ตัดสินคนจากหน้าตาก็ต้องเจอแบบนี้ ตอนที่ 3

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 3

สำหรับคนที่ดูดวงเป็นจริงๆ นั้น การดูเรื่องในอดีตนับว่าไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยากก็คือเรื่องในอนาคต เพราะเรื่องในอดีตมันเกิดไปแล้วย่อมเป็นเรื่องแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง แต่เรื่องในอนาคตนั้นยังมีความเป็นไปได้และเหตุที่ทำให้เปลี่ยนแปลงได้อีกมากมาย หากวิชาไม่แก่กล้าพอก็อาจชี้นำผู้อื่นไปในทางที่ผิดได้
สำหรับเรื่องว่าคนอื่นจะเชื่อหรือไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดนั้น เขากลับไม่ใส่ใจเท่าไหร่ สิ่งที่พูดได้เขาก็พูดไปแล้ว คนอื่นจะเก็บเอาไปใส่ใจหรือเปล่าก็เป็นเรื่องของคนคนนั้น อย่างไรเสีย การค้าขายแลกเปลี่ยนกันทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีใครติดค้างใคร มีแต่นักต้มตุ๋นเท่านั้นที่จะกลัวคนอื่นไม่เชื่อตัวเองคนพวกนั้นปากหวานพูดเพราะ พูดแต่อะไรน่าฟังตั้งมากมาย แต่บทสรุปสุดท้ายก็มักจะทำให้คนอื่น “เสียทรัพย์สะเดาะเคราะห์” ทุกครั้งไป
“คุณคะ ขอโทษนะคะ ขอโทษจริง ๆ ลูกชายฉันไม่รู้เดียงสาเอาเสียเลย” แม่ของเด็กดึงลูกชายไปอยู่หลังตัวเอง ไม่ให้เขาพูดอะไร “คุณดูดวงให้เขาอีกหน่อยได้ไหมคะ พวกเรื่องในอนาคตอย่างการเรียน การทำงาน แล้วก็เรื่องแต่งงานอะไรอย่างนั้นน่ะค่ะ”
ฉีเยี่ยนยิ้มพลางส่ายหน้า “คุณผู้หญิงครับ ก่อนหน้านี้ผมก็บอกแล้วว่าเคราะห์ใหญ่สองอย่างในชีวิตลูกชายคุณได้ผ่านพ้นไปแล้ว ชีวิตต่อจากนี้จะไม่มีเคราะห์ภัยใหญ่โตใด ๆ อีกแล้วละครับ” เวลาอายุยังน้อยการประเมินตัวเองสูงไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตนัก เด็กคนนี้คิ้วตรงตาสวย ในใจมีคุณธรรม วันข้างหน้าเติบโตไปก็คงไม่เป็นคนเลวร้าย
แม่ของเด็กนั้นแม้ว่าจะยังมีเรื่องที่อยากรู้อีกมาก แต่พอได้ยินหมอดูหนุ่มบอกว่าวันข้างหน้าลูกตัวเองจะมีชีวิตที่ดีก็รู้สึกยินดีอยู่ในใจ เธอรีบล้วงธนบัตรร้อยหยวนห้าใบออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วถือขึ้นมาด้วยสองมือ “ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ”
ฉีเยี่ยนรับเงินนั้นมาแล้วก็เห็นเด็กหนุ่มยังเม้มปากแสดงท่าทีไม่พอใจอยู่ เขาจึงอดหัวเราะไม่ได้ เสียงหัวเราะนี้ทำให้ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ของเขาดูลึกลับขึ้นมาอีกหลายส่วน “คุณนายไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้หรอกครับ ลูกชายคุณ วันข้างหน้าต้องเป็นคนที่ไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอนครับ”
