ตัดสินคนจากหน้าตาก็ต้องเจอแบบนี้ ตอนที่ 9
บทที่ 9
“ตาแก่ ผมเอาลิ้นเป็ดมาไหว้แล้วนะ อยู่บนฟ้าก็ช่วยดูแลหน่อยอย่าให้ผมโชคร้ายล่ะ” ฉีเยี่ยนวางลิ้นเป็ดตุ๋นจานหนึ่งเอาไว้หน้ารูปของอาจารย์ เขาไหว้รูปนั้นสามครั้งแล้วก็หันมามองดวงอาทิตย์เจิดจ้าข้างนอกในใจรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขากำลังจะเกิดขึ้น เขาดูดวงให้ตัวเองก็มองเห็นเพียงว่าเรื่องนี้จะร้ายแรงหรือไม่ อย่างอื่นเขาดูไม่ออกทั้งนั้น
ตั้งแต่เล็ก ๆ เขาได้รับการเลี้ยงดูมาให้มีนิสัยแบบที่ชอบประวิงเวลาไปเรื่อยโดยคิดว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยดี ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็โยนเรื่องนั้นไปข้างหลังซะ แล้วก็ออกไปจ่ายกับข้าว
เขตที่อยู่อาศัยที่เขาอาศัยอยู่มีตลาดสินค้าเกษตรใหญ่มาก ๆ อยู่แห่งหนึ่ง ทุกครั้งที่เขาไปตลาดเพื่อไปจ่ายกับข้าว ตาชั่งของเขาจะเต็มกว่าคนอื่นเสมอ ซื้อผักกำเล็ก ๆ ป้าคนขายก็จะแถมต้นหอมให้เขาอีกสองต้นเมื่ออาศัยใบหน้าที่ใครเห็นก็รักชอบนี้ ใบหน้าเขาก็เป็นที่รู้จักไปทั่วตลาด
แต่วันนี้เขาไปตลาดกลับพบว่าในตลาดมีไอสีดำเป็นสายเวียนวนอยู่เต็มไปหมด ไอสีดำเหล่านี้ไปทำให้บางคนแปดเปื้อนแล้ว บางคนเดินทะลุผ่านไอสีดำนี้ไปมาจนกระทั่งติดไอดำนี้ไปสายหนึ่ง เขาขมวดคิ้วมองไปรอบ ๆ ตลาดเพื่อจะหาที่มาของไอสีดำ แต่เสียดายที่คนมาซื้อกับข้าวตอนเช้ามากเกินไป ต่อให้เขาเขย่งเท้ามองก็มองไม่เห็นไปถึงด้านข้างตลาด
“เสี่ยวเยี่ยน มาซื้อกับข้าวเหรอ” คุณป้าวัยห้าสิบกว่าปีเจ้าของแผงข้าง ๆ เห็นฉีเยี่ยนก็หัวเราะฮา ๆ โบกมือให้เขา “ป้ารู้ว่าหนูชอบกินมะเขือเทศนี่มะเขือเทศสด ๆ ที่ป้าเก็บมาจากบ้านนอกแล้วเหลือเอาไว้ให้หนูเป็นพิเศษเลย ถ้าหนูไม่มา ป้าก็จะขายแล้ว”
“ขอบคุณครับ คุณป้า” ฉีเยี่ยนมองอีกฝ่ายหยิบถุงพลาสติกออกมาจากใต้แผง ข้างในมีมะเขือเทศสดมาก ๆ ทั้งลูกใหญ่ทั้งสีแดงสดสองสามลูก เขายิ้มจนตาปิดทันที ฉีเยี่ยนล้วงเงินออกมาเตรียมจะจ่าย เวลานี้เองเขาก็เห็นไอสีดำลอยมาถึงเจ้าของแผง จากนั้นก็มาพันข้อมือของเธอเอาไว้
สีหน้าของฉีเยี่ยนเปลี่ยนทันที พอเห็นเจ้าของแผงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น แถมยังพูดกับเขาต่อไปเรื่อย ๆ ว่ามะเขือเทศนั้นต้องเอาไปทำอะไรกินจึงจะได้รสชาติที่ดียิ่งขึ้นและได้สารอาหารมากขึ้น เขาก็ยิ้มแล้วจ่ายเงินให้อีกฝ่าย เมื่อรับถุงพลาสติกมาดูก็เห็นว่าข้างในมีต้นหอมเพิ่มมาอีกสองต้นตามเคย แล้วยังมีกระเทียมอีกสองกลีบด้วย
เขาขอบคุณป้าเจ้าของแผง จากนั้นก็เดินไปทางที่มีไอสีดำมากที่สุดต่อ เขาเดินไปถึงมุมด้านในสุด ที่นี่เป็นที่ที่พวกพ่อค้าแม่ค้ามาจอดรถเข็นของเอาไว้ ที่มาของไอสีดำคือตรงนี้
พอเห็นที่มุมกำแพงมีลวดลายเหมือนมีเด็กมาวาดเล่นเอาไว้ สีหน้าก็เปลี่ยนเล็กน้อย นี่มันของของพวกลัทธินอกรีตนี่เองหรือ!
