ครึ่งเซียนพาร์ตไทม์ บท 4-2
บทที่ 4 ภารกิจที่ท่านปรมาจารย์มอบให้ (2)
ไม่ทราบว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือเปล่า วันที่สามหลังจากทำพิธีอธิษฐานขอฝนเสร็จ สวรรค์ก็บันดาลสายฝนลงมาดับภัยแล้ง ประชาชนในเขตประสบภัยแล้งต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
ทว่าแม้หลังฝนตกลงมาจะทำให้เริ่มกลับไปจ่ายน้ำได้บ้างแล้ว แต่บ่อน้ำในอารามเป้าหยางก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ดี
หลายวันนี้บ่อน้ำเก่าแก่รักษาชื่อเสียงได้อย่างมั่นคง คนมากมายมาตักน้ำแต่ก็ไม่ได้ตัดขาดความสัมพันธ์เสียทีเดียว สมกับที่คำนวณตำแหน่งมาอย่างพิถีพิถัน
กระทั่งหลังกลับไปจ่ายน้ำได้ตามปกติแล้ว ไม่เพียงแต่คนที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้ๆ ที่ยังคงมาตากอากาศหรือคุยเล่นกันที่อารามยามว่าง ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งมาตักน้ำเพิ่ม
ลองถามดูก็นึกไม่ถึงว่าส่วนใหญ่เป็นผู้มีใจรักการดื่มน้ำชา
หลายวันที่ผ่านมาพวกเขาได้ดื่มน้ำจากที่นี่ โดยปกตินักดื่มน้ำชาต้องพิถีพิถันกับการใช้น้ำชงชาเป็นพิเศษ เวลาจิบน้ำชาก็ค่อนข้างใส่ใจ ทุกคนต่างคิดว่าน้ำที่ดีหายาก ดังนั้นถึงแม้กลับไปจ่ายน้ำเป็นปกติแล้วก็ยังเต็มใจมาตักน้ำจากที่นี่
ส่วนอีกกลุ่มประปรายเป็นคนที่คิดว่าน้ำในบ่ออร่อยถูกปาก พวกเขาเหล่านี้เอาชื่ออารามเป้าหยางมาตั้งเป็นชื่อบ่อน้ำ เรียกมันว่าบ่อเป้าหยาง ในแต่ละวันจะมีคนอยู่ห่างไกลหรือแม้กระทั่งคนที่อยู่อีกเขตหนึ่งก็ยังมาตักน้ำกลับไป
แม้ว่าภัยแล้งจะผ่านพ้นไปแล้ว เซี่ยหลิงหยาก็ยังอนุญาตให้ตักน้ำได้
ชาวเมืองต่างมีความสุขกันถ้วนหน้าในชั่วพริบตา แต่เซี่ยหลิงหยากลับไม่เป็นแบบนั้น
เวลาผ่านไปจนเขาคุ้นชินกับงานง่ายๆ ในอารามเป้าหยางแล้ว ทว่าสองสามวันนี้ไม่รู้ทำไมถึงนอนหลับไม่สนิท แถมยังฝันอีกต่างหาก
ถ้าแค่ฝันธรรมดาคงไม่เป็นไร แต่กลับฝันถึงใบหน้าโกรธแค้นของหวังหลิงกวนติดต่อกันหลายวัน
เซี่ยหลิงหยาเป็นคนกล้าหาญมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ครั้งนี้ไม่คิดมากไม่ได้แล้ว
“โธ่ ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ นี่เป็นการเข้าฝันรึเปล่า แต่ท่านอยากบอกอะไรผมกันแน่ล่ะ ท่านเอาแต่ยกนิ้วกลางโดยไม่บอกอะไร ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าต้องทำอะไรบ้าง”
เซี่ยหลิงหยาเปิดหาในสมุดบันทึกว่ามีเหตุการณ์คล้ายๆ กันบ้างหรือเปล่า ทั้งยังลองเสิร์ชหาในอินเตอร์เน็ตว่าฝันถึงหวังหลิงกวนหมายถึงอะไร แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเขาเลย
ไตร่ตรองอยู่ครึ่งวัน เซี่ยหลิงหยาจึงตัดสินใจว่าจะไปถามนักพรตที่อารามไท่เหออย่างอับจนหนทาง
ก็ไม่มีทางแล้วนี่! เขาไม่เคยเรียนทำนายฝัน เดาไม่ออกเลยว่าฝันแบบนี้หมายถึงอะไร!
ไม่รู้ว่าคนของอารามไท่เหอจะลดราคาให้เขาไหม แม้เขาไม่ใช่นักพรต แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนของอารามเป้าหยาง แถมอยู่ในสมาคมลัทธิเต๋าเหมือนกันด้วย อีกอย่างถ้าไปที่นั่น บางทีอาจได้เจอซือฉางเสวียนก็เป็นได้!