สีหน้าของเด็กหนุ่มดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ คล้ายกับเขาก็รู้สึกว่าเมื่อครู่ตัวเองเสียมารยาทไปพอควร ตอนที่สองแม่ลูกเตรียมจะจากไป เขาจึงเอ่ยออกมาเบา ๆ “ขอโทษด้วยนะครับ”
ฉีเยี่ยนหัวเราะเบา ๆ เขาเอาเงินเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ของตัวเอง “วัยรุ่นน่ะ ต้องมีความสงสัยอยู่ในใจสิถึงจะเป็นเรื่องปกติ”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย เขาก้มหน้าไม่พูดอะไร
“คุณนาย ถ้าไม่จำเป็นละก็ เดือนนี้อย่าให้คนในครอบครัวเดินทางไปทางใต้นะครับ” ฉีเยี่ยนเอาป้ายไม้ของตัวเองออกมา “ลาก่อนครับ”
“เอ๋” มารดาของเด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างอึ้ง ๆ รอจนฉีเยี่ยนเดินไปไกลแล้วจึงได้สติ ครั้งนี้เธอได้พบผู้มีวิชาอาคมเข้าจริง ๆ แล้วหรือ
ในฐานะที่เป็นเครือญาติตระกูลเฉิน ตั้งแต่เล็กจนโตเธอก็ไม่เคยเงินขาดมือ ห้าร้อยหยวนนั้นสำหรับเธอแล้ว มันเป็นแค่เงินเล็กน้อยจริง ๆ ปกติเวลาว่างไม่มีอะไรทำ เธอก็ชอบอ่านบทความเกี่ยวกับตำนานภูตผีปีศาจตอนนี้แม้ว่าเธอจะล่วงเลยเข้าสู่วัยกลางคน งานอดิเรกนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนไปเมื่อครู่ตอนที่เดินผ่านตรงนี้ เธอเห็นพ่อหนุ่มคนนี้ถือป้ายไม้เอาไว้ ที่ป้ายไม้เขียนเอาไว้ว่าทำนายแม่นมั่นอะไรสักอย่าง ภูตผีเทวดาก็พลันดลใจให้เธอคิดอยากจะให้พ่อหนุ่มดูดวงให้ลูกชายขึ้นมา
เมื่อนึกถึงคำที่พ่อหนุ่มคนนี้พูด เธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรศัพท์หาสามี เธอได้ยินว่าสามีจะไปทำงานทางใต้สองวัน ในใจจึงร้อนรุ่มไม่ค่อยสงบ ดังนั้นจึงโกหกไปเล็กน้อยเพื่อให้เขาอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน
คนในสายตระกูลอย่างพวกเขาแม้ว่าจะมีหน้าที่อยู่ในบริษัทแม่ แต่ก็มีงานบ้างไม่มีงานบ้าง ดังนั้นสามีของเธอจะไปทำงานต่างจังหวัดหรือไม่ไปก็ไม่มีผลกระทบอะไรต่อการจัดการของบริษัทอยู่แล้ว
ไม่ต้องสนใจก็ได้ว่าพ่อหนุ่มจะดูดวงแม่นหรือไม่แม่น อย่างไรเสียระวังเอาไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย!
“พี่หัง มีอะไรเหรอ” ฉีเยี่ยนโทร.กลับไปหาหวังหัง เขาซื้อเครื่องดื่มเย็นเจี๊ยบที่ร้านข้าง ๆ เสียงตื่นเต้นของหวังหังดังออกมาจากโทรศัพท์
“เฉียนเฉียน นายนี่สุดยอด นายสุดยอดจริง ๆ พี่ชายขอคุกเข่าถวายเลย!”