หลายร้อยปีก่อนมีคนคนหนึ่งดวงไม่ดีจึงเชิญนักบวชลัทธินอกรีตจำนวนหนึ่งมาสวดมนต์เชิญโชคดีสี่ทิศ ปกติแล้วเมื่อนักบวชทำพิธีเหล่านี้จะเลือกมาตอนกลางดึก เพราะจะได้ไม่ดึงดูดความสนใจจากคนอื่น และจะได้ไม่ทำให้คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องถูกความชั่วร้ายโจมตีไปด้วย คนธรรมดานั้น หากถูกความชั่วร้ายโจมตีอย่างเบาก็คือล้มป่วย อย่างหนักก็อาจถึงแก่ชีวิต
ระยะหลังเนื่องจากพิธีแบบนี้ขัดต่อหลักเกณฑ์ของสวรรค์และเป็นการทำร้ายผู้ที่ถูกร่ายมนตร์ใส่อย่างมากด้วย ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีคนที่ทำพิธีเหล่านี้เป็นสักเท่าไหร่แล้ว แม้แต่ฉีเยี่ยนเองก็ยังแค่เคยเห็นยันต์เชิญดวงที่ตาแก่มีอยู่เท่านั้น ไม่เคยเรียนทำพิธีประเภทนี้
เพราะว่าตาแก่เคยบอกเอาไว้ว่า พิธีที่ทำร้ายผู้อื่นเพื่อขอโชคดวงให้ตัวเองนั้นคือการทำชั่ว นักบวชพวกนี้ สุดท้ายยากที่จะได้ตายดี
ฉีเยี่ยนไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าตนจะได้เห็นของแบบนี้ในสถานที่ที่มีคนอยู่มากมาย เพราะยิ่งเป็นสถานที่ที่มีคนอยู่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดเรื่องได้ง่ายเท่านั้น หากโชคดวงของคนที่นี่ถูกยืมออกไปอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้ง่าย อาจถึงขั้นทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย ปกติแล้วถ้าเป็นนักบวชที่มีมนุษยธรรมสักหน่อยก็คงไม่ทำเรื่องแบบนี้
ที่พอเหมาะพอดียิ่งกว่าก็คือ สถานที่แห่งนี้มีรถสามล้อไฟฟ้าสีแดงสามคันจอดอยู่ จัดเป็นตำแหน่งวงเวทเร่งโชคดวงได้พอดิบพอดี มันจะช่วยเร่งให้โชคดวงของคนที่นี่ไหลออกไปได้เร็วขึ้น
สามวันก่อนตอนที่เขามาซื้อกับข้าวที่นี่ยังไม่รู้สึกเลยว่าที่นี่มีอะไรผิดแปลกไป แสดงว่าวงเวทเร่งโชคดวงเพิ่งจะทำขึ้นในสามวันนี้เอง ฉีเยี่ยนผลักรถสามล้อสีแดงคันที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุดออก รถสามล้อคันนั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยอย่างที่เขาคิดเอาไว้
คุณปู่ที่คอยดูรถที่จอดอยู่ตรงมุมจ้องฉีเยี่ยนเขม็ง ประหนึ่งกำลังมองเจ้าหัวขโมยน้อยพยายามขโมยรถสามล้อ
สายตาแบบนั้นสร้างแรงกดดันให้ฉีเยี่ยน เขากระแอมสองครั้งแล้วก็ยกมือขึ้น แตะรถสามล้อสามครั้งติดกันแล้วก็กลั้นใจดึงหัวรถสามล้อนั้นแล้วผลักมันไปข้าง ๆ รถสามล้อส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วขยับออกไปยี่สิบสามสิบเซนติเมตร
คุณปู่คนดูรถเบิกตากว้างอ้าปากค้างมองฉากนี้อยู่ไม่ไกล นี่ดึงรถสามล้อด้วยมือเดียวรึ!
