ตัดสินคนจากหน้าตาก็ต้องเจอแบบนี้ ตอนที่ 7
บทที่ 7
“เหล่าหยางน่ะ สองสามวันนี้ไปดวงดีอะไรมา หน้าอิ่มเอมเชียว” เหล่าหลี่เห็นสองสามวันนี้เพื่อนรักดูมีความสุขก็ถามด้วยความแปลกใจ “หรือว่าได้แม่คนงามที่เจอคราวที่แล้วมาแล้ว”
“เหลวไหลอะไรกัน คนงามอะไรจะงามกว่าพี่สะใภ้ของแก” หยางกังปรับสีหน้าแล้วก็โบกมือพลางว่า “ดอกไม้ใบหญ้าพวกนั้น ฉันไม่กล้าไปแตะหรอก”
เหล่าหลี่คิดว่าหยางกังกำลังล้อเล่น แต่เมื่อสังเกตสีหน้าของเขาดี ๆ ก็เห็นว่าจริงจังสุด ๆ ดูท่าจะรู้สึกจากใจจริง ๆ ว่าภรรยาของตนดีที่สุด หญิงอื่นเขาไม่แม้แต่จะชายตามอง
เมื่อเข้าใจท่าทีของหยางกังแล้ว เหล่าหลี่ก็ไม่พูดเรื่องคนงามอีก “ได้ยินว่าสองวันมานี้แกได้คุยธุรกิจใหญ่สองสามโครงการเลย ดูท่าพักนี้จะดวงดีน่าดูนะ”
“ที่ไหนกันเล่า ที่ไหนกัน เป็นโครงการที่คุยเอาไว้ก่อนหน้านี้ทั้งนั้นแหละ สองสามวันนี้ตกลงกันได้พอดี” หยางกังนึกถึงอาจารย์ท่านนั้นในใจก็รู้สึกซาบซึ้งเหลือประมาณ เขาเพิ่งจะถมน้ำพุไปไม่ถึงชั่วโมงก็คุยธุรกิจสำเร็จแล้ว น่าเหลือเชื่อจริง ๆ
“งั้นคราวนี้ที่เมืองทางใต้ประสบภัยจากพายุลูกเห็บ แกก็คงต้องบริจาคมากหน่อย” ในใจของเหล่าหลี่มีความเกลียดชังอิจฉาริษยาจึงอดยกยอปอปั้นหยางกังไม่ได้
ไหนเลยจะรู้ว่าหยางกังก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาพยักหน้าติดต่อกันแล้วว่า “ควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนั้น”
เห็นหยางกังมีใบหน้าอิ่มเอิบเช่นนั้น เหล่าหลี่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรไปพักหนึ่ง เขารู้สึกเหมือนต่อยไปบนดอกฝ้าย
สองสามปีมานี้ ทางใต้ประสบภัยพิบัติใหญ่ ทั้งพายุลูกเห็บและน้ำท่วม มีชาวบ้านประสบภัยจำนวนมาก นักธุรกิจเมืองตี้ตูเหล่านี้ไม่ว่าจะเห็นใจผู้ประสบภัยจริง ๆ หรือทำไปเพราะจะเอาหน้า ต่างก็รวมตัวกันจัดงานรวบรวมเงินบริจาคแล้วนำไปบริจาคให้ผู้ประสบภัยกันทั้งนั้น
อย่างไรเสีย ไม่ว่าความตั้งใจของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ผู้ประสบภัยก็ได้รับประโยชน์อยู่ดี ดังนั้นผู้คนจึงล้วนยินดีเมื่อได้เห็นภาพกิจกรรมเหล่านี้
หลังกิจกรรมรวบรวมเงินบริจาคจบลง หยางกังกำลังพูดคุยอยู่กับเพื่อนสองสามคน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งแว่วมา
“โชคดีที่ฉันฟังภรรยา ไม่ได้ไปทำงานทางใต้ ไม่อย่างนั้นไปคราวนี้ก็คงต้องประสบเคราะห์กรรมแล้ว หมอดูมีของคนนั้นนี่เทพจริง ๆ”
เมื่อได้ยินคำว่าผู้มีวิชาอาคม หยางกังก็อดไม่ได้ต้องหันไปมองคนพูดที่แท้ก็เป็นคนของกิจการสาขาย่อยของตระกูลเฉิน คนคนนี้แม้ไม่มีความสามารถอะไรมากมาย แต่เป็นคนซื่อสัตย์ ดังนั้นจึงได้ตำแหน่งงานไม่เล็กไม่ใหญ่ในบริษัทแม่ของไฟแนนซ์กรุ๊ปตระกูลเฉิน และก็ถือว่าเป็นคนที่เข้ากับคนในกลุ่มของพวกเขาได้เป็นอย่างดีทีเดียว
