ตัดสินคนจากหน้าตาก็ต้องเจอแบบนี้ ตอนที่ 4

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 4

บนทางเดินนอกเขต แขกวีไอพีของโรงพยาบาลมีคนอยู่ไม่น้อย หญิงชายเหล่านี้แต่งตัวอย่างพิถีพิถันตั้งแต่หัวจรดเท้า ชายหนุ่มที่ชอบความหรูหราไม่ได้ประโคมของแบรนด์เนมลงไปบนตัว หญิงสาวที่ชื่นชอบความสวยงามก็ไม่ได้สวมใส่เครื่องประดับมากมาย แม้แต่เรื่องการแต่งหน้าก็ยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่แต่งหน้า
คนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตรงทางเดิน แต่มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าพูดคุยเสียงดังคล้ายพวกเขากลัวจะส่งเสียงดังรบกวนคนที่อยู่ในห้องผู้ป่วย
“พ่อ พวกเรายืนอยู่ข้างนอกครึ่งชั่วโมงแล้ว ตกลงเมื่อไหร่จะได้เข้าไปล่ะ” เด็กหนุ่มใบหน้าซูบตอบ ทำไฮไลต์ที่ผมเป็นสีอื่นสองสามหย่อมเอ่ยถามขึ้นอย่างทนไม่ไหว ผลคือถูกพ่อของเขาจ้องเขม็ง “อย่าไปรบกวนการพักผ่อนของท่านห้าเฉิน”
เมื่อถูกพ่อดุต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ เด็กหนุ่มก็หน้าเสียอยู่หน่อย ๆ ทว่าเมื่อประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออกกะทันหัน เด็กหนุ่มก็เอาแต่ก้มหน้าและถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
คนที่ออกมาจากห้องพักผู้ป่วยเป็นชายหนุ่มอายุราวสามสิบปี หน้าตาของเขาธรรมดา ดูเป็นคนอบอุ่น แต่กลุ่มคน ณ ที่นั้นไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าดูถูกเขา เพราะคนคนนี้ยังคงเป็นผู้ช่วยที่เฉินไป่เฮ่อไว้ใจมากที่สุดคนทั่วไปนับหน้าถือตาเขากันทั้งนั้น
“ต้องขอโทษอย่างสูงจริง ๆ ครับที่ทำให้ทุกคนรอนาน” เหลียงเฟิงเอ่ยขอโทษพลางยิ้มให้กับทุกคน “เพียงแต่ว่าแพทย์สั่งมาเป็นพิเศษให้คุณเฉินพักผ่อนน่ะครับ ความปรารถนาดีของทุกท่าน ผมจะส่งต่อไปยังคุณเฉินอย่างแน่นอน หวังว่าทุกท่านจะกลับไปพักผ่อนกันเร็วหน่อยนะครับ”
“เรื่องสุขภาพสำคัญที่สุดสำหรับทุกเรื่อง สุขภาพสำคัญที่สุด” ชายวัยกลางคนที่อยู่หน้าสุดรีบยิ้มพลางเอ่ย “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ พวกเราก็คงไม่รบกวนการพักผ่อนของคุณเฉินแล้ว รอให้คุณเฉินฟื้นฟูสุขภาพจนหายดีแล้ว พวกเราค่อยมาเยี่ยมใหม่”
“ขอบคุณทุกท่านมากครับ วันนี้ต้องขอโทษทุกท่านจริง ๆ” เหลียงเฟิงค้อมตัวเล็กน้อยให้ทุกคน คนที่อยู่ตรงหน้าเขาสองสามคนทยอยเบี่ยงตัวหลบ
ใบหน้าของเหลียงเฟิงยิ่งดูอบอุ่นขึ้นอีก เขาหันกายไปสั่งให้บอดี้การ์ดสองคนส่งคนเหล่านี้ลงจากอาคารด้วยท่าทางสุภาพ
คนเหล่านี้รีบรุดมาแล้วยืนอออยู่นอกห้องพักผู้ป่วยอยู่ครึ่งค่อนวันแม้แต่เงาของเฉินไป่เฮ่อก็ยังไม่ได้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว แต่กระทั่งบอดี้การ์ดส่งพวกเขาออกนอกประตูโรงพยาบาลไปแล้ว พวกเขาก็ยังไม่กล้าออกความเห็นแม้แต่ครึ่งคำ จนบอดี้การ์ดสองคนหันกายเดินกลับไป พวกเขาจึงค่อยถอนหายใจเบา ๆ อยู่ในใจ
