ฉันเกลียดนาย ฉันรักนาย ตอนที่ 9
รักนายครั้งที่ 9
หลังจากทั้งสามกินเสร็จพวกเขาก็เดินไปที่อาคารเรียน สถานที่ซ้อมยังคงเป็นมุมเล็กๆ ของทางเดิน เมื่อเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นเดินผ่านห้อง 5 มาได้ครึ่งทางก็บอกว่าเธอลืมหยิบบทละครมา ให้หยางไป่ชวนกับโหยวเปิ่นเฉาไปกันก่อน
ทันทีที่เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นเดินจากไปหยางไป่ชวนก็รู้สึกกระอักกระอ่วนทันที
สิบกว่าปีมาแล้วที่ความสัมพันธ์ของเขากับโหยวเปิ่นเฉาผ่านมาแบบเรื่อยๆ เรียงๆ เช่นนี้ เดิมทีเขาคิดว่าในอนาคตมันอาจจะจืดจางลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกลุ่มของพวกเขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยและติดต่อกันน้อยลง เขาก็จะสามารถตัดสัมพันธ์กับโหยวเปิ่นเฉาได้อย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นไม่ต้องติดต่อกันอีก
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแผนนี้ไม่อาจเป็นจริงได้ในระยะเวลาอันใกล้ อย่างไรก็ตาม เมื่อวานเขาทำตัวไร้เหตุผล และความไร้เหตุผลนี้ได้ล้ำเส้นของเจ้าม้าไม้ไผ่พลาสติกไปแล้ว
หยางไป่ชวนมือหนึ่งล้วงกระเป๋า มืออีกข้างถูกจมูกไปมา พูดอย่างลังเลว่า “คือว่า…เมื่อวานขอโทษด้วยนะ”
โหยวเปิ่นเฉาพูด “ขอโทษเรื่องอะไร”
เฮ้อ ไอ้คนนี้จงใจให้เขาต้องพูดขอโทษอีกครั้งสินะ หยางไป่ชวนมองโหยวเปิ่นเฉาในแง่ร้ายที่สุดเสมอ ตอนนี้ในใจก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา
สงสัยก็สงสัย แต่ยังไงก็ต้องขอโทษ
ดังนั้นเขาจึงอธิบายเสียงเบาว่า “เมื่อวานฉันไม่ได้ตั้งใจจะอารมณ์เสียใส่นาย อย่าใส่ใจไปเลยนะ ตอนนั้นฉันโกรธสุดๆ เลย ไม่ได้มือขึ้นบ่อยๆ แต่ดันทำหลุดมือไปเอง”
“แบบนี้เองเหรอ” โหยวเปิ่นเฉาว่า “ไม่เป็นไรหรอก”
ความใจกว้างของโหยวเปิ่นเฉาทำให้หยางไป่ยิ่งชวนระแวงมากขึ้น หยางไป่ชวนกล่าวขอโทษอีกครั้งในใจสำหรับความคิดชั่วร้ายเมื่อกี้ ทันทีที่เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก็ได้ยินโหยวเปิ่นเฉาถามขึ้นอีกครั้งว่า “นาย…ชอบเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นขนาดนั้นเลยเหรอ”
หยางไป่ชวนที่เพิ่งจะผ่อนคลายลงกลับมาระมัดระวังอีกครั้ง เขาคิดเสมอว่าโหยวเปิ่นเฉาไม่ได้ถามด้วยเจตนาดี เขาถามกลับอย่างระแวง “นายจะถามไปทำไม”
“อยากรู้น่ะ” โหยวเปิ่นเฉาเหลือบมองหยางไป่ชวน เมื่อเห็นว่าเขาดูราวกับจะพองขนใส่ตน ก็ทั้งตลกทั้งโกรธเคือง
“ฉันก็แค่ถามเฉยๆ”
เสียงในใจของหยางไป่ชวนบอกว่า นี่เป็นโอกาสดีที่จะแสดงว่าเขาชอบเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นมากแค่ไหน ยังไงก็ต้องทำให้เจ้าคนนี้รู้เสียทีว่าเพื่อนที่ดีไม่ควรยุ่งกับภรรยาของเพื่อน
