ตัดสินคนจากหน้าตาก็ต้องเจอแบบนี้ ตอนที่ 1
บทที่ 1
เมืองตี้ตู ยามปลายเดือนมิถุนายนก็เหมือนอยู่ในลังถึงบนกองฟืนคือร้อนจนแทบหายใจไม่ออก ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ของปี ผู้คนก็จะอารมณ์ร้อนเป็นพิเศษ ราวกับว่าอุณหภูมิสูงเป็นกุญแจเปิดให้อารมณ์รุนแรงออกมามันทำให้พวกเขาระเบิดอารมณ์ได้ทุกนาที
“ขับรถเป็นรึเปล่า เป็นรึเปล่า!”
“จะตะโกนทำไม ตะโกนหาใครฮะ นี่ฉันขับรถไม่เป็นหรือว่าแกขับรถไม่เป็นกันแน่!”
ผู้ชายสองคนจ้องกันไปจ้องกันมา หลังจากทำสงครามน้ำลายกันอยู่หลายนาที พวกเขาก็ทนให้แดดเผาไม่ไหวจริง ๆ มองกันไปมองกันมาแล้วก็ตกลงใจไปหลบใต้ร่มไม้ข้างถนน
เพราะร่มไม้มีพื้นที่จำกัด ทั้งสองจึงยืนอยู่ใกล้กันมาก พวกเขาต่างเหลือบไปแลมา ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าทะเลาะกันต่อไม่ออกแล้ว
“ป้าบ!” ทั้งคู่ได้ยินเสียงตบมือดังมาจากด้านหลัง พวกเขาหันกลับไปมองพร้อมกันจึงเห็นว่าใต้ร่มไม้ข้าง ๆ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ ใบหน้าขาว ตากลม ผมหยักศกเล็กน้อยตามธรรมชาติ มือซ้ายถือถ้วยไอศกรีมที่ละลายไปแล้วครึ่งหนึ่ง มือขวากำลังไล่ยุงที่ตอมอยู่ที่ขา
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาเห็นพวกเขาก็เพียงแต่ยิ้มไม่พูดอะไร แก้มทั้งสองบุ๋มลงไปเป็นลักยิ้ม ดูท่าทางเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยขี้อายคนหนึ่ง
เห็นเด็กหนุ่มยิ้มให้อย่างนี้ อารมณ์โกรธเสี้ยวสุดท้ายในใจของคนขับรถทั้งสองก็อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งสองมองกันและกันครั้งหนึ่งแล้วคนขับรถที่รูปร่างค่อนข้างอ้วนก็เอ่ยขึ้นก่อน “น้องชาย ร้อนขนาดนี้มานั่งรออะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ”
เด็กหนุ่มก้มลงเก็บป้ายไม้ที่ตนวางเอาไว้ตรงรากต้นไม้แล้วยื่นส่งมาตรงหน้าทั้งสอง “พี่ชายทั้งสอง ดูดวงหน่อยมั้ยครับ”
คนขับรถที่ค่อนข้างผอมยื่นหน้ามาดู สิ่งที่อยู่ตรงนั้นมีเพียงป้ายไม้เก่าสีดำขนาดเท่าฝ่ามือผู้ชาย มีตัวหนังสือเขียนด้วยมือว่า “ทำนายแม่นมั่นทุกเดือนสามดวง ใจสัตย์แม่นยำ ชะตาต้องกันทำนายได้”
นี่ก็ชัดเจนมากแล้ว ถ้าทำนายไม่แม่นก็เพราะว่าใจไม่ซื่อตรง เดือนหนึ่งจำนวนครั้งที่ดูดวงจะเกินดวงไปสักหน่อยก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสีย หากมีวาสนาก็สามารถดูดวงได้มากหน่อย วัยรุ่นสมัยนี้จะไม่มีน้ำอดน้ำทนกันเกินไปแล้ว จะหลอกใครก็ไม่รู้จักใส่ใจสักหน่อย