คนทั้งตี้ตูรู้ดีว่าท่านห้าแห่งตระกูลเฉินเป็นลูกหลงของผู้อาวุโสเฉินลำดับชั้นญาติเท่ากับคนอายุห้าสิบหกสิบปีในเมืองตี้ตู แต่อายุน้อยกว่าประมาณสองสามรอบ และก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเป็นลูกหลงด้วยหรือเปล่าท่านห้าเฉินจึงมีสุขภาพไม่ค่อยดี ปกติไม่ค่อยได้โผล่หน้าออกมาให้คนทั้งหลายเห็นง่ายนัก แต่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าดูถูกความสามารถของเขา
จำได้ว่าหลายปีก่อนมีลูกเศรษฐีข้ามคืนที่มาจากต่างเมืองคนหนึ่งมาดื่มเหล้าเมาแล้วก็เริ่มพล่ามต่าง ๆ นานา เขาไปพูดจาล้อเล่นเหลวไหลต่อหน้าคนหลายต่อหลายคนสองสามประโยค จากนั้นมาก็ไม่เห็นคนคนนั้นในเมืองตี้ตูอีก
ใคร ๆ ก็รู้ว่าท่านห้านี้มีความคิดลึกซึ้ง ฝีมือเก่งกาจโหดเหี้ยม ทั้งยังเป็นบุคคลที่ไปตีสนิทด้วยไม่ได้ง่าย ๆ
ทุกคนก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเยี่ยมเขาหรอก อย่างไรเสีย การแสดงท่าทีว่าต้องการไปเยี่ยมก็พอแล้ว ถึงจะประจบประแจงไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยก็ถือว่าไม่ได้ทำผิดบาปอะไร
“ไป่ ๆ เฮ่อ ๆ อะไรนี่ [1] ต่อให้ตั้งชื่อมาดีแค่ไหน ยังไงก็เป็นแค่ชะตาสั้น ๆ ชะตาหนึ่งนั่นแหละ” เด็กหนุ่มคนที่ถูกพ่อดุเมื่อครู่พอเข้าไปนั่งในรถได้ก็ด่าทอ “อวดเบ่งอะไรอยู่ได้”
“ก็คนเขามีให้อวดน่ะสิลูก” คนพ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นิสัยอย่างลูกเนี่ย ช้าเร็วต้องเสียเปรียบเขาแน่”
เด็กหนุ่มแค่นเสียงเฮอะ ไม่ได้ตอบคำ
รถที่สองพ่อลูกนั่ง แล่นห่างออกไปสักระยะหนึ่งจู่ ๆ เครื่องก็ดับหลังจากคนขับรถลงมาตรวจเช็กอยู่นานก็ยังหาสาเหตุไม่พบ จึงได้แต่รอให้คนของบริษัทลากรถมาลากรถไป
“เรื่อง xxx หมาจริง ๆ เลย!” เด็กหนุ่มลงจากรถแล้วเหวี่ยงประตูปิดเขาอดไม่ได้จึงพ่นคำด่าที่เจอในอินเทอร์เน็ตออกมา
“หยางเทา!” คนพ่อได้ยินประโยคนั้นก็อดรนทนไม่ไหว ตีหน้าเข้มใส่ลูกชาย “ใครสอนให้ลูกพูดคำต่ำช้าแบบนี้!”
นี่มันบ้าบออะไรกัน เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ก็ไม่รู้คิดยังไง แม้แต่สุนัขก็ไม่ละเว้น!
หยางเทาเห็นสีหน้าโกรธของพ่อตัวเองก็เงียบใบ้ไปชั่วขณะ เขาควรจะอธิบายอย่างไรดี นี่มันก็แค่สแลงประโยคเดียวเท่านั้นเอง เขาไม่ได้มีรสนิยมกับสุนัขในเชิงนั้นจริง ๆ สแลงต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตมันช่างเป็นการฝังกันทั้งเป็นชัด ๆ คราวหลังเขาต้องระวังแล้วระวังอีกเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นสักวันพ่อคงตีเขาขาขาดแน่
“ช่าย ช่าย รู้ได้ไงเนี่ย ดูดวงแม่นเกินไปแล้ว!”
