ตัดสินคนจากหน้าตาก็ต้องเจอแบบนี้ ตอนที่ 16
บทที่ 16
ชมดอกไม้ ในม่านหมอกดอกไม้ยิ่งดูงาม มองคนจากระยะไกลคนยิ่งดูดี เฉินไป่เฮ่อที่ยืนอยู่กลางแมกไม้นั้นร่างสูงยาวงดงาม ใบหน้าเหมือนดารา เมื่อยืนอยู่ตรงนั้นก็แทบจะกลายเป็นภาพวาด
“คุณชายห้า” เมื่อบอดี้การ์ดที่ตามหลังคุณชายใหญ่เฉินมองเห็นเฉินไป่เฮ่อ สีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้น พวกเขารีบวิ่งไปรับ
ฉีเยี่ยนมองคนสี่คนที่ติดตามหลังเฉินไป่เฮ่อมาแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองบอดี้การ์ดที่รีบวิ่งไปรับอย่างร้อนรน ท่าทีที่คนบ้านนี้แสดงออกต่อท่านห้าเฉินช่างเหมือนกับกำลังปรนนิบัติสิ่งล้ำค่า ในสายตาของเขาท่านห้าเฉินคนนี้นอกจากสุขภาพไม่แข็งแรงแล้ว บุคลิกท่าทางก็ดูดีมากทีเดียว เพียงยืนเฉย ๆ ไม่พูดอะไรก็ทำให้คนไม่อาจละเลยได้แล้ว
เฉินไป่เฮ่อไม่ได้มองบอดี้การ์ดที่ล้อมหน้าล้อมหลังตนอยู่เลย สายตาของเขากวาดไปยังคนหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายพี่ใหญ่ ฝ่ายนั้นเอามือไพล่ไว้ด้านหลัง ท่าทางดูลึกซึ้งมิอาจหยั่งกับใบหน้าที่เหมือนตุ๊กตาช่างไม่เข้ากันโดยสิ้นเชิง
“อาจารย์ฉี” เฉินไป่เฮ่อเดินเข้ามาใกล้ เขามายืนข้างกายฉีเยี่ยนแล้วก้มลงมองทิวทัศน์ตรงตีนเขา ที่ไม่ไกลยังมีแม่น้ำคดเคี้ยวไหลผ่าน ทั้งสงบและสวยงาม
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกตัวเอง ฉีเยี่ยนก็ยิ้มตอบไป
“อาจารย์ ปีนี้อายุเท่าไหร่ครับ” เฉินไป่เฮ่อน้ำเสียงเรียบนิ่ง แม้คำถามนี้จะดูกะทันหันไปบ้าง แต่สีหน้าของเฉินไป่เฮ่อดูจริงจังมาก ทำให้รู้สึกว่าคำถามนี้สำคัญกับเขามาก
“ยี่สิบสองครับ” ฉีเยี่ยนถามกลับ “ท่านห้าเฉินล่ะครับ”
เฉินไป่เฮ่อคล้ายไม่คิดมาก่อนว่าฉีเยี่ยนจะถามกลับด้วยคำถามนี้ดวงตาของเขาสั่นเล็กน้อย “ผมแก่กว่าคุณเจ็ดปี”
คุณชายใหญ่เฉินได้ยินบทสนทนาระหว่างน้องชายกับท่านอาจารย์ฉีผู้นี้ ในใจก็รู้สึกอะไรบางอย่างที่ยากจะเอ่ยเป็นคำพูด เขานึกถึงว่ามีหมอดูหลายคนเคยบอกเอาไว้ว่า ถ้าน้องชายของเขามีชีวิตอยู่เกินอายุสามสิบห้าก็แสดงว่าได้รับความเมตตาจากสวรรค์มากแล้ว เขารู้สึกว่าการที่น้องชายมีอายุเพิ่มขึ้นในแต่ละปีเป็นการทรมานพวกเขาอย่างบอกไม่ถูก
เฉินไป่เฮ่อบอกอายุตัวเองเรียบร้อยก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ยังหนุ่มนี่ดีเสียจริง”
คุณชายใหญ่เฉินเกือบจะร้องไห้
“คุณเฉินก็ยังหนุ่มนัก” ฉีเยี่ยนหัวเราะ “จะมาชมผมทำไมล่ะครับ”
เฉินไป่เฮ่อหัวเราะเสียงเบา ครู่หนึ่งก็โพล่งถามขึ้น “คำล้อเล่นของอาจารย์ฉีพูดได้ไม่เลวเลยจริง ๆ”
ลมภูเขาพัดผ่าน ฉีเยี่ยนหรี่ตา เขาเบิกตาขึ้นมองเฉินไป่เฮ่ออีกครั้งใบหน้าของเฉินไป่เฮ่อมีความรู้สึกเหมือนมองเห็นทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งปรากฏอยู่อย่างเลือนราง ดวงตาดูคล้ายน้ำนิ่งในสระ
เขาเบือนสายตาออกแล้วหัวเราะเบา ๆ “คุณเฉินครับ ผมไม่เคยล้อเล่นกับคนแปลกหน้า”