แต่การมาพบกันในวันที่ร้อนระอุเช่นนี้ก็ถือว่ามีชะตาต่อกัน พวกเขาทะเลาะกันขนาดนี้ แต่คนมามุงดูยังไม่มีสักคน ทำให้เห็นได้ว่าวันนี้มันร้อนขนาดไหน คนขับรถร่างผอมเช็ดเหงื่อบนใบหน้า “น้องชาย เดือนนี้ดูไปกี่ดวงแล้วล่ะ”
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือนมิถุนายน หรือว่าทุกเดือนสาม ดวงของเขานี่ยังไม่ครบอีก ถ้าอย่างนั้นธุรกิจนี้มันก็น่าหดหู่จริง ๆ แล้ว
ไอศกรีมในมือของเด็กหนุ่มละลายไปเกือบหมดแล้ว เขาโยนป้ายไม้ไปส่ง ๆ แล้วก็ก้มหน้ารีบกินไอศกรีมลงท้องไปให้หมด จากนั้นหันกายโยนถ้วยไอศกรีมไปอีกทาง มันลอยเข้าไปในถังขยะที่อยู่ห่างจากเขาไปสองเมตร
“เดือนนี้ยังเหลืออีกดวงหนึ่ง พี่ชายทั้งสองมีใครสนใจบ้างไหมล่ะ” เด็กหนุ่มดึงทิชชูเปียกที่ยังไม่ได้แกะห่อออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาดึงมันออกมาจากห่อแล้วก็เอามาเช็ดปากเช็ดมือ ไม่รีบร้อนโน้มน้าวให้ทั้งสองเชื่อตนแต่อย่างใด จากนั้นก็หันไปโยนทิชชูเปียกใช้แล้วลงถังขยะ
“น้องชาย เธออายุยังน้อย ทำไมถึงได้…” ทำไมถึงได้มาทำอาชีพด้านนี้ล่ะ
คนขับรถร่างอ้วนเห็นเด็กหนุ่มแต่งกายสะอาดสะอ้านและยังวัยรุ่นอยู่แต่กลับมาทำอาชีพต้มตุ๋นแบบนี้ จึงไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีกว่านี้จริง ๆ
เด็กหนุ่มคนนี้นิ่งสงบมากเป็นพิเศษ เมื่อได้ยินคนขับรถร่างอ้วนเอ่ยดังนั้น สีหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย เขาเพียงยิ้มตาหยีมองคนขับรถทั้งสอง ลักยิ้มข้างแก้มเผยให้เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ทำให้คนที่มองรู้สึกในแง่ลบต่อเขาไม่ลงจริง ๆ
“ดูดวงครั้งหนึ่งเท่าไหร่ล่ะ” คนขับรถร่างผอมถาม
เด็กหนุ่มกางมือยื่นออกมา
“ห้าสิบเหรอ”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า “ห้าร้อย”
คนขับรถร่างผอมสีหน้าเปลี่ยน เขาเอ่ยอย่างรู้สึกช่วยไม่ได้ “น้องชายไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อเธอนะ แต่ห้าร้อยนี่ก็แพงไป” ถ้ากลับไปเอาบัญชีให้ภรรยาดูแล้วบอกว่าเขาเอาเงินห้าร้อยหยวนไปดูดวง ภรรยาจะเชื่อหรือ
ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกว่าหากไม่ใช่เพราะไอ้หนุ่มนี่หน้าตาดูไม่มีพิษมีภัยละก็ มาทำอะไรแบบสิงโตอ้าปากกว้าง [1] อย่างนี้ เขาคงกลอกตาใส่แล้วหันหลังเดินหนีแน่
เด็กหนุ่มยิ้มแย้มไม่พูดอะไร ไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อกับคนขับรถร่างผอมว่าตัวเองดูดวงแม่นมาก และก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองจะยอมลดราคาให้ราวกับว่าคนที่บอกจะดูดวงให้เมื่อครู่นี้ไม่ใช่เขา แต่เป็นคนอื่น
ทั้งสามไม่ได้พูดคุยกันอีก บรรยากาศเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนยากจะเอ่ยปกคลุมอยู่บางเบา