“งั้นเธอดูดวงให้ฉันหน่อยได้ไหมล่ะ เมื่อไหร่ฉันจะเจอคนที่ใช่เสียที”
“จริงเหรอ ดีเลย”
หยางเทาเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย เขามองตามเสียงไปก็เห็นหญิงสาวสองคนยืนอยู่เบื้องหน้าเด็กหนุ่มคนหนึ่ง พวกเธอยิ้มอย่างตื่นเต้นแล้วก็ถามไถ่เรื่องเกี่ยวกับการงานและความรัก
นี่พวกเขากำลัง…ดูดวงอยู่เหรอ
เขามองเด็กหนุ่มที่กำลังดูดวงให้คนอื่นอีกครั้ง ดูท่าทางแล้วอย่างมากก็อายุไม่เกินยี่สิบ ใบหน้ายังมีร่องรอยของเบบี้แฟตแบบไม่ค่อยชัดเท่าไหร่อยู่ด้วย แต่ก็เป็นหน้าตาแบบที่ทำให้พวกผู้หญิงรู้สึกเอ็นดูเหมือนแม่ได้อย่างง่ายดาย นี่กำลังดูดวงหรือกำลังเอาอกเอาใจพวกผู้หญิงกันแน่เนี่ย
“ลูกรอบริษัทลากรถอยู่ตรงนี้นะ พ่อจะกลับบริษัทก่อน” คุณพ่อหยางเห็นลูกชายดื้อรั้นสุด ๆ เช่นนั้นก็ทำเป็นมองไม่เห็นแล้วไม่เก็บเอามาใส่ใจ เขาโบกรถแท็กซี่จากไปทันที ไม่แม้แต่จะมองลูกชายซ้ำสองด้วยซ้ำ
นี่แหละพ่อตัวจริง
หยางเทามองคนขับรถที่ยังตรวจเช็กสภาพรถอย่างไม่ยอมถอดใจแล้วก็ย่อตัวลงนั่งที่หัวมุมถนนอย่างเบื่อหน่ายเสียเลย เขาแอบเหล่มองฉากการดูดวงที่อยู่ไม่ห่างออกไปมากนัก เรียกว่าไม่รักษาภาพลักษณ์สักนิด
“อาจารย์ดูดวงแม่นจังเลย ตอนนี้ฉันมีแฟนที่กำลังคบกันอยู่คนหนึ่งจริง ๆ งั้นคุณคิดว่าเขา…เขาเหมาะจะเป็นสามีของฉันไหมคะ” หญิงสาวที่เอ่ยถามนั้น ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย คล้ายรู้สึกว่าคำถามที่ตนถามออกไปนั้นออกจะไม่เหมาะสมอยู่สักหน่อย เห็นได้ชัดว่านิสัยของเธอค่อนข้างขี้อายและแนวคิดของเธอก็หัวโบราณสุด ๆ เพื่อนข้าง ๆ เธอถามไปหลายคำถาม แต่เธอกลับเอ่ยปากแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
ฉีเยี่ยนมองออกว่าหญิงสาวผู้นี้กำลังมีเรื่องรักคุด แต่ก่อนจะได้เห็นหน้าค่าตาอีกฝ่าย เขาจะยังตัดสินผลของมันไม่ได้ง่าย ๆ “คุณมีรูปของเขามั้ยครับ”
หญิงสาวเอาโทรศัพท์มือถือออกมาให้เขาดูรูปที่ผ่านการปรับแต่งโดยโฟโต้ช็อปแล้ว
“มีรูปที่ธรรมชาติกว่านี้มั้ยครับ” เมื่อต้องพบกับศิลปะการเสริมความงามสามประการแห่งเอเชียอย่างเทคนิคโฟโต้ช็อปเข้าไป ฉีเยี่ยนก็รู้สึกว่า ต่อให้ตัวเองมีเทพอยู่ในตัวจริง ๆ ก็ยังไม่อาจใช้รูปภาพประเภทนี้มามองเห็นไปถึงอนาคตอะไรได้
ตัวหญิงสาวเองก็รู้สึกเกรงใจพอควร เธอหารูปในโทรศัพท์ไป ๆ มา ๆ จนในที่สุดก็เจอรูปที่ไม่ผ่านการปรับแต่ง สองรูปนี้เทียบกันแล้วไม่เหมือนคนคนเดียวกันเลยจริง ๆ