ดังนั้นเขาจึงกระแอม แล้วใช้ทุกสิ่งที่เขาเคยเห็นและได้ยินสรรเสริญผู้หญิงคนนี้ เขายกย่องเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นมากจนไม่เหลืออะไรให้พูดอีก ในที่สุดเขาก็สรุปว่า “…ยังไงนายก็ห้ามชอบเธอ”
โหยวเปิ่นเฉาหมดคำพูด “ถ้าเธอดีขนาดนั้นอย่างที่นายว่าจริงๆ ฉันไม่ชอบเธอสิถึงจะแปลก”
“เอ่อ…ที่จริงเธอไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก” หยางไป่ชวนหยุดครู่หนึ่ง “อย่างเช่น เธอจะใจร้ายกับคนที่เธอไม่ชอบ”
หลังจากพูดจบประโยค เขาก็ยิ้มอย่างผิดหวังเล็กน้อย แล้วพูดต่อว่า “ดูเหมือนว่านี่จะเป็นปัญหาของฉันเอง”
“โอเค” จู่ๆ โหยวเปิ่นเฉาก็รู้สึกหงุดหงิดในใจ เขาเร่งฝีเท้าขึ้น ครู่เดียวก็แซงหน้าหยางไป่ชวนและเดินนำไปที่มุมระเบียงทางเดิน
หยางไป่ชวนผู้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างกะทันหันยังไม่ทันได้ตอบโต้อะไร แต่เมื่อโหยวเปิ่นเฉาเดินไปลมหนาวก็พัดมาปะทะใบหน้าทำให้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาเบะปากและเดินตามร่างสูงนั้นอย่างไม่เต็มใจ
แปลกคน
คนกลุ่มหนึ่งรออยู่ที่โถงทางเดินด้วยเนื้อตัวสั่นเทา หยางไป่ชวนรออยู่นานก็ยังไม่เห็นวี่แววของเจี่ยงเมิ่งอวิ๋น เขายกแขนกระทุ้งโหยวเปิ่นเฉาที่อยู่ด้านข้างอย่างแปลกใจ “ทำไมเมิ่งอวิ๋นถึงยังไม่มาล่ะ”
“ฉันจะรู้ได้ยังไง” โหยวเปิ่นเฉาตอบเสียงเข้ม
“เอาเถอะ” หยางไป่ชวนกระซิบตอบอย่างอับอาย
เขาสาบานว่าจะไม่คุยกับคนอื่นตามอำเภอใจอีก
หลังจากรอสักพัก เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นก็รีบวิ่งเข้ามา เธอไม่ได้ถืออะไรไว้ในมือ สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีนัก หยางไป่ชวนเข้าไปถาม “เมิ่งอวิ๋น ทำไมถึงเพิ่งมาล่ะ ไหนบอกว่าจะไปหยิบบทละครเหรอ”
“หยิบกะผีน่ะสิ” เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นสบถออกมาแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ
หยางไป่ชวนตะลึงกับความหยาบคายอย่างกะทันหันของเทพธิดา ระดับความตกใจไม่น้อยไปกว่าตอนที่ได้ยินโหยวเปิ่นเฉาถามตนเองว่าเป็นเพื่อนรักกันใช่ไหม เขากลืนน้ำลายแล้วถามอย่างระมัดระวัง “เป็นอะไรไปเหรอ”
หลังจากเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นหลุดพูดประโยคนั้นก็รู้สึกตัวว่าเสียมารยาทท เธอรีบเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วยิ้มให้หยางไป่ชวนอย่างอ่อนโยน “ฉันจะแนะนำนายให้รู้จักกับใครบางคน”
หยางไป่ชวนรู้สึกปลื้มปิติ “ใครเหรอ”
วินาทีถัดมาเขาก็ถูกกระแทกโดยคนที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน จากนั้นเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยและคำเรียกชื่ออันหวานเลี่ยนก็ดังขึ้น “ฉันเองแหละชวนชวน ต่อจากนี้ไปฉันจะเป็นฝ่ายเบื้องหลังให้ละครของพวกนายเอง”