เซี่ยหลิงหยากำลังเก็บของเตรียมตัวไปอารามไท่เหอ แต่เฮ่อจุนมาพอดี
“อาจารย์เซี่ยจะไปไหนหรือครับ?”
แน่นอนว่าเซี่ยหลิงหยาไม่อาจบอกได้ว่าตัวเองจะไปอารามอื่นเพื่อแก้ไขเรื่องฝันร้ายให้ขายหน้า แต่มองไปด้านหลังของเขาแทน
“ไม่ต้องมองแล้ว วันนี้ผมมาคนเดียว” เฮ่อจุนบอก
ไหนบอกว่าจะพาเพื่อนมากราบไหว้ด้วยกันไง?
เซี่ยหลิงหยาถาม “นายมีอะไร ไม่ใช่ว่าเจอผีอีกแล้วนะ”
เฮ่อจุนพูดพลางยิ้มเจื่อน
“ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็โชคร้ายเกินไปแล้ว!”
เซี่ยหลิงหยา “แล้วนายมาทำอะไร?”
เฮ่อจุน “บ้านอาผมมีผีอาละวาด!”
เซี่ยหลิงหยา “…”
เฮ่อจุน “ผมมีอาไม่แท้อาศัยอยู่ที่เมืองหนิ่วหยางนี่แหละ ช่วงนี้คนในครอบครัวฝันร้ายทุกคืน เดิมทีเขาไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แถมยังไปตรวจร่างกาย ตรวจสอบสภาพแวดล้อมข้างๆ ผลปรากฏว่าไม่มีปัญหาอะไรเลย ผมจึงแนะนำเขาให้ลองเชิญคุณไปจัดการ ลองดูว่าแก้ไขได้ไหม”
จัดการ? จัดการอะไรล่ะ ตอนนี้ตัวเซี่ยหลิงหยาเองยังมีเรื่องกวนใจอยู่เลย มีเวลาว่างไปสนใจเรื่องคนอื่นที่ไหนกัน เขาอยากบอกเหลือเกินว่าถ้าไม่อย่างนั้นเราไปอารามไท่เหอด้วยกันดีไหม
เฮ่อจุนดูท่าทางดีใจมากเมื่อเห็นเซี่ยหลิงหยากำลังพิจารณา พูดอีกว่า “อาจารย์เซี่ย ผมไปจุดธูปกราบไหว้ท่านปรมาจารย์ก่อนนะ”
เซี่ยหลิงหยาไม่ห้ามจุดธูปกราบไหว้อยู่แล้ว นำทางเขาไปยังวิหารปีก หยิบธูปออกมาสามดอก
เฮ่อจุนจุดธูปแล้วถือไว้ในมือ โค้งตัวไหว้หนึ่งครั้ง ทว่าพอยืดตัวขึ้นธูปทั้งสามดอกกลับหักตรงกลางอย่างเท่าๆ กัน
เฮ่อจุนคล้ายหนังศีรษะระเบิด
“อาจารย์เซี่ย เกิดอะไรขึ้น!”
แม้เขาไม่เข้าใจ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน! เกรงว่าเป็นลางอัปมงคล!
เซี่ยหลิงหยาพูดขึ้นทันที “เดี๋ยวฉันหยิบธูปมาให้อีกสามดอก ไม่คิดเงินนายเพิ่มด้วย เฮ้อ ฉันไม่ได้ตั้งใจขายของคุณภาพต่ำหรอกนะ”
เฮ่อจุน “…”
เซี่ยหลิงหยาหยิบธูปมาใหม่อีกสามดอก ครั้งนี้เขาเป็นคนจุดเอง จากนั้นก็พัดไฟตรงปลายธูปให้ดับลง ทว่าเพิ่งพัดไปได้สองครั้งธูปสามดอกนี้ก็หักพร้อมกันอีกแล้ว!
คราวนี้แม้แต่เซี่ยหลิงหยาก็รู้สึกถึงความผิดปกติแล้ว สีหน้าตึงเครียดเล็กน้อย นึกโยงไปถึงความฝันของตัวเอง
เฮ่อจุนพูดด้วยความกลัว “ผมล่วงเกินปรมาจารย์ตรงไหนรึเปล่า อาจารย์เซี่ย?”