เมื่อเห็นรูปจริง ๆ ของชายหนุ่มครั้งแรก ฉีเยี่ยนก็รู้ทันทีว่าคนคนนี้น่ะเรื่องอื่น ๆ ก็ดีอยู่หรอก แต่กลับเป็นคนที่มีนิสัยเจ้าชู้ อย่างน้อยก็ต้องรอให้พ้นวัยกลางคนไปแล้วถึงจะหยุดหัวใจให้มั่นคงกับใครสักคนได้
สำหรับหญิงสาวคนนี้ ผู้ชายคนนี้ยังไม่ใช่คู่ที่ดี แต่ที่สำคัญกว่าก็คือถ้าดูจากโหงวเฮ้งของทั้งสองคนแล้ว พวกเขาไม่มีชะตาให้ตบแต่งกันเลยแม้แต่เยื่อใยรักใคร่เชิงชู้สาวกันก็ไม่มี ดูเหมือนคนที่มีชะตาผูกพันกันทางสายเลือดมากกว่า
ฉีเยี่ยนมองหญิงสาวผู้สุภาพเรียบร้อยแล้วก็เงียบไปสองวินาทีจึงเอ่ย “ในเมื่อคุณไม่เชื่อในโชคชะตาจะมาดูดวงไปเพื่ออะไร หากผมดูไม่ผิดคนคนนี้คงไม่ใช่แฟนของคุณ แต่เป็นญาติของคุณมากกว่า”
“หือ” หญิงสาวนิ่งงัน เธอดึงโทรศัพท์มือถือกลับมาดูจึงพบว่าตัวเองไม่ทันระวัง สไลด์รูปมากไปหน่อย ทำให้รูปแฟนหนุ่มผ่านไปแล้ว รูปที่อาจารย์ได้เห็นเป็นรูปลูกพี่ลูกน้องของเธอ
เธอขอโทษซ้ำ ๆ พลางรู้สึกทึ่งอยู่ในใจ เขานี่เป็นผู้มีวิชาอาคมที่เก่งกาจคนหนึ่งจริง ๆ เพียงแต่ดูรูปลักษณ์ก็มองออกมากมายขนาดนี้นี่มันเหลือเชื่อมาก ๆ
หยางเทาก็ไม่คิดว่าตนจะได้ชมละครดี ๆ แบบนี้ เขาอยู่ใกล้ ๆ นานสิบกว่านาที รอจนหญิงสาวสองคนนั้นพอใจแล้วเดินจากไป จึงลุกขึ้นเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าหมอดูหนุ่ม
ฉีเยี่ยนกำลังเตรียมเก็บของกลับบ้านแล้วจึงเห็นว่าจู่ ๆ เบื้องหน้าของตนก็มีคนมายืนอยู่คนหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเด็กหนุ่มแต่งตัวดียืนอยู่ เพียงแต่นิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมากับชุดสุภาพเรียบร้อยบนตัวของเด็กหนุ่มคนนี้มันดูไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่
“คุณดูดวงได้เหรอ” หยางเทาเห็นป้ายเก่าคร่ำคร่าในมือของฉีเยี่ยนก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้มีวิชาอาคมคนนี้นี่ช่าง…ไม่เหมือนคนทั่วไปเลย เรื่องที่หน้าตาอ่อนโยนเนี่ยช่างเถอะ แต่ขนาดป้ายยังทำออกมาดูต่ำต้อยไม่สะดุดตาเอาเสียเลย
“ขอโทษด้วยครับ เดือนนี้สามดวงดูครบไปแล้ว ถ้าหากคุณต้องการเดือนหน้ามาเร็วหน่อยนะครับ” ฉีเยี่ยนพูดแล้วก็จะเอาป้ายยัดใส่กระเป๋ากางเกง ท่าทางเหมือนไม่ได้ทำอาชีพเพื่อหาเงิน
หยางเทาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบเช่นนี้ จึงนิ่งอึ้งไปสองสามวินาทีจากนั้นจึงชี้ไปที่ป้ายแล้วว่า “อาจารย์ อาจารย์ดูที่ป้ายของอาจารย์สิ เขียนว่าชะตาต้องกันทำนายได้ไม่ใช่เหรอ ผมว่าพวกเรามีชะตาต้องกันมากเลยนะคุณดูสิ รถผมมาจอดเสียอยู่ที่ถนนใกล้ ๆ คุณพอดี คุณว่าถ้านี่ไม่ใช่การมีชะตาต้องกันแล้ว มันจะเป็นอะไรได้ล่ะ”