หลังผ่านไปสองนาที คนขับรถร่างอ้วนก็มองรอยยุงกัดเป็นตุ่มสีแดงสองสามรอยบนขาของเด็กหนุ่ม เขาลูบกระเป๋าสตางค์ตัวเองแล้วก็ควักธนบัตรสีแดงสามใบออกมายัดใส่มือเด็กหนุ่ม “น้องชาย อาชีพแบบนี้ไม่ดีหรอก กลางวันแสก ๆ อย่างนี้ อากาศร้อนมาก เธอรีบกลับบ้านไปพักผ่อนแล้วก็ค่อยหาอาชีพจริง ๆ จัง ๆ ทำเถอะ อย่าทำงานนี้อีกเลย”
ดูไปแล้ว ลูกของเขาน่าจะอายุน้อยกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เท่าไหร่หมอนั่นยังนอนตากแอร์เล่นเกมอยู่บ้านด้วยซ้ำ แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับออกมาทำงานแบบนี้ข้างนอก ถ้าเป็นครอบครัวธรรมดาฐานะดีละก็ หัวหน้าครอบครัวที่ไหนจะยอมให้มาลำบากอย่างนี้ล่ะ
หลังเอ่ยประโยคพวกนั้น สีหน้าของเขาก็เริ่มดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ฉันไม่ดูดวงหรอก เงินนี่เธอเอาไปใช้เถอะ”
เด็กหนุ่มมองธนบัตรร้อยหยวนสามใบในมือแล้วก็ยิ้ม เขาเก็บป้ายไม้เก่าสีดำขึ้นจากพื้น จากนั้นก็เอ่ย “พี่ชายใจดีจัง วันนี้ผมคงต้องแหกกฎตัวเองเสียแล้ว”
คนขับรถร่างผอมเห็นสีหน้าจริงจังเช่นนั้นก็ได้แต่หัวเราะเหอะ ๆ แล้วว่า “ดูก็ได้ ดูก็ได้ ดูเสร็จแล้วรีบกลับบ้านไปพักผ่อนล่ะ”
“ชาตินี้พี่ชายเกิดมาด้วยความคาดหวังของพ่อแม่ ได้รับความรักความเอ็นดูอย่างสุดหัวใจจากพ่อแม่มาแต่เล็ก แต่งงานเมื่ออายุยี่สิบห้ารักใคร่กับภรรยาของพี่ชายเป็นอย่างดี ชีวิตนี้มีเพียงลูกชายไร้ลูกสาวถูกหรือเปล่า” เด็กหนุ่มนั่งพิงรากไม้เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนลมพัดเย็นสดชื่น ฟังแล้วรู้สึกชื่นมื่นเป็นสุข
แต่ในใจของคนขับรถร่างอ้วนกลับตื่นตระหนกยิ่งนัก เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายทำนายทายทักมานั้นตรงเกินไปแล้ว ตอนแรกพ่อแม่ของเขาแต่งงานหลายปีก็ยังไม่มีลูกเสียที ภายหลังมีเขาออกมาในที่สุด จึงรักเขามากสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเขาได้รู้จักกับภรรยาคนปัจจุบัน หลังเรียนจบไม่ถึงสองปี พวกเขาจึงแต่งงานกันและมีลูกชายด้วยกันคนหนึ่ง
คนขับรถร่างผอมเห็นคนขับรถร่างอ้วนมีสีหน้าตื่นตระหนก ความรู้สึกช่วยไม่ได้ในใจก็ยิ่งชัดเจน ตอนนี้พวกหมอดูมักจะชอบเล่นแบบนี้บอกว่าตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ คุณเป็นอย่างไรบ้าง คนในครอบครัวเป็นอย่างไรที่จริงแค่เป็นคนช่างสังเกตก็สามารถทำนายส่วนหนึ่งเอาจากคำพูดและกิริยาท่าทางของอีกฝ่ายได้แล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการดูดวงแม้แต่น้อย
