ฉันเกลียดนาย ฉันรักนาย ตอนที่ 7
รักนายครั้งที่ 7
หลังจากกลับมาตอนเที่ยง หยางไป่ชวนก็ดูซึมกะทือ เจียงซานถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาไม่พูดอะไร ได้แต่ฟุบลงกับโต๊ะและถอนหายใจตลอดบ่าย
เมื่อถึงคาบเรียนด้วยตนเอง เจียงซานที่พอจะเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวกับเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นจึงพยายามให้กำลังใจเขา “ฉันไม่เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นจะเหมาะกับนายตรงไหน”
“งั้นนายลองบอกมาสิว่าใครเหมาะกับฉัน”
“ความจริงหลิวอวิ่นก็โอเคอยู่นะ”
หยางไป่ชวนกลอกตา “ใช่ว่าเธอจะชอบฉันซะหน่อย”
“…ขอร้องล่ะ ฉันยังดูออกเลยว่าเธอชอบนาย คนเขาโฉบผ่านหน้าห้องเราทุกวัน นายคิดว่าเป็นเพราะใครล่ะ”
หยางไป่ชวนอยากจะเถียง แต่พูดถึงหลิวอวิ่นก็ทำให้เขานึกถึงเรื่องเมื่อตอนเที่ยงขึ้นมา ได้แต่หงุดหงิด จึงฟุบลงไปบนโต๊ะอีกครั้ง ไม่พูดอะไรอีก
เจียงซานกำลังพูดอย่างเมามัน นับพวกคนที่ชื่นชอบหยางไป่ชวนทีละคนๆ พอนับจบก็พบว่าคนฟังเลิกสนใจเขาไปนานแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงพูดต่อว่า “นายจะไม่ฟังหน่อยหรือไง ทุกวันนี้ฉันเป็นห่วงสถานการณ์ความรักของนายนะเว้ย มันยากนักรึไง”
“นี่ เจียงซาน นายคิดว่าฉันดวงซวยมากเลยใช่มั้ย”
เจียงซานเหมือนได้ฟังเรื่องประหลาด จึงเอนหน้ามองเขา “นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้วเหรอ”
เขาคิดว่าหยางไป่ชวนแค่พูดขำๆ ใครจะไปรู้ว่าพอพูดจบหยางไป่ชวนจะถอนหายใจแรงและพูดว่า “ฉันก็คิดเหมือนกัน…”
หยางไป่ชวนถอนหายใจอีกครั้ง “บางทีฉันอาจจะต้องยอมแพ้แล้วจริงๆ ฉันรู้สึกว่าพระเจ้ามักจะเล่นตลกกับฉันเสมอ”
“…นายเป็นอะไรไปน่ะ”
เจียงซานประหลาดใจมาก เขาไม่คิดจะเอาใจช่วยคู่ของหยางไป่ชวนกับเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นเลย เทอมที่แล้วเขาเคยโน้มน้าวหยางไป่ชวนอยู่หลายครั้ง แต่หยางไป่ชวนก็เอาแต่ดื้อดึงราวกับหลงอยู่ในมนต์เสน่ห์ เขาไม่คิดเลยว่าอยู่ๆ หยางไป่ชวนจะรู้ตัวขึ้นมาและพูดว่าจะยอมแพ้
หยางไป่ชวนเอ่ยอย่างซึมกะทือ “เมื่อตอนบ่ายเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นมาหารือเรื่องการแสดงในวันสถาปนาโรงเรียนกับฉัน”
“แล้วไงต่อ”
“เราแสดงเรื่องซินเดอเรลลา ฉันไม่ได้เล่นเป็นเจ้าชาย แต่เธอเป็นซินเดอเรลลา”
“…นายแสดงเป็นแม่เลี้ยงเหรอ”
“ไอ้ห่านี่ นายนี่ปากมงคลจริงๆ ”
หยางไป่ชวนด่าเขาไป เขาเพียงแต่รู้สึกว่าดินแดนสุขาวดีแห่งสุดท้ายอยู่ห่างไกลจากตัวเขาเหลือเกิน พอเห็นว่านักเรียนเวรผู้ควบคุมระเบียบอยู่ตรงแท่นหน้าห้องเริ่มสังเกตเห็นเขา หยางไป่ชวนก็รีบขยับตัวออกห่างเจียงซานทันที