“เข่านาย ฉันจะเอาไปทำอะไรได้ นายเอาคืนไปเถอะ” ฉีเยี่ยนเดินไปถึงปากซอย เขาเห็นไฟแดงยังเหลืออีกสิบกว่าวินาทีจึงยืนรออยู่ที่เดิม
ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวอย่างรวดเร็ว เขามองรอบ ๆ แล้วจึงเดินไปข้างหน้าอย่างวางใจ ขณะเดินไปถึงกึ่งกลางถนนที่มีเลนสวนก็เห็นรถสีดำคันหนึ่งเปิดไฟเลี้ยวซ้ายพุ่งมาจากทางขวา จากนั้นจึงขับห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉีเยี่ยนโดนควันรถพ่นใส่เต็มหน้าจึงเช็ดหน้า ถนนเส้นนี้แม้จะอนุญาตให้เลี้ยวซ้าย แต่ด้วยความเร็วระดับนี้ก็ไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนเดินถนนเท่าไหร่
“เฉียนเฉียน นอกจากนายจะดูดวงได้แล้ว ยังทำอย่างอื่นได้อีกมั้ย” หวังหังเดินวนอยู่ในห้องอย่างตื่นเต้น “อย่างเช่น ไล่ผี ไล่ปีศาจ ขอพรเทพยดาฟ้าดิน อะไรแบบนั้นน่ะ”
ฉีเยี่ยน : …
“อ่านนิยายให้มันน้อย ๆ หน่อย แล้วก็อ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ให้มาก ๆ” ฉีเยี่ยนถอนหายใจอย่างปลง ๆ “ความเชื่องมงายสมัยขุนนางศักดินาไม่ต้องเอามาเลย”
“คนทรงเจ้าอย่างนายมาสอนไม่ให้ฉันเชื่ออะไรงมงายเรอะ!” หวังหังพูดไม่ออก “งั้นนายทำอะไรได้บ้างล่ะ”
“ก็แค่ดูดวง ดูฮวงจุ้ย” ฉีเยี่ยนหรี่ตามองเบื้องหน้า “อย่างอื่นไม่ต้องคิดเยอะ”
“ดูฮวงจุ้ยเป็นก็ยังดี” หวังหังเอ่ยอย่างยินดี “พรุ่งนี้นายมาเป็นแขกบ้านฉัน ดูฮวงจุ้ยบ้านฉันให้หน่อยแล้วกัน”
“ได้” ฉีเยี่ยนรับปากหวังหังแล้วก็วางสาย จากนั้นเขาก็เตรียมตัวกลับบ้าน
บ้านของฉีเยี่ยนอยู่บนถนนอู๋ถง ทำเลดีมาก พื้นที่ไม่นับว่าใหญ่โตแต่ก็มีการปลูกต้นไม้สร้างพื้นที่สีเขียวเป็นอย่างดี การจัดการองค์ประกอบต่าง ๆ ในพื้นที่ก็สมเหตุสมผล หากจะซื้อบ้านสักหลังที่นี่คงต้องใช้เงินมากกว่าหลายล้านหยวน
ก็ไม่รู้ว่าตาแก่ไปหาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน
เมื่อไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตเขาก็ซื้อกระดูกชิ้นใหญ่สองชิ้น สาหร่ายทะเลหนึ่งห่อ จากนั้นก็กลับบ้านมาต้ม
ฉีเยี่ยนหรี่ไฟลงแล้วก็กลับเข้าห้องหนังสือ เขาเปิดคอมพิวเตอร์แล้วเริ่มเลื่อนผ่านกระทู้ไร้สาระต่าง ๆ พอเห็นเจ้าของกระทู้เหล่านั้นพล่ามอะไรมั่วซั่วอย่างจริงจังก็รู้สึกว่าสนุกดี