ตอนที่คนขับรถร่างผอมคิดว่าอีกฝ่ายจะโม้อะไรอีกมากมายเพื่อทำให้คนอื่นเชื่อใจนั้นเอง เด็กหนุ่มก็กลับไม่พูดอะไรอย่างอื่นอีก
“ไม่มีชะตาของใครงดงามสมบูรณ์ไปเสียทุกอย่างหรอกครับ คนที่งดงามสมบูรณ์ได้ถึงเก้าส่วนก็ได้รับความรักล้นฟ้าไปแล้ว” สายตาของเด็กหนุ่มกวาดไปถึงใบหน้าของคนขับรถร่างอ้วน “ถ้าพี่ชายเชื่อผมละก็วันนี้ตอนกลับบ้านก็ลองเปลี่ยนเส้นทางดูนะครับ จะเลี่ยงเคราะห์ใหญ่ได้”
เมื่อพูดจบ เขาก็ถือป้ายไม้ในมือกับเงินสามร้อยหยวน รักษามาดคนลึกลับเอาไว้แล้วก็เดินช้า ๆ ออกไปจากระยะสายตาของทั้งสอง
คนขับรถร่างผอม : ถนนสายนี้ดูท่าจะมีอะไรไม่ค่อยดี…
แต่เขาไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนแล้ว เพราะตำรวจจราจรกำลังรุดมาและเริ่มจัดการเรื่องอุบัติเหตุรถชน แต่เพราะอยู่ใต้ร่มไม้หลบแดดด้วยกันมาแล้วทำให้ทั้งสองต่างถอยคนละก้าว เรื่องก็จบลงได้อย่างรวดเร็ว
หลังยุ่งอยู่ข้างนอกทั้งวัน เมื่อคนขับรถร่างอ้วนจะกลับบ้านก็เลยสามทุ่มไปแล้ว เพราะรถถูกส่งไปซ่อม เขาจึงได้แต่นั่งรถเมล์กลับบ้านหลังลงจากรถเมล์และเตรียมเดินทะลุซอยนั้นเอง เขาก็สะดุดก้อนอิฐบนพื้น เมื่อนั้นจึงนึกถึงเด็กหนุ่มมีลักยิ้มที่พบกันเมื่อตอนกลางวันขึ้นมา
เขามองซอยเล็ก ๆ ร้างไร้ผู้คนแล้วก็ลังเลอยู่สองวินาที สุดท้ายก็หันกายเตรียมกลับบ้านโดยเดินอ้อมไป
เดินไปไม่กี่ก้าว จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงดังสนั่นมาจากในซอย คล้ายมีของหนักบางอย่างตกลงมา ใจเขาสั่นสะท้าน รีบหันกายวิ่งกลับไปแล้วก็ต้องนิ่งงันเพราะภาพในซอยนั้น
ตรงที่ที่ห่างจากปากซอยไปไม่เท่าไหร่ มีพวกปูนกับอิฐมากมายท่าทางจะเป็นระเบียงบ้านของใครสักคนหล่นลงมาทั้งระเบียง
ถ้าเมื่อกี้เขาเดินผ่านเส้นทางนี้ละก็…
ในค่ำคืนฤดูร้อนอันร้อนระอุนี้ เขาอดรู้สึกหนาวยะเยือกไม่ได้
“เฉียนเฉียน นายคือพ่อแม่ที่เกิดใหม่ของพวกเรา!”
“ใช่ ๆ ๆ เราจะรักนายไปหมื่นปีเลย”
“ไสหัวไป ฉันไม่รักนาย” ฉีเยี่ยนเดินหนีรูมเมทที่มาเกาะติดตัวเองไปอีกทางอย่างรังเกียจ จากนั้นก็นำอาหารเย็นที่ตัวเองเอากลับมาฝากพวกเขาไปวางไว้บนโต๊ะ “พวกนายแบ่งกันเองแล้วกัน ฉันไปอาบน้ำละ”
พวกรูมเมทมองเขาล้วงเอาป้ายไม้ออกมาจากตัวด้วยสายตานิ่งเฉยพวกเขาชินแล้วเรื่องที่บางครั้งฉีเยี่ยนก็ออกไปแกล้งทำตัวเป็นคนมีพลังวิเศษแบบนั้น
เมื่ออาบน้ำเสร็จออกมา สามคนที่อยู่ในห้องก็กินอาหารเย็นหมดเกลี้ยงเรียบร้อย กลิ่นกับข้าวเต็มห้องไปหมด เขายื่นขาออกไปเตะม้านั่งที่ขวางอยู่ไปข้าง ๆ แล้วก็เดินไปนั่งตรงโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง เปิดคอมพิวเตอร์ บริจาคเงินสามร้อยหยวนให้องค์กรการกุศลอะไรสักอย่าง