“ไอ้เวรเจียงซาน ลงไปเลยนะ” หยางไป่ชวนพยายามดิ้นรนแต่ก็สะบัดตัวเจียงซานไม่หลุด ตัวเองกลับเวียนหัวตาลายแทน ไอ้เจียงซานนั่นยังคงเกาะหลังของเขา ขณะที่ทักทายคนอื่นไปทั่ว ไล่ยังไงก็ไม่ไป
จนเมื่อหยางไป่ชวนรู้สึกว่าเขากำลังจะถูกทับแบนนั่นแหละ เจียงซานถึงยอมลงจากหลังของเขา หยางไป่ชวนรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายลงในทันที เมื่อยืดตัวขึ้นก็เห็นโหยวเปิ่นเฉายืนประจันหน้าในระยะไม่ถึงสิบเซนติเมตร เขาตกใจมากจนต้องถอยกลับไปหนึ่งก้าว “อะไรเนี่ย”
โหยวเปิ่นเฉาไม่แม้แต่จะมองเขา และยื่นมือไปหาเจียงซานที่อยู่ด้านหลังหยางไป่ชวน “สวัสดี ฉันชื่อโหยวเปิ่นเฉา อยู่ห้อง 6”
“โอ้ เป็นทางการจัง” เจียงซานผิวปาก ไม่สนใจมือของโหยวเปิ่นเฉาที่ยื่นมา “ฉันชื่อเจียงซาน อยู่ห้อง 5 นั่งโต๊ะเดียวกับหยางไป่ชวน”
“เขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉัน” โหยวเปิ่นเฉาชำเลืองมองหยางไป่ชวน “ใช่มั้ย”
“เอ่อ…ใช่ ใช่สิ”
หยางไป่ชวนมองไปทางอื่นด้วยความรู้สึกผิดบางอย่าง โชคดีที่ทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการอ่านบทที่ได้รับ เลยไม่มีใครสนใจพวกเขา เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากนั้นก็พบสิ่งผิดปกติ เขาพูด “บทละครนี่ไปเอามาจากไหนกันน่ะ”
เจียงซานโบกกระดาษ A4 สีขาวปึกหนึ่งขึ้นมาแล้วพูด “อยู่ที่ฉัน ฉันเป็นคนดูแลงานเบื้องหลัง เบื้องหลังและแม่เลี้ยงฟังดูไม่ต่างกันมากใช่ไหม”
“ต่างกันสุดๆ เลยต่างหาก” หยางไป่ชวนตบหน้าเขาด้วยความโมโห
เจียงซานก้าวถอยหลัง และเห็นว่าโหยวเปิ่นเฉาอยู่ไกลออกไปเล็กน้อย เขาถอนหายใจและส่งบทละครให้หยางไป่ชวนพลางพูดว่า “ชวนชวน พ่อล่ะเป็นห่วงแกจริงๆ ”
ตอนหลังทุกคนก็พบสถานที่ที่อบอุ่นกว่าเพื่อทำความคุ้นเคยกับบทละคร หยางไป่ชวนดูบทคร่าวๆ แล้วพบว่าเนื้อเรื่องไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เนื้อเรื่องหลักยังคงเดิม อ่านจบแล้วค่อนข้างพอใจ ส่วนที่น่าเศร้าคือเขาจะต้องแสดงเป็นแม่เลี้ยงแทนที่จะเป็นเจ้าชาย
“ใครเป็นคนเขียนบทละครนี้เหรอ” หลังจากอ่านจบรวดเดียว หยางไป่ชวนคิดว่าเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นต้องเป็นคนเขียนแน่นอน เมื่ออ่านจบเขาแทบรอไม่ไหวที่จะถามและบอกเธอว่า “เขียนได้ดีมากเลย!”
เจี่ยงเมิ่งอวิ๋นสะบัดศีรษะอย่างมีความสุขเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และผมหางม้ายาวของเธอก็ฟาดหน้าหยางไป่ชวนอย่างจัง ปลายผมของหญิงสาวเปรียบได้กับอาวุธสังหาร หยางไป่ชวนรู้สึกว่าใบหน้าของเขาถูกตบอย่างแรง น้ำตาแทบร่วงเพราะความเจ็บปวด ทันทีที่เขายกมือขึ้นเพื่อปิดหน้า ก็ได้ยินเจี่ยงเมิ่งอวิ๋นพูดว่า “โหยวเปิ่นเฉา นายเขียนบทละครดีมากเลย”
เวร…ละ
คอมเมนต์