ฉีเยี่ยนหันไปมองรถหรูที่จอดอยู่ไม่ไกลจึงรู้ว่าคนคนนี้เป็นคนมีเงิน “คุณเป็นคนมีเงิน ไม่ต้องดูดวงก็ดวงดี”
“อาจารย์เป็นผู้มีวิชาอาคมจริง ๆ มองปราดเดียวก็รู้ว่าบ้านผมมีเงิน” หยางเทายิ่งสนใจอยากดูดวงมากขึ้นไปอีก
ฉีเยี่ยน : สมองของเจ้าหนุ่มนี่มีปัญหารึเปล่าเนี่ย
ที่บ้านขับรถหรูก็ต้องเป็นคนมีเงินอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ต้องดูไปถึงดวงชะตากันด้วยหรือ
หยางเทาเห็นฉีเยี่ยนดูไม่สะทกสะท้านเพราะคำพูดเมื่อครู่ก็มั่นใจว่าฉีเยี่ยนต้องเป็นอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมที่มีของจริง ๆ อย่างแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ยอมปล่อยฉีเยี่ยนไป “อาจารย์ ดูดวงให้ผมหน่อยเถอะเรื่องราคาน่ะตกลงกันได้!”
ผู้มีวิชาอาคมยากหาพบ จ่ายเงินสักหน่อยไม่นับเป็นอะไร
เด็กอะไรโง่เง่าขนาดนี้ เชื่อคนง่ายขนาดนี้ ตั้งแต่เล็กจนโตนี่ถูกคนหลอกไปกี่ครั้งแล้ว ในใจของฉีเยี่ยนเกิดความเห็นใจหยางเทาขึ้นมาเล็กน้อย
แต่การเกิดใหม่นั้นเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความรู้เฉพาะทาง คนคนนี้แม้จะโง่เง่าไปสักหน่อย แต่สภาวะดวงไม่ต่างจากหวังหังเท่าใดนัก นับว่าเป็นคนที่มีดวงชะตาดีคนหนึ่งเช่นกัน
หยางเทาเห็นว่าตนเอ่ยถึงเงินแล้วอาจารย์ยังไม่มีปฏิกิริยาใดก็ยิ่งรู้สึกว่าผู้มีวิชาอาคมผู้นี้ช่างลึกล้ำนัก ต่อให้มีหน้าตาอ่อนโยนน่ารัก แต่ก็ยังทำให้คนรู้สึกเคารพนับถือได้ ช่างเก่งกาจจริง ๆ
ดวงตาของหยางเทายิ่งเป็นประกายขึ้นทุกขณะ ฉีเยี่ยนเลิกคิ้ว “คุณจะดูดวงเรื่องอะไรล่ะ”
เมื่อถูกฉีเยี่ยนถามเช่นนี้ สมองของหยางเทาก็โล่งว่างไปเล็กน้อยเพราะเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีเรื่องอะไรที่อยากให้ดูกันแน่ ตั้งแต่เล็กเสื้อผ้าอาหารก็ไม่เคยขาด คนที่บ้านรักใคร่เอ็นดู ข้างกายไม่เคยขาดสาวสวยเรื่องการงานยิ่งไม่ต้องพูดถึง แล้วเขาจะมีอะไรที่อยากได้อีกเล่า
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาจึงนึกถึงเฉินไป่เฮ่อที่ยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาลขึ้นมา พ่อของเขาอยากจะเกาะขาตระกูลเฉินเอาไว้ ไม่รู้ว่าจะเกาะได้หรือเปล่า
“ขอให้อาจารย์ช่วยดูให้ผมหน่อย ว่าบ้านผมจะได้รับความเอ็นดูจากคนใหญ่คนโตหรือเปล่า”
แม้หยางเทาจะโง่เง่า แต่ไม่ได้โง่ขนาดโง่งมถึงที่สุด การที่เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ ที่จริงแล้วก็เพราะอยากจะทดสอบด้วยว่าฉีเยี่ยนจะมีความสามารถจริงแท้แค่ไหน

คอมเมนต์

Chapter List