ตัดสินคนจากหน้าตาก็ต้องเจอแบบนี้ ตอนที่ 8
บทที่ 8
ประมาณทุ่มครึ่งฝนก็หยุดตก ฉีเยี่ยนเปลี่ยนรองเท้าแล้วก็เอ่ยกับคนที่นั่งสำรวมอยู่บนม้านั่งทั้งสามคนว่า “ไปกันเถอะ”
“ครับ ๆ ๆ” ตู้ตงรีบตามไป รองเท้ายังไม่ทันสวมเรียบร้อยดีด้วยซ้ำก็รีบลากรองเท้าเดินตามไปแล้ว ผู้ช่วยที่เดินตามหลังเขาปิดประตูบ้านให้ฉีเยี่ยนอย่างเอาใจใส่
“ท่านอาจารย์ ท่านไม่เอาอุปกรณ์อะไรไปหน่อยหรือครับ” ตู้ตงมองสองมืออันว่างเปล่าของฉีเยี่ยน “หรือว่าต้องการซื้ออะไร ท่านก็เอ่ยออกมาได้เลยนะครับ พวกเราจะไปซื้ออย่างแน่นอน”
“ซื้ออะไร” ฉีเยี่ยนกดปุ่มลิฟต์แล้วหันมาพูดกับตู้ตง “พวกเราไม่ได้ถ่ายละครกันเสียหน่อย แล้วก็ไม่ต้องไปกำจัดผีปีศาจอะไรด้วยดังนั้นจึงไม่ต้องการของพวกกระบี่ไม้ ต้นท้อ หรือว่าเข็มทิศอะไรอย่างนั้นหรอก”
ตู้ตงมีสีหน้าเลื่อมใส ผู้มีวิชาอาคมก็คือผู้มีวิชาอาคม จะทำการใดก็ล้วนนิ่งสงบเช่นนี้
ในฐานะที่เป็นนักธุรกิจซึ่งสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยมือเปล่า งานอดิเรกเกี่ยวกับรถของเขาค่อนข้างจะดูเหมือนพวกเศรษฐีใหม่อยู่บ้าง ฉีเยี่ยนมองยี่ห้อกับรุ่นรถแวบหนึ่ง ราคาของมันคงประมาณสามสี่ล้านหยวน ดูท่าจะเป็นรถที่คุ้มค่าเงิน
“ท่านอาจารย์ เชิญครับ” ผู้ช่วยเปิดประตูรถให้ฉีเยี่ยน
ฉีเยี่ยนเข้าไปนั่งแล้วก็ได้กลิ่นมินต์จาง ๆ ในรถ เขามองไปรอบ ๆ จึงพบว่าในรถมีถุงหอมกลิ่นมินต์บางอยู่สองสามถุง
“ของพวกนี้ลูกสาวผมเป็นคนวางเอาไว้ครับ เธอบอกว่าหน้าร้อนมันร้อน ง่วงง่าย วางมินต์เอาไว้ในรถสักหน่อย คนขับรถจะได้ไม่หลับในง่าย ๆ เวลาขับรถน่ะครับ” ตู้ตงเห็นสายตาของฉีเยี่ยนไปหยุดอยู่ที่ถุงหอมกลิ่นมินต์ ความภาคภูมิใจแทรกอยู่ในรอยยิ้มของเขา “เด็กคนนี้กตัญญูตั้งแต่เด็ก เรียนก็เก่ง นิสัยก็เป็นเด็กดีเชื่อฟัง…”
แต่เมื่อนึกถึงลูกสาวที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล ลำคอของตู้ตงก็เริ่มตีบตัน ไม่อาจพูดต่อได้อีก
ฉีเยี่ยนเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็แสดงสีหน้าอ่อนโยนแล้วเอ่ย “คุณตู้ไม่ต้องกังวลใจ ลูกสาวของคุณจะไม่เป็นอะไรแน่นอน”
“ขอบคุณคำมงคลของท่านอาจารย์” ตู้ตงยิ้มเศร้าเสียยิ่งกว่ายามร้องไห้ให้ฉีเยี่ยน “ขอเพียงพวกเขาไม่เป็นอะไร จะให้ผมทำอะไร ผมก็ยอมทั้งนั้น”
เมื่อได้ฟังคำนี้ ฉีเยี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไรมากความอีก เขาเพียงก้มลงมองฝ่ามือตัวเองแล้วก็นั่งเหม่อ ลายมือของเขาชัดเจนมาก ไม่มีเส้นยุ่งเหยิงวุ่นวายอะไร ตาแก่เคยบอกว่าลายมือของเขาเป็นชะตาของคนมีวิชาอาคม เขาเองก็มองไม่ออกว่าตัวเองมีวิชาอาคมตรงไหน