“ไม่เกี่ยวกับนายหรอก”
เซี่ยหลิงหยาวางธูปลง พนมมือกล่าวต่อเทวรูปเทพเจ้า “ท่านปรมาจารย์ ท่านอยากชี้แนะอะไรกันแน่ ช่วยทำให้ชัดเจนหน่อยได้มั้ยครับ”
“อาจารย์เซี่ย” เฮ่อจุนพลันพูดอย่างอ่อนแรง “คุณดูสิ ร่างกายของปรมาจารย์ใช่…”
เซี่ยหลิงหยามองไปยังสีข้างของเทวรูปที่เฮ่อจุนชี้แวบหนึ่ง พบว่ามันล่อนหลุดออกมาหนึ่งแผ่น พอเขาเดินไปมองข้างหลังถึงพบว่ามันหลุดล่อนเป็นรอยด่างอย่างหนัก
อารามเป้าหยางขาดการบูรณะมานานหลายปี เดิมทีค่อนข้างเก่าแล้ว กระเบื้องในวิหารหลักก็แตกแล้วเหมือนกัน หากไม่มีผ้าใบกันน้ำคอยรองรับอาจจะมีน้ำฝนรั่วลงมาแล้ว ตอนนี้แม้แต่ตัวทองคำบนเทวรูปยังหลุดล่อน เซี่ยหลิงหยาจะไม่ฝันร้ายได้ยังไงกัน
ท่านปรมาจารย์มอบภารกิจให้นี่เอง!!
เซี่ยหลิงหยาเข้าใจต้นสายปลายเหตุในชั่วพริบตา จุดธูปอีกสามดอกแล้วอธิษฐานว่า “ท่านมหาเทพ ผมจะซ่อมเทวรูปให้ท่านแน่นอน”
เขามองธูปแวบหนึ่งแล้วกัดฟันบอก “ภายในสองเดือน”
คราวนี้เขาปักธูปลงในกระถางอย่างระมัดระวัง ธูปทั้งสามดอกไม่บุบสลายแม้แต่นิดเดียว
จู่ๆ เซี่ยหลิงหยากับเฮ่อจุนก็รู้สึกหนาวเล็กน้อย เซี่ยหลิงหยายังดีหน่อยที่กล้าหาญชาญชัย แต่เฮ่อจุนแทบจะตัวสั่น ยิ่งเคารพยำเกรงมากขึ้น เซี่ยหลิงหยาคิดในใจว่าดีแล้วที่ตนไม่ได้เล่าว่า หลายวันนี้มักฝันถึงท่านเทพหลิงกวน
แม้เซี่ยหลิงหยาคุยโวเอาไว้แล้ว แต่เดิมทียังคิดไม่ออกว่าจะไปหาเงินมาจากไหน แผนขยายรายได้ของเขาเพิ่งเริ่มขั้นแรกเท่านั้นเอง ตอนนี้รายได้ทั้งหมดในแต่ละเดือนของอารามเป้าหยางหลังหักค่าใช้จ่ายออกก็เหลือไม่มากนัก ยังต้องสำรองเงินไว้สำหรับจ้างนักพรตอีก
ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการซ่อมเทวรูป แต่ลำพังแค่รายได้เท่านี้ต้องไม่พอแน่นอน เทวรูปหลิงกวนองค์นี้มีความสูงประมาณสองเมตรกว่า จะเติมแต่งเฉพาะส่วนที่หลุดล่อนคงไม่ได้สินะ ถ้าสีต่างกันไม่ใช่ว่าจะยิ่งไม่น่ามองหรือ
ในตอนนั้นเอง เฮ่อจุนก็จุดธูปสามดอกอย่างกล้าๆ กลัวๆ คราวนี้ธูปไม่หักกลางคันแล้วเช่นกัน
เซี่ยหลิงหยามองเฮ่อจุนราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นก็ถามขึ้น “ฝั่งอาของนายเป็นไงบ้าง มีเงินรึเปล่า”
เฮ่อจุนชะงักไปครู่หนึ่ง ตอบทันที “แน่นอนว่ามี! อาผมบอกว่าขอแค่แก้ปัญหาได้ จะจ่ายให้ตามราคาตลาด”
“โอเค” เซี่ยหลิงหยาดูมีท่าทีกระตือรือร้นขึ้น หลังจากนั้นก็ฉุกคิดในใจได้ว่า แย่แล้ว ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนี่นาว่าราคาตลาดมันเท่าไหร่!