เพราะว่าอย่างไรเสีย หากมีนามสกุลนั้นอยู่ ทุกคนก็ต้องเกรงใจเขาบ้างอยู่แล้ว
ไม่รู้เพราะเขาเชื่อผู้มีวิชาอาคมมากเกินไปหรือว่าสมองเพี้ยนไปแล้วเขาก็แค่รู้สึกว่าผู้มีวิชาอาคมที่เฉินชุนเหอพูดถึงอาจจะเป็นผู้มีวิชาอาคมคนนั้นที่มาดูฮวงจุ้ยให้เขา
มีแค่ท่านอาจารย์แบบนี้เท่านั้นจึงจะหยั่งรู้ดินฟ้า ประเมินชะตาคนเป็นคนที่แม้มีเงินก็ยากจะตามหาได้พบ
ส่วนฉีเยี่ยนผู้ดึงดูดความสนใจของพวกคนรวยส่วนหนึ่งนั้น ตอนนี้กำลังนอนตากแอร์ กินไอศกรีม แล้วก็เล่นเกมอยู่ที่บ้าน เพราะว่าช่วงนี้เมืองตี้ตูร้อนมากจริง ๆ ร้อนจนแม้แต่ความกล้าที่จะก้าวออกจากประตูบ้านเขาก็ยังไม่มี
หวังหังโทรศัพท์มาหาเขาสองสามครั้งเพื่อชวนเขาออกไปกินข้าว แต่เขาก็ยังคงปฏิเสธไปเช่นเดิม ด้วยความซาบซึ้งในอากาศร้อนอบอ้าวข้างนอก
ดังนั้นเมื่อประตูบ้านของเขามีคนมาเคาะ เขาจึงได้สติว่ามันไม่ใช่แล้วละ เวลาแบบนี้เขาไม่ได้โทร.สั่งอาหาร แล้วก็ไม่มีพัสดุมาส่งด้วยใครจะมาเคาะประตูบ้านเขาได้
คนที่เคาะประตูคล้ายจะมีมารยาทมาก เคาะไปก่อนสามครั้งแล้วก็รอพักหนึ่ง ก่อนจะเคาะอีกสองครั้ง จากนั้นก็รอเฉย ๆ
ฉีเยี่ยนปิดเกม เขากวาดขยะบนโต๊ะลงถังขยะแล้วเดินไปถึงหน้าประตูมองอย่างสงสัย จากนั้นก็เปิดประตูใหญ่ที่ห้องรับแขกออกไป
“ขอโทษนะครับ คุณคือท่านอาจารย์ฉีหรือเปล่าครับ” ชายวัยกลางคนสวมสูทเรียบร้อยคนหนึ่งมองฉีเยี่ยนพลางยิ้ม “ท่านอาจารย์ฉี ต้องขอโทษด้วยนะครับที่รบกวน”
ตู้ตงได้ยินมานานแล้วว่าท่านอาจารย์ฉีผู้นี้แม้อายุยังน้อย แต่ฝีไม้ลายมือน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เขาจึงโค้งคำนับฉีเยี่ยนอย่างเคารพนบนอบและจริงใจอย่างที่สุด
ฉีเยี่ยนไม่ได้หลบเลี่ยงการโค้งคำนับครั้งนี้ เขาเพียงแค่มองชายหนุ่มสองคนที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่งแล้วก็พยักหน้าเบา ๆ “แขกผู้ทรงเกียรติมาเยี่ยมเยือน เชิญเข้ามาเถอะครับ”
“ขอบคุณ ท่านอาจารย์” ใบหน้าอวบอูมของตู้ตงมีเหงื่อเม็ดโตผุดพราว เขาค้อมตัวเล็กน้อยแล้วเดินเข้าประตูมา จากนั้นจึงถอดรองเท้าอย่างระมัดระวังเพราะกลัวจะทำพื้นสกปรก
ชายหนุ่มสองคนด้านหลังเห็นเช่นนั้นก็ทำได้เพียงศึกษากิริยาของหัวหน้าแล้วถอดรองเท้าเดินเข้าบ้านบ้าง
ฉีเยี่ยนหันกลับไปมองสามคนที่ยืนเท้าเปล่าอยู่หน้าประตู “ท่านแขกผู้มีเกียรติ ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้หรอกครับ”