ฉีเยี่ยนหันไปมองคุณปู่คนดูรถแล้วก็ยิ้ม จากนั้นก็หันกายเดินออกจากที่นั่น
เรื่องแล้วผ่านเสร็จสิ้น ซ่อนฝีมือและนาม [1] เหลือทิ้งเพียงความตะลึงพรึงเพริดของคุณปู่ให้ยืนอึ้งอยู่กับที่
“อาจารย์!”
วัยรุ่นสองคนได้ยินเสียงของแตกดังออกมาจากในห้องก็เปิดประตูห้องด้วยความเป็นห่วง จึงเห็นอาจารย์นอนอยู่บนพื้น กระดิ่งในมือตกอยู่บนพื้นแตกออกเป็นสองเสี่ยง
“อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นคะ!”
คนที่นอนอยู่บนพื้นเอามือกุมอกแล้วกระอักเลือดออกมาคำใหญ่จากนั้นจึงพอจะมีแรงพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก เขามองกระดิ่งที่แตกออกเป็นสองเสี่ยงนั้นด้วยความรู้สึกทั้งเจ็บปวดและเจ็บแค้น “มีคนขยับวงเวทของข้า”
ศิษย์ทั้งสองตกใจนัก อาจารย์เคยบอกเอาไว้แล้วว่า พิธีร่ายมนตร์ยืมดวงเปลี่ยนดวงนี้แทบสูญหายไปแล้ว พวกเขาเลือกตลาดสินค้าเกษตรแห่งนั้นเพื่อการทำพิธีโดยเฉพาะก็เพราะว่าที่นั่นมากคนมากตา รถราจอดกันสะเปะสะปะเป็นเรื่องปกติ ต่อให้พวกเขาใช้ที่นี่ทำอะไรก็คงไม่มีใครสังเกตเห็น
แต่โลกนี้กลับมีเรื่องบังเอิญถึงขนาดนี้ได้ พิธียืมดวงเปลี่ยนดวงนี้พวกเขาทำเสร็จเมื่อวาน ผลคือเพิ่งจะผ่านไปคืนเดียวกลับมีคนทำลายวงเวท ทำลายสถานที่นั้นเสียแล้ว แม้แต่อาจารย์ก็ยังได้รับมนตร์สะท้อนกลับรุนแรงถึงขนาดนี้
“เมืองตี้ตูนี่มีพยัคฆ์หลับใหลมังกรเร้นกายอยู่จริง ๆ มีคนมีวิชา-อาคมปรากฏตัวขึ้นแล้ว” อาจารย์เช็ดเลือดที่มุมปาก ดวงตายาวเรียวหรี่ลงดูชั่วร้ายโหดเหี้ยมขึ้นอีกหลายส่วน “ต่อไปพวกเราจะทำอะไรคงต้องระวังให้มากหน่อยแล้ว”
“อาจารย์ ให้หนูพยุงอาจารย์ไปพักก่อนนะคะ” ศิษย์ทั้งสองคนนั้นคนหนึ่งเป็นหญิงสาวที่ดูสะสวยยิ่งนัก เธอประคองชายชราที่อยู่บนพื้นขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วถามไถ่อย่างเอาใจใส่ที่สุด
ศิษย์พี่เห็นดังนั้นก็แค่นเสียงเฮอะเบา ๆ ผู้หญิงคนนี้ช่างเสแสร้งเสียจริง จะเอาใจให้เป็นที่โปรดปรานของอาจารย์น่ะสิ!