เขาหันหน้าไปทางหน้าต่าง ได้ยินเสียงเจียงซานเอ่ยขอโทษเบาๆ ที่ด้านหลัง แต่เขาไม่อยากจะสนใจเพื่อนที่ช่างพูดจาแทงใจดำคนนี้อีกแล้ว
ด้านนอกพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วและยังพอมองเห็นแสงสีทองรำไร หยางไป่ชวนมองแสงสีทองที่ค่อยๆ ลับตาไปอย่างเศร้าซึม เขานึกถึงประโยคหนึ่งในเรื่อง ‘เจ้าชายน้อย’ ที่บอกว่า เวลาที่รู้สึกเศร้าเจ้าชายน้อยจะมองดูพระอาทิตย์ตกดิน ในวันที่เศร้าที่สุด เขามองดูมันถึงสี่สิบสามครั้ง
หยางไป่ชวนคิดว่าตอนนี้เขาก็คงจะดูมันได้ถึงสี่สิบสองครั้ง
เมื่อหมดคาบเรียนด้วยตัวเอง หยางไป่ชวนลุกขึ้นกลับบ้านโดยไม่เอ่ยอะไรกับเจียงซานสักคำ เขารู้ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจียงซาน แต่หยางไป่ชวนควบคุมตัวเองที่โยนความแค้นนี้ใส่ตัวเจียงซานไม่ได้ เขาเกลียดเจียงซาน เกลียดซินเดอเรลลา และเริ่มเกลียดเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นที่ไม่ให้โอกาสเขา แน่นอนว่าโหยวเปิ่นเฉาคือคนที่เขาเกลียดที่สุด
เขาเกลียดโหยวเปิ่นเฉาและไม่อยากแสดงบทแม่เลี้ยงบ้าๆ นี่เลยแม้แต่นิดเดียว!
เขาก้มหน้าก้มตาเดินไปเรื่อยๆ หลังจากที่คลางแคลงใจในตัวเองตลอดทั้งบ่าย เขาก็เริ่มระบายความโกรธแค้นทั้งหมดไปที่โหยวเปิ่นเฉาอีกครั้ง
“ชวนชวน เดินไม่คิดจะมองทางเลยหรือไง”
จู่ๆ หยางไป่ชวนก็ได้ยินใครบางคนเรียกชื่อเขาดังมาจากด้านหน้า เขาเงยหน้าขึ้นทันที
คนคนนั้นสูงพอๆ กับเขาและไว้ผมทรงสั้นเกรียน เขายิ้มทีเล่นทีจริงและดูเหมือนอันธพาลอยู่บ้าง หยางไป่ชวนจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปตบไหล่ชายผู้นี้อย่างแรง “หวายจื่อ! ทำไมนายถึงโกนผมล่ะ ดูอย่างกับนักโทษ”
หวายจื่อลูบศีรษะซึ่งเต็มไปด้วยตอผมสั้นๆ ของตัวเอง ยิ้มแล้วพูดว่า “รำคาญน่ะ มันเกะกะ”
หยางไป่ชวนเอื้อมมือไปล็อกคอของเขาไว้ “ไม่ต้องมาพูดเลย อยากจะอวดหล่อละสิ”
ชื่อเดิมของหวายจื่อคือหลิวถิงหว่าย เป็นคนที่ดีที่สุดในบรรดาพวกพ้องที่เคยเล่นด้วยกันมา ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของทั้งสองคนอาจเรียกได้ว่าคล้ายคลึงกัน ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือผลการเรียนของเขายังพอผ่านไปได้ ในขณะที่หวายจื่อต้องพึ่งพาทักษะด้านกีฬาเพื่อให้พอเอาตัวรอด
เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าแท้จริงแล้วหยางไป่ชวนเกลียดโหยวเปิ่นเฉามากขนาดไหน
“เมื่อวานซืนนายมาหาฉันเหรอ” หวายจื่อกอดคอเดินไปพร้อมหยางไป่ชวน
“นายไม่พูดฉันก็ลืมไปแล้ว” หยางไป่ชวนเพิ่งนึกออกว่าตอนนั้นมีธุระจะคุยกับเขาจริงๆ “ไม่รู้ว่าไอ้บ้าโหยวเปิ่นเฉานั่นคิดจะทำอะไร ช่วงนี้ถึงได้มาตีสนิทกับฉัน”
“งั้นนายไม่โมโหแย่เลยเหรอ”
“นายเป็นพวกใครกันแน่ แต่ว่าความสัมพันธ์ของฉันกับหมอนั่นก็แปลกจริงๆ นั่นแหละ แม่งเอ๊ย!”