“สมควรทำครับ สมควรทำ” ตู้ตงล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าเขาทำหน้าขื่นขมพลางเอ่ย “บุ่มบ่ามมารบกวนท่านอาจารย์เช่นนี้ ต้องขออภัยด้วยนะครับ เพียงแต่ข้าน้อยตู้ไร้ทางไปจริง ๆ จึงได้ทำเรื่องไร้มารยาทเช่นนี้ ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงนะครับ”
ฉีเยี่ยนยิ้มบาง เขานั่งลงข้างโต๊ะน้ำชาทำจากไม้แดงของตัวเองแล้วจึงรินชาซื่อหวน เขายกมือขึ้นเชิญให้ทั้งสามนั่ง “ท่านแขกผู้ทรงเกียรติมาที่นี่ได้ถูกนับว่าเรามีชะตาต่อกันแล้ว ขอเชิญนั่งลงดื่มชาสักหน่อยเถิด”
ตู้ตงเห็นท่านอาจารย์ผู้นี้ใบหน้าอ่อนเยาว์ยิ่งนัก อย่างมากก็ดูท่าทางอายุไม่เกินยี่สิบ ทว่าทุกคำพูดและกิริยากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกลับน่าอัศจรรย์ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าท่านอาจารย์หนุ่มผู้นี้มีความสามารถที่แท้จริงท่าทีของเขาจึงยิ่งน่าเคารพนบนอบยิ่งขึ้น “ขอบคุณท่านอาจารย์ยิ่งนักที่ต้อนรับอย่างเอื้อเฟื้อ”
ใบชานั้นเป็นชาเขียวใบไผ่ที่ธรรมดามาก แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดตู้ตงจึงรู้สึกว่าชาเขียวใบไผ่ของท่านอาจารย์นี้รสชาติดีกว่าที่อื่น รสชาติอวลในปากไม่จางไป
“ท่านอาจารย์ กระผมแซ่ตู้ โชคดีหลายปีมานี้บรรพบุรุษคุ้มครองทำให้มีทรัพย์สินเล็ก ๆ น้อย ๆ หากท่านอาจารย์ไม่รังเกียจที่จะผูกสัมพันธ์กับกระผมก็เรียกกระผมว่าเหล่าตู้ก็ได้ครับ” ตู้ตงออกปากแนะนำตัวดวงตาที่ไม่โตเท่าใดนักถูกเบียดเข้าด้วยกัน ดูอวบอ้วนและดูน่าขันอยู่บ้าง
ฉีเยี่ยนวางถ้วยชา เขาพิจารณาลักษณะใบหน้าของคุณตู้คนนี้เล็กน้อยคนคนนี้มีพื้นดวงกำเนิดที่ตอนเด็ก ๆ ลำบากและมาก้าวหน้าขึ้นเมื่อถึงวัยกลางคน หลังจากวัยกลางคนไปนั้น ธุรกิจก็จะเริ่มขึ้น ๆ ลง ๆ ต้องหลังอายุห้าสิบไปแล้วถึงจะมั่นคงได้
ชะตาของเขามีสีแดงเล็กน้อยอยู่ในสีขาว ไม่นับว่าเป็นชะตาที่ดีอะไร แต่ก็ยังดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ฉีเยี่ยนพบว่าคิ้วของตู้ตงมีปลายตรง เป็นคนที่รู้จักตอบแทนน้ำใจผู้อื่น เป็นคนมีเมตตาในหัวใจ
ฉีเยี่ยนค่อนข้างเอาแต่ใจ จะช่วยหรือไม่ช่วยก็มักเอาตามความชอบและอารมณ์ของตัวเอง วันนี้อารมณ์ของเขาธรรมดา แต่คุณตู้ตงคนนี้แม้ว่าจะหน้าตาไม่ดีและรูปร่างก็ไม่น่าพูดถึง แต่เขากลับยินยอมฟังคำขอร้องของอีกฝ่าย
“คุณตู้ วันนี้มาเยือนถึงบ้านของผมด้วยเรื่องอะไรหรือครับ”
คุณตู้สาธยายเคราะห์ที่ตนประสบพบเจอมาด้วยสีหน้าขมขื่น รวม ๆ ก็คือแม่ป่วย เมียป่วย ลูกสาวป่วย แม้แต่บริษัทก็พบเจออุปสรรคต่อเนื่องกิจการไม่ราบรื่น เดือนนี้เขาทุกข์ใจจนผอมลงสิบกิโลกรัมแล้ว
ฉีเยี่ยนมองรูปร่างที่ผอมลงไปก็เห็นไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่ของตู้ตงแล้วก็จิบชาอึกหนึ่ง “ดังนั้นคุณตู้จึงต้องการให้ผมไปดูฮวงจุ้ยบ้านของคุณหรือครับ”