ฉีเยี่ยนทำลายวงเวทนั้นแล้วก็ออกมาดูคนในตลาดอีกครั้ง ไอสีดำบนตัวของพวกเขาเบาบางลงไปไม่น้อยและยังมีทีท่าจะเบาบางลงเรื่อย ๆ อีกด้วย เขาจึงวางใจและไปซื้อกับข้าวที่ตัวเองต้องการก่อนจะกลับบ้าน
แต่ยังไม่ทันเดินออกจากประตูใหญ่ของตลาด เขาก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน ดูจากระดับภาษาที่ใช้แล้ว ทั้งสองฝ่ายน่าจะใกล้ทำร้ายร่างกายกันเต็มที
เขามองไปยังสองคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่ บนตัวของสองคนนี้มีไอสีดำล้อมรอบอยู่ชั้นหนึ่ง อีกทั้งอารมณ์ก็ไม่มั่นคงอย่างมาก
ไม่รู้ว่าหนึ่งในนั้นพูดอะไร อีกคนจึงโกรธจนขาดสติแล้วไปยกตัวเด็กที่ยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่ายขึ้นสูง จากนั้นก็ทำท่าจะโยนลงพื้น
“อ๊า!”
เด็กน้อยได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากรอบทิศ เขาเบะปากแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง จึงพบว่าตนนอนอยู่ในอ้อมแขนของพี่ชายคนหนึ่งพี่ชายคนนั้นกำลังยิ้มตาปิดให้เขาอยู่
“สุดหล่อ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”
เด็กน้อยสูดจมูก ปากที่เบะออกกลับไปเป็นปกติ เขาไม่ได้ร้องออกมา
ฉีเยี่ยนวางเด็กลง เขาลูบไหล่ตัวเองที่ถูกกระแทกจนเจ็บแล้วก้มลงมองผักกับเนื้อที่ตัวเองปล่อยทิ้งลงพื้นไป จึงพบว่ามะเขือเทศกลิ้งกระจัด-กระจาย ถุงที่ใส่มะเขือเทศก็ไม่รู้ไปไหนแล้ว
คนที่มุงอยู่รอบ ๆ เพิ่งจะได้สติ พ่อแม่ของเด็กมาขอบคุณฉีเยี่ยนไม่หยุด ทั้งยังบอกว่าจะพาเขาไปส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจไหล่ที่ถูกกระแทกคนที่มุงรอบ ๆ ต่างช่วยเขาเก็บของบนพื้น ไม่เพียงช่วยเอาของใส่กลับเข้าไปในถุง แต่ยังยัดขาไก่ใส่ถุงเพิ่มมาให้ด้วย
ผู้ชายร่างกายกำยำสองสามคนจับผู้ชายที่โยนเด็กลงพื้นเอาไว้เพื่อรอให้ตำรวจมา แม้ว่าสถานที่เกิดเหตุจะวุ่นวายล้งเล้ง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหลาย ๆ คนมีจิตใจโอบอ้อมอารี
ฉีเยี่ยนหิ้วถุงพลาสติกที่มีขาไก่เพิ่มมาอีกขาหนึ่ง คุณป้าหลายคนถามไถ่เขาด้วยความเป็นห่วง เขายืนยันอยู่หลายครั้งว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรแม้แต่น้อย ทุกคนจึงค่อยวางใจ พ่อของเด็กล้วงกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาหยิบเงินที่อยู่ในกระเป๋านั้นออกมาทั้งหมด แม้แต่แบงก์ย่อยที่พับ ๆ อยู่ก็เอาออกมาด้วย จากนั้นก็ยัดใส่มือฉีเยี่ยน
“พ่อหนุ่ม ครั้งนี้ต้องขอบคุณเธอมากจริง ๆ ขอบคุณเธอมาก ๆ นะ!” พ่อของเด็กยังเสียงสั่นอยู่ด้วยซ้ำ เขาจับมือฉีเยี่ยนเอาไว้แน่นแล้วก็โค้งคำนับหลายต่อหลายครั้ง เหลือแค่ไม่ได้คุกเข่าให้ฉีเยี่ยนเท่านั้น แม่ของเด็กอุ้มลูกมองมา ตาของเธอแดงไปหมด