หมอรักษาตัวเองไม่ได้ ต่อให้เป็นคนที่ดูดวงเก่งขนาดไหนก็ดูดวงตัวเองไม่ได้ แต่ฉีเยี่ยนไม่ค่อยสนใจเรื่องดวงชะตาในอนาคตของตัวเองสักเท่าไหร่ คนเราชีวิตนี้ขอเพียงไม่รู้จึงคาดหวัง หากไม่มีแม้แต่ความคาดหวังเสียแล้ว ชีวิตนี้จะต่างอะไรกับน้ำนิ่งในสระเล่า
บ้านของตู้ตงเป็นวิลล่าสองชั้น สนามหญ้ากับพุ่มดอกไม้ของวิลล่ารกรุงรังมาก คล้ายไม่ได้ดูแลจัดการมาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเดินเข้าไปในตัวบ้านก็ให้ความรู้สึกเย็นเยียบ ไร้กลิ่นอายของคน ผ้าม่านก็ปิดเอาไว้มืดสนิท ทำให้รู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย
“ต้องอับอายท่านอาจารย์ยิ่งนัก เพราะช่วงนี้ผมอยู่แต่ที่บริษัทกับโรงพยาบาลตลอด จึงไม่ได้จัดการที่บ้านเลยน่ะครับ” ตู้ตงหัวเราะอย่างขัดเขิน เขากดสวิตช์ที่มุมผนัง ไฟทั้งห้องสว่างขึ้นในพริบตา
ถ้าว่ากันตามสไตล์การตกแต่ง บ้านตู้ก็ดูมีระดับกว่าบ้านหยางมากแต่ฉีเยี่ยนไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นของตกแต่งเป็นเครื่องกระเบื้องสามสีสมัยราชวงศ์ถังบนบันไดอัญมณีของบ้านหยางด้วย
ในเชิงวัตถุโบราณแล้ว เครื่องกระเบื้องสามสีสมัยราชวงศ์ถังนั้นนับเป็นของเลื่องชื่อ แต่ของแบบนี้กลับถูกซื้อมาวางในบ้านที่ไม่ค่อยเหมาะสมกับมันสักเท่าไหร่ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มันถูกเอามาวางไว้ในห้องรับแขกอีก ของพวกนี้ในสมัยโบราณเป็นของที่ใช้ฝังไปในหลุมศพพร้อมกับร่างผู้ตาย คนที่จะใช้มันได้มีเพียงคนที่ตายไปแล้วเท่านั้น ไม่มีเหตุผลใดให้คนเป็นนำมาใช้
“คุณตู้เป็นนักสะสมหรือครับ” ฉีเยี่ยนชี้เครื่องกระเบื้องสามสีสมัยราชวงศ์ถังตลอดจนหยกมีตำหนิที่วางอยู่ข้างกัน ของสองอย่างนี้ล้วนกำลังแผ่ไอดำอันเย็นเยียบออกมา
“ที่ไหนกันครับ ผมเป็นแค่คนหยาบกระด้างคนหนึ่ง ไม่เคยศึกษาของพวกนี้หรอกครับ” ตู้ตงส่ายศีรษะแล้วว่า “ของพวกนี้น่ะ สองสามเดือนก่อนตอนคุณแม่ของผมฉลองวันเกิด มีเพื่อนสองคนให้มาครับ”
“อ้อ” ฉีเยี่ยนดูเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ “เพื่อนในวงธุรกิจหรือครับ”
“ใช่ครับ” ตู้ตงพยักหน้า “เป็นเพื่อนที่ทำธุรกิจร่วมกันทั้งนั้น ได้ข่าวว่าของสองอย่างนี้มีราคามาก ถ้าผมไม่วางโชว์เอาไว้ไหนเลยจะรักษาน้ำใจเพื่อนฝูงไว้ได้”
“อย่างนั้นเพื่อนทั้งสองของคุณก็คงใจกว้างมากทีเดียวนะครับ” ฉีเยี่ยนก้มหน้าหลุบตาลง น้ำเสียงค่อนข้างราบเรียบ “แม้แต่ของมีราคาก็ยังยอมยกให้คุณได้”