เขาเปิดดูสองสามกระทู้กระทั่งไปเจอกระทู้หนึ่ง เจ้าของกระทู้เขียนว่าพื้นที่เล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่เขาเพิ่งย้ายเข้าไปใหม่เพียงสองเดือนเกิดเหตุคนฆ่าตัวตายรวมถึงเหตุเสียชีวิตกะทันหันไปหลายรายแล้ว ฉีเยี่ยนขมวดคิ้ว
แต่ว่าตอนที่เขากดรีเฟรชอีกครั้ง กระทู้ก็ถูกลบไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ อย่างไรเสีย ตอนนี้ข่าวในอินเทอร์เน็ตก็ยากจะตัดสินจริงเท็จอยู่แล้ว บางคนต้องการตามหาความรู้สึกว่าตัวเองมีตัวตนจนถึงขั้นจงใจกุเรื่องโกหกขึ้นโดยไม่นึกถึงผลที่ตามมาเลยแม้แต่น้อยก็มี
ซุปกระดูกต้มจนได้ที่ดีแล้ว ฉีเยี่ยนก็ตักแบ่งออกมาใส่ชามเพื่อนำไปไหว้หน้ารูปของอาจารย์ จากนั้นก็ยกชามนั้นกลับมาไว้บนโต๊ะเพื่อกินเองอย่างไรเสีย ตาแก่ก็กลายเป็นเทพเซียนไปแล้ว ของธรรมดาพรรค์นี้อาจารย์คงกินไม่ได้หรอก สู้เอามาให้เขาช่วยกินเสียดีกว่าจะได้ไม่เสียของเปล่าด้วย
เมื่อกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว ฉีเยี่ยนก็หยิบคัมภีร์เต๋าที่อาจารย์ทิ้งเอาไว้ให้เขาออกมาอ่านบทหนึ่ง
คัมภีร์เต๋าแบ่งเป็นบทต่าง ๆ มากเกินกว่าจะนับ ตอนนี้สิ่งที่เขาเรียนก็เป็นศิลปะเต๋าแขนงหนึ่ง แต่อาจารย์เต๋าที่มีฝีมือจริง ๆ นั้นในยุคหลังมานี้ยึดคติอยากเชื่อก็เชื่อไป อาจารย์เต๋าออกแนวสบาย ๆ คร้านจะมาพูดมากความแล้ว และปัจจุบันสำนักเต๋าก็อยู่ในช่วงขาลงไปเรื่อย ๆ คนธรรมดาทั่วไปพอนึกถึงอาจารย์เต๋า ในสมองก็จะนึกถึงแต่พวกต้มตุ๋นหลอกลวง
ที่จริงการศึกษาลัทธิเต๋าก็มีสิ่งล้ำค่ารวมอยู่ด้วย เพียงแต่เสียดายที่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป การใช้ชีวิตก็ต้องรวดเร็วยิ่งขึ้น สังคมก็แข่งขันกันอย่างดุเดือด หลายคนต้องเหนื่อยยากลำบากทุก ๆ วันเพื่อการดำรงชีวิตไหนเลยจะยังมีกะจิตกะใจไปศึกษาลัทธิเต๋าซึ่งไม่ค่อยเกี่ยวพันกับชีวิตของพวกเขาสักเท่าไหร่
เช้าวันต่อมา ฉีเยี่ยนยังไม่ทันกินข้าวเช้า ประตูบ้านก็มีเสียงเคาะอย่างดังด้วยมือหวังหังแล้ว
“เฉียนเฉียน กินข้าวเช้าอยู่เหรอ” หวังหังเข้าบ้านมาก็มองข้าวเช้าที่ยังไม่ทันได้แตะต้องบนโต๊ะอาหาร เขาเอาข้าวเช้าที่ซื้อมาให้ฉีเยี่ยนวางลงบนโต๊ะแล้วก็ยกชามโจ๊กร้อน ๆ ของฉีเยี่ยนมาไว้ในมือตัวเองอย่างหน้าด้าน ๆ แถมยังกินเข้าไปคำหนึ่งอย่างอดรนทนไม่ไหว “ฝีมือการทำโจ๊กของนายเนี่ยไม่มีใครเทียบได้จริง ๆ ฉันว่าถ้านายไปเปิดร้านขายโจ๊กต้องขายดีแหง ๆ”