อาจารย์เคยสอนไว้ ทุกเดือนต้องดูดวงให้คนอื่นสามดวง เงินที่ได้จากการดูดวงสามครั้งนี้จะใช้เพื่อตัวเองไม่ได้ ต้องใช้ทำบุญเท่านั้น
“วันมะเรื่องฉันต้องกลับบ้านเกิดแล้ว” รอยยิ้มของพี่ใหญ่ดูฝืน ๆ เล็กน้อย “ที่บ้านเตรียมหางานเอาไว้ให้ฉันแล้ว เงินเดือนไม่สูง แต่มั่นคง” เขาไม่ได้ไม่พอใจกับการจัดการของที่บ้านขนาดนั้น เพียงแต่อีกไม่นานจะต้องจากพี่น้องไปก็อดอาลัยอาวรณ์ไม่ได้
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ทั้งสี่ก็เงียบไป
พวกเขาสี่พี่น้องใช้ชีวิตอยู่หอเดียวกันมาสี่ปี ตอนนี้ต้องแยกย้ายกันไปใครจะร่าเริงอยู่ได้
“พรุ่งนี้พวกเราพี่น้องจะออกไปกินข้าวมื้อใหญ่ ฉันเลี้ยงเอง!” หวังหังจัดเป็นพี่ใหญ่อันดับสามในบ้านนี้ เขาเป็นคนพื้นถิ่นตี้ตู สถานะทางบ้านก็ร่ำรวย “รวยแล้วอย่าลืมเพื่อนฝูง!”
“ได้ พรุ่งนี้ไปกินมื้อใหญ่กัน”
“ไม่กินของมีประโยชน์ กินแต่ของแพง!”
ฉีเยี่ยนปิดคอมพิวเตอร์ “ดื่มชาต้าหงผาวจากเขาอู่อี๋สักสองสามถ้วยก่อน หลังจากนั้นค่อยสั่งเป๋าฮื้อหายากแบบทั้งตัวมาสักชุด พวกนายคิดว่าไง”
“เฉียนเฉียนพูดมีเหตุผล ดีที่สุดคือสั่งมาเพิ่มอีกสักสองสามชุดกินไม่หมดห่อกลับบ้านมากินเป็นมื้อดึกก็ได้”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องกิน บรรยากาศในห้องนอนก็ผ่อนคลายลงในที่สุด
ถ้าพูดถึงคนจีนผู้ตรากตรำทำงานและกล้าหาญแล้ว ไม่มีอะไรที่อาหารเลิศรสจะใช้แก้ปัญหาไม่ได้ ถ้ามื้อเดียวแก้ไม่ได้ก็กินไปสองมื้อ
พี่น้องพูดคุยกันจนดึกดื่นจึงเข้านอน ก่อนเข้าฤดูจบการศึกษาพวกเขาชาวหอพักทั้งสี่นั้น บางคนก็กลับบ้าน บางคนอยู่ทำวิจัยต่อ บางคนกลับไปสืบทอดกิจการที่บ้าน แต่ละคนก็เลือกเส้นทางไม่เหมือนกัน
ฉีเยี่ยนพลิกตัวอยู่บนเตียงแล้วก็หลับไป หลังจากนั้นก็ฝันขึ้นมาอย่างรางเลือน
ข้างหูมีคนพูดกับเขาไม่หยุด จากนั้นก็ตบหน้าผากเขาครั้งหนึ่ง
“ฮื่อ!”
ฉีเยี่ยนลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างแรง ในห้องยังมีแต่เสียงหึ่ง ๆ ของเครื่องปรับอากาศ เสียงดัง ทว่าความเย็นไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ ปรับให้เป็นยี่สิบสี่องศากลับได้มาแค่ยี่สิบเจ็ดองศาเท่านั้น เขาหาว จากนั้นก็ลูบหน้าผากตัวเอง แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างที่ท้องฟ้ายังไม่สว่าง จากนั้นก็หดตัวกลับเข้าไปในผ้าห่มเพื่อนอนต่อ
นอกหน้าต่าง ดวงจันทร์ครึ่งซีกสว่างทะลุชั้นเมฆ แสงสว่างของดวงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ปกคลุมร่างที่หลับลึกของฉีเยี่ยนเป็นรัศมีเรื่อเรือง
คอมเมนต์