มีเพียงเด็กน้อยเท่านั้นที่มองพ่อแม่ตนอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าตนเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ไม่คาดฝันแบบใดมา
“ผมก็แค่ช่วยไปตามเรื่องตามราวน่ะครับ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ฉีเยี่ยนยิ้มให้เด็ก เขาเอาเงินในมือคืนให้สองสามีภรรยา แต่สองสามีภรรยายืนยันจะไม่รับคืน ฉีเยี่ยนก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่ยัดเงินใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อตัวนอกของเด็ก
เด็กน้อยกอดคอแม่ เขาหน้าแดงเอ่ยขอบคุณฉีเยี่ยนเสียงเบา
ฉีเยี่ยนหัวเราะเบา ๆ ออกมา เขายื่นมือไปลูบศีรษะเด็กน้อย “เด็กดีต่อไปหนูก็จะมีชีวิตสงบสุขแล้วละ”
เมื่อเสร็จเรียบร้อย ฉีเยี่ยนก็ใช้โอกาสที่พ่อแม่เด็กไม่ทันสังเกตหันกายเดินฝ่าฝูงชนออกไป เขาวิ่งออกไปโดยไม่หันหลังกลับ ไม่วิ่งไม่ได้เพราะพวกคุณลุงคุณป้าใจดีกันมาก ใจดีเสียจนเขารับเอาไว้ไม่ไหวแล้ว
“คุณเฉินคะ นี่คืออาหารบำรุงของคุณวันนี้ค่ะ” พยาบาลยกอาหารเย็นเข้ามา เธอเห็นเขาพยักหน้าเล็กน้อยจึงวางถาดไว้บนโต๊ะที่ใช้วางกับเตียงผู้ป่วยแล้วค่อย ๆ ถอยกลับออกไปจากห้องพักผู้ป่วยอย่างเบาที่สุด
เฉินไป่เฮ่อมองอาหารที่เห็นแล้วหมดความอยากเหล่านั้นแวบหนึ่งเขาหยิบรีโมตข้างกายขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ที่แขวนอยู่ตรงผนัง
ละครน่าเบื่อ ไม่มีข่าวบันเทิงอะไรใหม่ ๆ แล้วก็มีแต่โฆษณาบ้าบออะไรไม่รู้ เฉินไป่เฮ่อเปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็หยุดลงที่ช่องท้องถิ่นช่องหนึ่ง
ช่องนี้ทุกวันตอนสองทุ่มครึ่งจะฉายข่าวภาคค่ำตรงเวลา เนื้อหาข่าวมีแต่เรื่องเล็ก ๆ จำพวกบ้านนั้นไก่หาย บ้านนี้ชามหาย มีใครซื้อของเก๊มาบ้าง หรือว่ามีใครเก็บเงินเก็บทองได้บ้างอะไรทำนองนั้น แต่กลับได้รับความนิยมชมชอบจากชาวบ้านมากมาย เรตติ้งก็ไม่เลวเลย
ดังนั้นตอนที่เฉินไป่เฮ่อกำลังกินโจ๊ก เขาก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นภาพข่าวจากกล้องวงจรปิดที่เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มคนหนึ่งช่วยเหลือเด็กเอาไว้ได้อย่างมีไหวพริบ
ในกลุ่มคนวุ่นวายนั้น เด็กหนุ่มที่สวมเสื้อยืดสีขาวพุ่งทะลุฝูงชนเข้าไปรับตัวเด็กเอาไว้ ทำให้ยิ่งโดดเด่นเห็นได้ชัด
ภาพจากกล้องวงจรปิดเพียงไม่กี่สิบวินาทีนั้นฉายจบอย่างรวดเร็วจากนั้นก็เป็นภาพนักข่าวมาสัมภาษณ์เหล่าพ่อค้าแม่ขายในตลาด ตลอดจนถึงพ่อแม่ของเด็กคนนั้น
คอมเมนต์