียงของเขากังวาน การออกเสียงชัดเจน ทั้งยังมีจังหวะที่ยอดเยี่ยม บริเวณลานประกอบพิธีเงียบลงในเวลาอันรวดเร็ว
“นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมาฝนตกน้อยครั้ง พื้นที่ทำนาแห้งแล้ง สร้างความหวั่นวิตกแก่ประชาชน ทางเราตั้งใจเลือกปาฐกถาคัมภีร์อธิษฐานขอฝน ภาวนาให้เทพทรงเมตตาประชาชนผู้น่าสงสาร โปรดบันดาลสายฝนโปรยลงมาในยามแห้งแล้ง…”
เอกสารได้ระบุผู้รับผิดชอบดำเนินการ สถานที่ และเวลาในการทำพิธีกรรมไว้แล้ว หลังเสร็จสิ้นพิธีจะต้องนำไปเผาเพื่อถวายแก่เทพบนสรวงสวรรค์
นักพรตที่เหลือข้างหลังหยิบธงขึ้นมาแปดผืน เดินสวนตามตำแหน่งห้าธาตุ หลังเดินครบสามรอบก็นำธงไปปักในแจกัน ในลานเต็มไปด้วยนักพรตกับผู้ศรัทธา ส่วนใหญ่ต่างชมพิธีด้วยความตั้งใจ
เซี่ยหลิงหยาไม่สนใจพิธีกรรมมากนัก เขากำลังจ้องซือฉางเสวียน ยิ่งมองก็ยิ่งคิดว่านรลักษณ์ไม่เลว ไม่รู้ว่ากระดูกบนร่างกายเป็นอย่างไร แต่เขายังอายุน้อยก็รับหน้าที่เป็นเกากงได้แล้ว แสดงว่าต้องรอบรู้ดีมาก ความสามารถก็ต้องเก่งกาจด้วยเช่นเดียวกัน
พอเขาทราบว่าอีกฝ่ายเป็นนักพรตฆราวาส ทั้งยังรับถ่ายทอดลัทธิเต๋าภายในครอบครัวก็เกิดความสนใจอยากทำความรู้จัก เขาคิดว่าเก็บคนผู้นี้ไว้เป็นหนึ่งในเป้าหมายสังเกตการณ์ได้!
เหล่านักพรตนอกจากมีตู้ซือ[3]นำเข้าสำนักแล้ว ยังสามารถศึกษาร่ำเรียนกับอาจารย์ท่านอื่นได้ ยิ่งกราบอาจารย์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งอธิบายว่าเป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียน แต่เนื่องจากความคิดเห็นและหลักการของแต่ละสำนักต่างกัน ทำให้นับวันยิ่งมีคนเรียนรู้ข้อดีของแต่ละสำนักได้น้อยลงแล้ว
หลักการของเจ้าอารามเริ่นแห่งอารามเป้าหยางคือ เต็มใจให้ศึกษาหาความรู้เพิ่มมากขึ้น ไม่ถือสาว่าลูกศิษย์จะมีอาจารย์มากเท่าไร แต่น่าเสียดายที่คนคิดแบบเดียวกับพวกเขานั้นทมีน้อยมาก
แต่ถ้าหากเพียงถ่ายทอดหลักการความรู้ในครอบครัวก็อาจจะกราบอาจารย์เพิ่มได้!
แม้นักพรตฆราวาสจะเป็นนักพรตเต็มตัวไม่ได้ แต่เซี่ยหลิงหยาไม่ถือสาหากจะหาลูกศิษย์ที่โดดเด่นให้กับคุณลุงได้มากสักหน่อย ลุงของเขาโชคร้ายเกินไป ลูกศิษย์สักคนยังไม่มี อนาคตขอแค่มีผู้มากราบไหว้เพิ่มสักคนหนึ่งก็ดีมากแล้ว แน่นอนว่าคุณสมบัติข้อแรกของลูกศิษย์ต้องมีนิสัยที่ดี มีคุณธรรมและความประพฤติที่ดี มิฉะนั้นจะรับเป็นศิษย์มาทำไม
ทว่าน่าเสียดายที่อยู่ร่วมพิธีกรรมมาตลอดทั้งวัน ทั้งรวมตัวกินอาหารเจไปตั้งสองมื้อ แต่ซือฉางเสวียนคนนั้นถ้าไม่ทำพิธีอยู่ก็มักถูกผู้คนรายล้อม เซี่ยหลิงหยาไม่แม้แต่จะมีโอกาสได้ชวนคุยสักประโยค ได้แต่หอบความเสียดายกลับไป
[1] ชื่อเรียกเฉพาะสำหรับอาจารย์นักพรต มีตำแหน่งสูงสุดเวลาประกอบพิธีกรรม รวมถึงมีฝีมือสูงสุดในบรรดานักพรตด้วยกัน
[2] นักพรตที่แต่งงานมีครอบครัวได้ในนิกายเจิ้งอี
[3] หนึ่งในสามคณาจารย์ที่ต้องกราบก่อนรับการถ่ายทอดสู่ลัทธิเต๋านิกายเจิ้งอี ประกอบไปด้วยตู้ซือ เป่าจวี่ซือ และเจียนตู้ซือ
คอมเมนต์