ฉีเยี่ยนตวัดสายตามองหวังหังอย่างนึกหมั่นไส้ เขาเปิดอาหารเช้าที่หวังหังซื้อมาให้แล้วก็กินบ้าง “ทำไมนายมาเช้าขนาดนี้ล่ะ”
“ก็นายไม่เคยไปบ้านฉัน ฉันกลัวนายหลงทาง ก็เลยมารับนายโดยเฉพาะเลยไงล่ะ” หวังหังก้มหน้ากินโจ๊กไม่เงยหน้าขึ้นมาแม้แต่น้อย “ซาบซึ้งบ้างหรือเปล่าล่ะ”
“อือ” ฉีเยี่ยนซาบซึ้งเสียงเรียบสุด ๆ
ทั้งสองรับประทานอาหารเช้า ฉีเยี่ยนเปลี่ยนเสื้อตัวนอกแล้วก็ตามหวังหังลงตึกไป
หวังหังมารับเขาแล้วยังขับรถมาเป็นพิเศษด้วย รถคันนี้ดีกว่ารถทั่ว ๆ ไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่รถยี่ห้อหรูหราอะไร เห็นได้ชัดว่าคุณพ่อคุณแม่หวังไม่อยากเลี้ยงลูกชายให้โตมาเป็นคนที่ไม่รู้จักความยากลำบาก
“เฉียนเฉียน เดี๋ยวถ้าบ้านฉันจัดวางของอะไรไม่ถูกต้องก็บอกตรง ๆ ได้เลยนะ ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก” หวังหังจอดรถไว้ในโรงจอดรถแล้วก็พาฉีเยี่ยนลงจากรถ “คนที่บ้านฉันรู้ว่าฉันจะพาเพื่อนที่มหา’ ลัยมาบ้านทุกคนดีใจกันใหญ่เลย”
ฉีเยี่ยนหัวเราะ เขาถือผลไม้ตะกร้าใหญ่เดินตามหวังหังเข้าประตูใหญ่บ้านหวัง จากนั้นจึงได้พิสูจน์ความจริงว่าสิ่งที่หวังหังพูดนั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย คนตระกูลหวังทุกคนดูยินดีต้อนรับเขาเป็นอย่างยิ่ง ต้อนรับกันอย่างกระตือรือร้นจนเขาแทบรับไม่ไหว
เขามองถาดผลไม้ที่วางกองจนแทบจะหล่นลงมา ฉีเยี่ยนรีบเอาผลไม้สองชิ้นที่อยู่ด้านบนอย่างหมิ่นเหม่จนเกือบหล่นนั้นยัดเข้าปากตัวเอง
คุณพ่อคุณแม่หวังไม่ได้เป็นฝ่ายเอ่ยปากเรื่องดูฮวงจุ้ยออกมาเลยแม้แต่น้อย บางทีในใจของพวกท่านนี่อาจเป็นเพียงแค่คนหนุ่มสองคนมาเที่ยวบ้านกันเท่านั้น พวกท่านไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังเลยแม้แต่น้อย
“หังหังไปเดินดูบ้านเป็นเพื่อนเพื่อนหน่อยสิลูก” คุณแม่หวังยิ้มอบอุ่นขณะหันมาเอ่ยกับฉีเยี่ยน “ลูกก็ไม่ต้องเกรงใจนะ คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านตัวเองก็ได้” เธอได้ยินลูกชายพูดถึงเพื่อนคนนี้นานแล้วว่าเด็กคนนี้ไม่มีพ่อแม่แต่เล็กจึงได้รับการเลี้ยงดูจากอาจารย์เต๋ามาจนโต เห็นได้ชัดว่าคงจะลำบากมาแต่เล็กแต่น้อย
ตอนนี้เห็นเด็กหนุ่มเติบโตมาหน้าตาน่าเอ็นดู ทั้งยังเข้ากับลูกชายเธอได้ดี ในใจก็เกิดความรู้สึกดีต่อเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