“มีหมอดูคนหนึ่งบอกว่าผมมีชะตาโดดเดี่ยวเดียวดาย ดังนั้นจึงต้องสิ้นพ่อ สิ้นแม่ สิ้นเมีย สิ้นลูก” ตู้ตงยกถ้วยชาขึ้นดื่มน้ำชาในนั้นจนหมด “ท่านอาจารย์ ช่วยดูให้ผมหน่อยเถิดครับ โชคชะตาของผมมันเลวร้ายถึงขนาดนั้นจริง ๆ หรือ”
“คุณตู้ล้อเล่นแล้ว” ฉีเยี่ยนหัวเราะพลางส่ายหน้า “หากคุณมีพื้นดวงกำเนิดอย่างนั้นจริง จะมีโอกาสได้แต่งเมียเกิดลูกได้อย่างไรเล่าครับ ถ้าเป็นแบบนั้น ยังไม่ทันแต่งงาน ภรรยาของคุณก็คงแยกจากคุณตลอดกาลไปเสียแล้วละครับ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะมีชะตาเป็นมังกรที่สูงค่าเรืองรองเช่นจักรพรรดิคังซี”
“อย่างนั้น…อย่างนั้นหากเป็นตามที่ท่านกล่าว ผมก็ไม่ได้มีชะตาโดดเดี่ยวเดียวดายหรือครับ” ดวงตาไม่โตของตู้ตงฉายแววแห่งความหวังออกมา เขามองฉีเยี่ยนด้วยดวงตาเป็นประกาย ราวกับเพียงแค่ฉีเยี่ยนพูดว่าไม่ใช่ โชคร้ายที่บ้านเขาก็จะอันตรธานไปได้ทั้งหมดอย่างนั้นละ
“พื้นดวงกำเนิดโดดเดี่ยวเดียวดายหมื่นลี้จะมีสักคนอย่างนี้ จะมาประสบพบเจอง่าย ๆ ได้ยังไงล่ะครับ” นิ้วของฉีเยี่ยนลูบถ้วยชาดินเผาสีแดงเบา ๆ เขาเช็ดหยดน้ำชาบนนั้นออกไป “คุณตู้ไม่เพียงไม่ใช่ชะตาโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่ยังเป็นพื้นดวงกำเนิดดีที่ภรรยารักและลูกกตัญญูอีกด้วยผมคิดว่าหมอดูที่คุณไปพบก่อนหน้านี้อาจจะไม่ทันระวัง คำนวณให้คุณผิดพลาดไปกระมัง”
คำพูดนี้เอ่ยอย่างอ้อมค้อมนัก แต่ตู้ตงกับผู้ช่วยทั้งสองของเขาล้วนเข้าใจดี หมอดูคนที่เขาพบก่อนหน้านี้เกรงว่าจะเป็นแค่นักต้มตุ๋น
“ในเมื่อผมไม่ได้มีพื้นดวงกำเนิดโดดเดี่ยวเดียวดาย อย่างนั้นทำไมคนที่บ้านของผมถึงได้พบเจอปัญหากันหมดเล่าครับ มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีเรื่องอะไร”
ตู้ตงห่อเหี่ยวเล็กน้อย แม้ว่าฉีเยี่ยนจะปฏิเสธคำที่ว่าเขามีชะตาโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่ในความรับรู้ของเขา เขาก็ยังรู้สึกว่าตนทำให้คนในบ้านเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลอยู่นั่นเอง ดังนั้นจึงได้ไม่สบายใจอยู่เช่นนี้
คนคนนี้เป็นผู้ชายรักครอบครัวเป็นอย่างมาก ดังนั้นไม่ว่าจะพูดมากน้อยเท่าไหร่ สิ่งที่เขาสนใจที่สุดก็มีแต่เรื่องของคนในบ้านทั้งสิ้น เขาเอ่ยถึงเรื่องความไม่ราบรื่นของบริษัทน้อยมาก
“ที่บริษัทของคุณตู้เกิดปัญหาไม่ใช่เพราะคุณเป็นคนทำให้มันเกิดเรื่องเองหรือครับ” ฉีเยี่ยนยกกาชาขึ้นรินน้ำชาให้ตู้ตง “คุณเป็นห่วงคนที่บ้านมากเกินไปก็เลยละเลยตัวเอง”
ในรอยยิ้มของตู้ตงมีความขมขื่นเข้มข้นยิ่งขึ้น สองมือยกถ้วยชาขึ้นเหนือศีรษะ “ท่านอาจารย์ ช่วยผมด้วยเถอะครับ!”