ตู้ตงรู้สึกได้ว่าคำพูดนี้มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง “ท่านอาจารย์ ของสองอย่างนี้…มีปัญหาอะไรหรือครับ”
ฉีเยี่ยนไม่ได้พูดออกไปตรง ๆ ว่ามีปัญหา เขาเพียงแต่บอกว่า “ผมว่าของสองอย่างนี้ต้องใช้ฝีมือละเอียดประณีตและมันก็เป็นของแท้ทั้งสองชิ้น มีคุณค่าต่อการศึกษาวิจัย ถ้าหากคุณตู้ไม่เสียดายก็สามารถจะบริจาคให้พิพิธภัณฑ์ได้ นับเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง”
ตู้ตงนิ่งงัน จากนั้นก็เอ่ยตอบเต็มปากเต็มคำ “สมควรแล้วครับการมอบศิลปวัตถุให้แก่ประเทศชาติเป็นเรื่องที่สมควร”
“คุณตู้เป็นคนใจกว้าง” ฉีเยี่ยนหัวเราะ เขาหันกายเดินขึ้นชั้นบนชั้นบนแบ่งสัดส่วนเอาไว้ไม่เลว การตกแต่งก็ไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โตเพียงแต่เขามักจะรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้คล้ายมีไอชั่วร้ายที่เหมือนจะปรากฏขึ้นบ้างหายวับไปบ้าง
เขาหันกลับไปมองตู้ตงที่เดินตามหลังมา “คุณตู้ ลองไปยืนบนบันไดดูสิครับ”
ตู้ตงถอยไปยืนตรงหัวมุมเลี้ยวที่บันไดอย่างว่าง่าย จากนั้นเขาก็เห็นมือขวาของท่านอาจารย์ฉีทำท่าแปลก ๆ เขามองเห็นราง ๆ ว่ามือนั้นคล้ายมีควันสีขาวออกมาเป็นเส้น ๆ แต่ก็เหมือนว่าตนเองจะตาฝาดไป
ฉีเยี่ยนลูบรอยแยกบนราวบันได เขาเอากระดาษสีเหลืองที่ขาดเป็นรูปสามเหลี่ยมออกมาจากในนั้น ทั้งยังได้กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ กับกลิ่นน้ำมันจากศพที่อยู่บนกระดาษนั้นอีกด้วย
“ท่านอาจารย์ นี่…นี่คืออะไร” ตู้ตงไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าในบ้านตัวเองจะมีของพวกนี้ด้วย เขาแขม่วพุงอ้วน ๆ ของตัวเองแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจโดยอัตโนมัติ
“ไม่ใช่ของดีอะไร” ฉีเยี่ยนใช้มือหนีบมันเอาไว้ กระดาษสีเหลืองคล้ายถูกไฟเผา มันกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย เศษกระดาษเหล่านี้นอนนิ่งอยู่ในมือของฉีเยี่ยน ไม่มีตกลงบนพื้นแม้แต่ชิ้นเดียว “ไปเทน้ำส้มสายชูให้ผมชามหนึ่ง”
ตู้ตงได้ยินก็รีบหันกลับวิ่งลงไปที่ครัว ท่าทางแข็งแรงไม่เหมือนคนที่อ้วนขนาดที่ตัวเขาเป็นอยู่แม้แต่น้อย
ไม่ถึงสองนาที เขาก็เทน้ำส้มสายชูใส่ชามแล้วยกมาถึงตรงหน้าฉีเยี่ยนฉีเยี่ยนกวาดตามองเขา “ยืนนิ่ง ๆ อย่าขยับ” พูดจบเขาก็เอาเศษกระดาษในมือโยนลงไปในชามน้ำส้มสายชู เกิดเสียงซ่า ๆ เหมือนกับใส่น้ำลงไปในหม้อที่มีน้ำมันร้อน ๆ กลิ่นเหม็นจนตู้ตงแทบอาเจียนออกมา