ช่วยไม่ได้ ก็หน้าตาของฉีเยี่ยนมันช่างกระตุ้นความรู้สึกเอ็นดูแบบพ่อแม่ของพวกผู้ใหญ่ได้ง่ายจริง ๆ นี่นะ
“เฉียนเฉียน นายไปดูรอบ ๆ กับฉันหน่อย” หวังหังยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น เขามองฉีเยี่ยนด้วยสายตาคาดหวังอย่างเต็มที่ “เราจะขึ้นไปดูจากชั้นบนก่อนหรือว่าดูชั้นล่างก่อนดี”
“ไปดูจากข้างนอกก่อน” ฉีเยี่ยนยิ้มอย่างสุภาพให้คุณแม่หวังแล้วจึงยืนขึ้นมองออกไปนอกประตูใหญ่ ของต่าง ๆ ในบ้านจะวางเอาไว้ดีเพียงใดก็ตาม หากตั้งตำแหน่งตัวบ้านไม่ถูกต้องหรือประตูหน้าผิดทิศทางไป ทุกอย่างก็จะเสียเปล่า
เมืองตี้ตูยังคงเป็นเมืองที่รวมมังกรเอาไว้ อุดมไปด้วยกลิ่นอายมนุษย์ ถ้าพูดกันจากภาพรวมก็ถือว่าเป็นสถานที่ที่ไม่เลว เขตที่อยู่อาศัยที่หวังหังอาศัยอยู่นั้น ตอนที่ก่อสร้างคงจะเชิญผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาดูแล้วดังนั้นจึงนับว่าเป็นทำเลรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง คงจะไม่ประสบปัญหาทั่ว ๆ ไปอย่างหันบ้านผิดทิศหรอก
เมื่อเดินออกมาจากประตูใหญ่ของบ้านเดี่ยวตระกูลหวัง สองข้างประตูเป็นสนามหญ้ากับต้นไม้สีเขียวเรียบง่าย ไม่ได้ทำเป็นภูเขาจำลองหรือว่าน้ำพุอะไร ดูกว้างขวางสบาย ๆ นี่ก็เหมือนกับสิ่งที่เขารู้สึกได้จากคนตระกูลหวัง รูปร่างของประตูใหญ่ดูเรียบง่ายกว้างขวาง มีลวดลายง่าย ๆ ไม่ได้ทำเป็นรูปร่างโค้งนูนขรุขระ และก็ไม่ได้ทำรูปหัวสิงโตหัวเสือตกแต่งอะไรด้วย
“เฉียนเฉียน ประตูบ้านฉันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
ฉีเยี่ยนส่ายหน้า “หัวใจกว้างขวาง เป็นบ้านมีบุญ ไม่มีปัญหา”
“งั้นพวกเราไปดูข้างในกันมั้ย” หวังหังกุลีกุจอนำทางให้ฉีเยี่ยนต้องให้ฉีเยี่ยนดูทั้งข้างในข้างนอกบ้านสักรอบ เขาถึงจะวางใจได้
ทว่าดูบ้านไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง คุณพ่อหวังก็รับโทรศัพท์สายหนึ่งแล้วก็บอกว่าจะต้องพาหวังหังออกไปข้างนอก
พอเห็นคุณพ่อหวังมีสีหน้าเคร่งเครียดพอควร ฉีเยี่ยนก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก เขาจึงออกปากขอลากลับก่อน
หวังหังไปส่งฉีเยี่ยนขึ้นรถอย่างไม่ค่อยสบายใจ เขาพูดกับฉีเยี่ยนเสียงเบาว่า “ได้ยินว่ามีคนใหญ่คนโตเข้าโรงพยาบาล คนตี้ตูสนอกสนใจกันใหญ่เลย”
สำหรับสถานะของคนบ้านเขาก็ไม่รู้ว่าจะสู้หน้าคนอื่นได้หรือเปล่า

คอมเมนต์

Chapter List