ฉีเยี่ยนหันไปมองนอกหน้าต่าง เขาเอ่ยเสียงเข้มหนัก “วันนี้หลังหนึ่งทุ่มผมจะไปเป็นเพื่อนคุณสักครั้ง”
“หลังหนึ่งทุ่มหรือครับ” ตู้ตงนิ่งงัน เขามองแสงแดดจัดจ้านอกหน้าต่าง หรือว่าเรื่องเวลามีอะไรต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดด้วยอย่างนั้นหรือ
“ถ้าอย่างนั้น ท่านอาจารย์ครับ ตอนนี้เราออกไปรับประทานอาหารเย็นกันก่อนไม่ดีกว่าหรือครับ” ตู้ตงเอ่ยอย่างเกรงใจ “กระผมได้ยินมาว่าใกล้ ๆ นี้มีร้านหนึ่ง อาหารทะเลไม่เลวทีเดียว หากท่านอาจารย์ไม่รังเกียจพวกเราลองไปชิมอาหารที่นั่นดูไหมครับ”
“ร้านนั้นจอดรถใกล้ ๆ ไม่ค่อยสะดวก”
“อย่างไรก็ไม่ไกลอยู่แล้ว พวกเราเดินไปดีไหมครับ”
“ไม่ดีหรอก เดี๋ยวอีกสักครู่ฝนก็จะตกแล้ว พวกเราสั่งอาหารข้างนอกมากินกันดีกว่า” ฉีเยี่ยนเอาโทรศัพท์มือถือออกมา เขาสั่งกับข้าวสำหรับสี่ที่ไปแล้วก็กลับมาเอ่ยกับตู้ตงที่ยังนิ่งอึ้งว่า “ผมชอบกินข้าวที่บ้านมากกว่าน่ะครับ”
ตู้ตงก็ไม่ได้สนใจว่าที่ฉีเยี่ยนพูดจะมีหรือไม่มีเหตุผล อย่างไรเสียเขาก็พยักหน้าอย่างเดียวอยู่แล้ว
ตอนนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาไพรม์ไทม์ของการรับประทานอาหารเย็น ดังนั้นอาหารที่สั่งจึงมาเร็วมาก ตู้ตงจ่ายค่าอาหารแล้วก็ยกอาหารกล่องที่มาส่งถึงบ้านขึ้นไปวางบนโต๊ะ
กินข้าวไปได้ครึ่งหนึ่ง ข้างนอกก็เริ่มมีฝนตกลงมา เสียงซ่า ๆ ดังเข้ามาถึงหูของพวกตู้ตง ใบหน้าของพวกเขาจึงฉายแววเลื่อมใส
ฉีเยี่ยนเอาโทรศัพท์มือถือไปวางไว้ตรงหน้าคนทั้งสาม “หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนระดับสีเหลืองเรื่องพายุฝน”
ตู้ตงรู้สึกตื้นตันในอกขึ้นมาชั่วขณะ ท่านอาจารย์ก็คือท่านอาจารย์พูดอะไรก็เป็นจริงดังนั้น ไม่จงใจพูดให้ฟังดูลึกลับสับสน เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นคนที่มีร่องลำธารลึกอยู่ในอก คราวนี้บ้านของเขามีคนช่วยเหลือแล้ว
คอมเมนต์