เขาฝืนข่มความรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนเอาไว้แล้วก็มองท่านอาจารย์เขาพบว่าท่านอาจารย์ไปยืนห่างจากเขาสองสามก้าวแล้ว คล้ายรู้ล่วงหน้าว่าการกระทำเช่นนี้จะเกิดกลิ่นไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่
แต่กระดาษที่โยนลงไปในน้ำส้มสายชูมันจะทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีอะไรเหรอ
นี่มันดูท่าทางไม่ค่อยเป็นวิทยาศาสตร์เลยแฮะ
เพียงแต่ว่าท่านอาจารย์นั้น แม้ว่าหน้าตาจะดูอบอุ่นอ่อนโยนเข้าหาได้ง่าย แต่ดูไม่ได้จะไขข้อข้องใจให้เขาเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแต่เหลือบมองน้ำส้มสายชูส่งกลิ่นเหม็นในมือของเขาด้วยสายตาเย็นชาแล้วว่า “เอาไปเทที่มุมผนังบ้านด้านตะวันตก จากนั้นก็คำนับมันสามครั้ง แค่นั้นก็โอเคแล้ว”
ตู้ตงยังคงทำตามอย่างว่าง่าย คล้ายถูกมือนั้นของท่านอาจารย์ขู่จนอยู่หมัด ตอนที่เขาคำนับก็ทำอย่างเคารพนับถือเป็นพิเศษ เพียงแต่ไม่ได้คุกเข่าลงไปเท่านั้น
ฉีเยี่ยนยืนอยู่ที่ประตูหน้า เขามองตู้ตงทำทั้งหมดนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงว่า “บ้านนี้ฮวงจุ้ยดีมาก ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ศิลปวัตถุสองชิ้นนั่นรีบบริจาคไปโดยไวเถอะ” สำหรับเรื่องสิ่งที่เพื่อนเหล่านั้นคิดวางแผนเอาไว้เบื้องหลัง มันก็เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับอาจารย์ฮวงจุ้ยอย่างเขาแล้ว
หลังจากนั้นตู้ตงก็เอ่ยย้ำว่าจะขับรถไปส่งฉีเยี่ยนเองถึงคอนโด แล้วก็กลับมาที่บ้านตัวเอง และในคืนเดียวกันนั้นเอง เขาก็ติดต่อไปหาผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์เริ่มงาน เขาก็กุลีกุจอนำของสองชิ้นของตนบริจาคไปเสีย แล้วก็กอดของที่ระลึกที่พิพิธภัณฑ์ให้มาขับรถกลับบ้าน
กลับบ้านมาไม่นาน เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลบอกว่าอาการของภรรยาเขาดีขึ้นแล้ว ส่วนหมอที่ติดต่อเอาไว้กับแม่ของเขาก็มีเวลาผ่าตัดในที่สุด
หลังวางโทรศัพท์สายนั้น ตู้ตงก็ลูบหน้า เขารีบไปที่โรงพยาบาลทันที
สองวันหลังจากนั้น ฉีเยี่ยนก็ได้รับข้อความที่ทางธนาคารส่งมาบอกว่าบัญชีของเขามีเงินเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งล้านหยวน เรื่องนี้เขาไม่แปลกใจสักนิด คนที่ชื่อตู้ตงนั่นสามารถสืบหาได้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน อย่างนั้นก็คงสืบหาบัญชีธนาคารของเขาได้เหมือนกัน
คนคนนั้นให้เงินเขาก้อนใหญ่ขนาดนี้ ดูท่าเรื่องอาการป่วยของคนในครอบครัวคงจะคลี่คลายแล้ว
“ฉันชอบคนตรงไปตรงมาแบบนี้แหละ” ฉีเยี่ยนเปิดเว็บไซต์องค์กรการกุศลที่เป็นที่เชื่อถือโดยทั่วไป จากนั้นก็โอนเงินไปหนึ่งแสนหยวน