ทว่าของแบบนี้ต้องลองดู เหมือนกับสถานการณ์ของเฮ่อจุนครั้งก่อนที่แรกเริ่มเขาก็ไม่ทราบต้นตอเรื่องราวเหมือนกัน คิดว่าอาจไม่มีหนทางแล้ว
แต่ในเมื่อครั้งนี้รู้แล้วว่าเหตุเกิดที่บ้านหลังใหม่ อีกทั้งสถานการณ์ยังเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในบ้านของเพื่อนร่วมชั้น สมัยเซี่ยหลิงหยาอยู่มัธยมปลาย เขาเกิดความมั่นใจขึ้นมาหลายส่วน
ยิ่งไปกว่านั้น แรกเริ่มเป็นเฮ่อจุนจุดธูปก่อนแล้วหัก เซี่ยหลิงหยาคิดว่านี่เป็นการบอกใบ้โดยนัยอย่างหนึ่ง
เขาไหว้เทวรูปหลิงกวนอีกครั้ง คิดในใจว่า “ท่านมหาเทพ ท่านยุให้ผมไปเอง ถ้าท่านไม่คุ้มครองผมระหว่างทำงานก็ไร้ความเมตตากันเกินไปแล้วนะ…”
เฮ่อจุนยืนมองท่าทางเคารพศรัทธาของอาจารย์เซี่ยอยู่ด้านข้าง จู่ๆ ก็เกิดเคารพอย่างสุดซึ้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
…
ในเมื่อทราบแล้วว่าฝันร้ายได้ยังไง เซี่ยหลิงหยาก็ไม่ต้องไปแก้ความฝันที่อารามไท่เหอแล้ว แต่นัดเฮ่อจุนไว้ว่าจะไปบ้านอาของเขาในวันที่สอง
วันรุ่งขึ้นเฮ่อจุนเรียกรถแท็กซี่มารับเซี่ยหลิงหยา เมื่อเซี่ยหลิงหยาเตรียมของพร้อมแล้ว ทั้งสองคนก็ไปยังเขตบ้านพักตากอากาศที่เพิ่งสร้างใหม่ในเมืองหนิ่วหยางด้วยกัน ครอบครัวของอาเฮ่อจุนอาศัยอยู่ที่นี่
เซี่ยหลิงหยาลงจากรถแล้วก็สำรวจฮวงจุ้ยโดยรอบก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือ
เฮ่อจุนมองแล้วก็อุทานว่า สุดยอด นี่คือมาดของคนที่เตรียมการมาพร้อมสินะ
ทว่าความจริงแล้วเซี่ยหลิงหยากำลังเปิดบันทึกเป้าหยางที่เซฟเอาไว้ก่อนหน้านี้ พอเปิดไปถึงเรื่องฮวงจุ้ยแล้วก็หา ภูมิประเทศที่สอดคล้องกันอย่างสุดชีวิต…
“อาจารย์เซี่ย เมื่อก่อนอากับอาสะใภ้ผมไม่เชื่อเรื่องเทพเจ้า แถมยังเคยเจอพวกสิบแปดมงกุฎมาหลายครั้ง ถ้าหากพวกเขาพูดอะไรล่วงเกินไป คุณอย่าเก็บเอาไปใส่ใจนะครับ” เฮ่อจุนพูดอย่างอึดอัด
“ก่อนหน้านี้พวกเขายังถามผมว่าคุณอยู่ในอารามแล้วทำไมถึงไม่ใช่นักพรต มีบัตรอนุญาตหรือเปล่า แถมยังพูดอะไรเกี่ยวกับทำงานโดยไม่มีบัตรอีก”
ยุคนี้ทำอาชีพอะไรก็ต้องมีบัตรรับรองทั้งนั้น นักพรตเองก็ไม่ยกเว้น มีบัตรนักพรตที่นำไปตรวจสอบในเว็บไซต์ได้
แต่เฮ่อจุนก็ยังหมดคำพูด! ตามนักพรตมาแล้วยังห่วงว่าจับผีโดยไม่มีบัตรอะไรอีก?
“ฉันมีบัตรนะ” เซี่ยหลิงหยาหัวเราะเหอะๆ จากนั้นก็ล้วงหยิบบัตรสีน้ำเงินในกระเป๋า โบกตรงหน้าเฮ่อจุนแวบหนึ่ง
รวดเร็วจนเฮ่อจุนมองเห็นไม่ชัด หลังยืนอึ้งไปครู่หนึ่งก็อุทานขึ้น “เอ๋ อาจารย์เซี่ยไม่ได้บวชไม่ใช่หรือ? แล้วคุณมีบัตรได้ยังไง?”
เซี่ยหลิงหยายิ้มแทนคำตอบ
เฮ่อจุน “…อาจารย์ปลอมบัตรหรือ?”
“เปล่า ของจริง” เซี่ยหลิงหยามองเขาแวบหนึ่งแล้วดึงบัตรออกมา
เฮ่อจุนก้มมองทันที เพียงพบว่าบนบัตรสีน้ำเงินของอาจารย์เซี่ยพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีดำว่า ‘บัตรนักศึกษา’
เฮ่อจุน “…”
คอมเมนต์