หวายจื่อหัวเราะและพูดว่า “ฉันไม่ได้อยู่ข้างไหนทั้งนั้น ก็แค่ดูเอาสนุก ความสัมพันธ์ของพวกนายสองคนมันโคตรแปลก เห็นไม่ถูกชะตากับหมอนั่นมาเป็นสิบปี แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นจะทำให้มันแตกหักกันไปสักที ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลยรู้ไหม”
ทั้งสองคนเดินเบียดลงมาจากอาคารเรียนพร้อมกับฝูงชน หยางไป่ชวนกลัวว่าจะโดนเบียดจนคลาดกัน จึงรีบเอื้อมมือไปล็อกคอของหวายจื่อไว้
ทางเดินมืดไม่มีไฟ มองไม่เห็นว่าคนที่อยู่ข้างๆ รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่หยางไป่ชวนรู้ว่าควรจะพูดถึงคนอื่นอย่างลับๆ จึงลดเสียงลง “ฉันกลัวว่าจะต้องแตกหักกับเขาแล้วพวกนายจะทำตัวลำบาก ฉันรู้สึกว่าเขาดูเสแสร้งมาก เหมือนพวกครูแก่ๆ วันก่อนฉันบอกว่าเราจะไปดื่มฉลองกันตอนวันเกิดนาย นายรู้ไหมเขาพูดว่ายังไง เขาบอกว่า ‘อย่าแม้แต่จะคิด’”
หยางไป่ชวนพูดโดยไม่หยุดหายใจ เขาหยุดกลืนน้ำลายนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ให้ตายเถอะ ตอนนั้นฉันคิดว่าเขาเกิดยุคไหนกันแน่ หรือจะเป็นคนที่พ่อส่งให้มาคอยเฝ้าฉัน”
“จะดื่มเหล้าได้หรือเปล่าฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ฉันรู้ว่านายกับเขายังต้องอยู่กับความสัมพันธ์จอมปลอมแบบนี้ไปอีกนาน นายก็ทำตามที่เห็นสมควร รักษาความสัมพันธ์จอมปลอมแต่ไม่มีวันโรยราต่อไป”
“ฉันว่ายาก” หยางไป่ชวนเอ่ย “ช่วงนี้เทพธิดาของฉันกับเขาใกล้ชิดกันมาก ฉันอยากจะบ้าตาย”
“ใกล้ก็ใกล้สิ นายคิดว่าดอกฟ้าจะถูกเด็ดลงมาง่ายๆ เหรอ” หวายจื่อผิวปากเบาๆ อย่างไม่คิดอะไร
“ฉันกลัวว่าเทพธิดาของฉันจะไปชอบเขาเข้านะสิ”
“งั้นนายก็เป็นไม้กวนขี้ซะสิ”
พวกเขาเดินมาจนถึงชั้นล่างของหอพักพอดี หลิวถิงหว่ายปล่อยมือออกจากบ่าของหยางไป่ชวน เตรียมจะโบกมือลา ทว่าหลังจากก้าวออกไปได้เพียงหนึ่งก้าวหยางไป่ชวนที่อยู่ด้านหลังก็รั้งเขาไว้ก่อน
“เฮ้ ถ้าฉันเป็นไม้กวนขี้แล้วเทพธิดาของฉันจะเป็นอะไร ถามนายเรื่องนึง อย่าหนี! ไอ้ห่า นายจะหนีทำไมเนี่ย”
หลิวถิงหว่ายหันกลับมาอย่างช่วยไม่ได้ “มีอะไรอีกล่ะลูกพี่”
“ฉันดวงซวยจริงๆ ใช่ไหม ตั้งแต่เด็กจนโตไม่ว่าจะเล่นอะไรฉันก็แพ้มาตลอด เรื่องพนันก็เหมือนกัน”
“ก็นิดหน่อย” หลิวถิงหว่ายเลิกคิ้ว “แต่นายจะถามเรื่องเป่ายิงฉุบหรืออะไรพวกนั้น ทุกครั้งนายจะออกค้อน กรรไกร แล้วก็กระดาษ ที่จริงพวกเราดูออกหมดแล้ว มีหลายครั้งที่เราพนันกันแล้วพวกเรารวมหัวกันโกงนายด้วย”
“……?”
“ดังนั้นนะหยางไป่ชวน ส่วนใหญ่คนเรายังสามารถชนะชะตากรรมได้ ถูกไหม”
คอมเมนต์