“สั่งสมลาภ สละลาภ”
“ฉันจะบอกให้นะ คนไข้เตียงเบอร์ยี่สิบสี่ฟื้นแล้วละ”
“จริงเหรอ”
“ไหนบอกว่าหมดสติไปโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดและอาจจะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไม่ใช่เหรอ”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนที่ฉันไปเปลี่ยนยาให้คนไข้เหมือนจะได้ยินสามีของเธอพูดว่าได้เจอคนมีคาถาอาคม มีคนมาทำคุณไสยใส่อะไรสักอย่าง ฉันเองก็ฟังผ่าน ๆ มาสองสามประโยคนี่แหละ พวกเธออย่าเอาไปพูดข้างนอกเด็ดขาดเลยนะ”
“วางใจเถอะ ไม่พูดแน่ ๆ แต่ว่ามีคนที่มีคาถาอาคมแบบนั้นจริง ๆ เหรอ”
“พอเลย นี่เธอเป็นพยาบาลนะ เชื่อเรื่องพวกนี้ได้เหรอ”
เมื่อตอนเย็นเหลียงเฟิงเดินผ่านพยาบาลที่ยืนกันอยู่และเขาก็ได้ยินพวกพยาบาลคุยกัน เพียงแต่เมื่อพยาบาลเห็นเขาเดินผ่านมาก็พากันปิดปากเงียบ ไม่กล้าพูดมากความอีก เธอรู้จักเหลียงเฟิง เธอรู้ว่าเขาคือผู้ช่วยของคนใหญ่คนโตที่เป็นคนไข้ในห้องพักผู้ป่วยวีไอพี ดังนั้นท่าทีของเธอจึงดูระมัดระวังเป็นพิเศษ
เหลียงเฟิงยิ้มให้เธอ แต่ไม่ได้พูดอะไร เขาหันกายเดินไปทางอื่น
ห้องพักผู้ป่วยวีไอพีเป็นสถานที่ที่เงียบที่สุดในชั้นนี้ ดังนั้นยิ่งเดินเข้าไปด้านในก็ยิ่งเงียบ เขาเคาะประตู เมื่อได้ยินเสียงพูดดังออกมาจากด้านในจึงผลักประตูเปิด เขาเปิดแฟ้มในมือออก “ท่านประธานเฉิน นี่คือรายงานของสองวันมานี้ครับ”
ผู้ชายที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยหันมามองเขาแวบหนึ่ง ใบหน้าซีดขาวมีสีแดงเรื่ออย่างคนไม่สบาย “เอามานี่” พูดจบสามคำ เขาก็เริ่มไออย่างรุนแรง
“ประธานเฉิน หมอบอกแล้วว่าคุณต้องฟื้นฟูร่างกายอย่างสงบ” เหลียงเฟิงวางแฟ้มลงบนมือของอีกฝ่าย สีหน้าดูไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก
ชายผู้นั้นไม่สนใจเขา หลังจากพลิกเปิดแฟ้มแล้วก็เซ็นชื่อลงบนเอกสารฉบับหนึ่ง ส่วนอีกฉบับวางเอาไว้ข้าง ๆ
“สุขภาพผมก็เป็นอย่างนี้ละ จะฟื้นฟูร่างกายอย่างสงบหรือไม่สงบก็ไม่ต่างกัน” ริมฝีปากของชายผู้นั้นค่อนข้างซีด แต่ใบหน้ายังดูดีในระดับที่เห็นแล้วใจสั่น
เหลียงเฟิงรู้ว่าตัวเองพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงได้แต่เงียบ
เขามองความมืดมิดนอกหน้าต่าง อดคิดไม่ได้ว่าช่างเหมือนสวรรค์อิจฉาคนมีพรสวรรค์ ดังนั้นสวรรค์จึงประทานใบหน้าที่ทำให้คนนับไม่ถ้วนหลงรักแก่ประธานเฉิน ประทานชาติตระกูลที่ดี ตลอดจนความสามารถอันโดดเด่น แต่กลับไม่ได้ประทานสุขภาพที่แข็งแรงให้เขา
ชีวิตคนชาติหนึ่งยากงดงามสมบูรณ์ได้
คอมเมนต์