เฉินไป่เฮ่อมองเขานิ่ง ๆ นานทีเดียวกว่าจะเอ่ย “ผมคิดว่าผมนั่งรถคันเดียวกับอาจารย์ฉีจะนับเป็นคนรู้จักกันแล้วเสียอีก”
ฉีเยี่ยนยิ้มพลางส่ายหน้า เขายื่นมือออกมาคว้ากลางอากาศแล้วก็แบมือตรงหน้าเฉินไป่เฮ่อ “เวลาก็เหมือนกับลม ไม่ว่าอย่างไรก็คว้าเอาไว้ไม่ได้ แต่ยามคุณแบมือออกดูทำไมถึงไม่เคยคิดบ้างล่ะครับว่า ลมก็อยู่ในมือของคุณนั่นแหละ”
เฉินไป่เฮ่อมองมือของฉีเยี่ยนแล้วก็ไม่พูดอะไร
ฉีเยี่ยนหัวเราะ “คุณเฉิน ยื่นมือมาหน่อยครับ”
เฉินไป่เฮ่อมองเขาแวบหนึ่งแล้วก็ค่อย ๆ แบมือ ฝ่ามือของเขาขาวซีดผอมแห้ง ลายมือชัดเจน คือมีเพียงเส้นชีวิตเท่านั้นที่ขาดตอน หลังจากนั้นก็กลายเป็นเส้นเลือน ๆ ไป
ตอนที่เขาอายุแปดขวบ ตาแก่เคยพูดกับเขาไว้ว่า หากได้พบคนที่มีพื้นดวงกำเนิดสูงค่าจนส่งผลเสีย ให้ช่วยเหลือเขาเป็นการทำคุณความดี
ตอนที่คุณชายใหญ่เฉินคิดว่าฉีเยี่ยนจะพูดอะไรนั้นเอง ฉีเยี่ยนก็กลับไม่พูดอะไร นิ้วของเขาวาดไปบนเส้นชีวิตของเฉินไป่เฮ่อ และรู้สึกได้ถึงแรงต้านที่ผลักมือของเขาออก
ครู่ต่อมาเขาก็เก็บมือกลับไป หดนิ้วชี้ที่สั่นน้อย ๆ นั้นกลับไปด้วยจากนั้นจึงหันมาเอ่ยกับคุณชายใหญ่เฉินว่า “คุณเฉิน บนเขาลมแรงพวกเราไปดูในบ้านกันเถอะครับ”
คุณชายใหญ่เฉินอยากจะพูดประโยคนี้นานแล้ว เพราะกลัวว่าน้องชายจะโดนลมจนเป็นหวัด พอเขาได้ยินฉีเยี่ยนพูดว่าจะลงเขาก็รีบตอบตกลงทันที
เฉินไป่เฮ่อก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าเมื่อครู่ขณะที่คนหนุ่มแซ่ฉีคนนั้นยื่นมือมาถูกฝ่ามือของเขา ฝ่ามือของเขาคล้ายมีกระแสเย็น ๆ สายหนึ่งไหลเข้ามา
บ้านเก่าของตระกูลเฉินเป็นบ้านซื่อเหอย่วน [1] เก่าแก่แบบดั้งเดิมที่สุดแต่เพราะตระกูลเฉินอนุรักษ์ตัวอาคารหลักของบ้านเอาไว้เป็นอย่างดีและระมัดระวังมาตลอด ดังนั้นแม้ว่าบ้านหลังนี้จะมีประวัติศาสตร์กว่าร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังมองแล้วรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ของความโบราณ ไม่ใช่ความเก่าคร่ำคร่า
ฉีเยี่ยนเดินเข้าไปในบ้านใหญ่ของตระกูลเฉิน ก่อนอื่นสิ่งที่เขามองเห็นก็คือต้นกุ้ยฮวา [2] ที่ดูมีอายุพอควรต้นหนึ่งในสวน ต้นกุ้ยฮวาเติบโตงามสะพรั่ง ใบสีเขียวของมันดูสดใสมีชีวิตชีวา
การปลูกกุ้ยฮวาในสวนนับเป็นตัวเลือกที่ดีมาก เขตพื้นที่เล็ก ๆ มากมายหรือแม้แต่สวนสาธารณะก็ปลูกต้นกุ้ยฮวาได้ทั้งนั้น หนึ่งคือกลิ่นหอมของมันหอมไปไกล แต่ไม่หวานเอียน สองคือเพราะมันมีความหมายอันเป็นมงคลเกี่ยวกับความร่ำรวยและสงบสุข ไม่ละเมิดข้อห้ามอะไร
สวนจัดเป็นรูปตัวหุย 回 ซึ่งเป็นรูปร่างที่รวมโชคลาภเอาไว้ตัวสวนทั้งหมดมีกลิ่นอายของการเป็นศูนย์รวมความร่ำรวยและมีความหมายของการสร้างโชคลาภทั้งสี่ทิศ หน้าต่างบานโปร่ง [3] สลักลวดลายส่วนใหญ่เป็นเถาองุ่น ดอกบัวแฝด ต้นทับทิม ไม่ทราบเจ้าของบ้านจงใจหรือไม่ได้จงใจที่นี่ไม่เห็นของชิ้นใดเกี่ยวข้องกับลายมังกร แม้แต่สัญลักษณ์เกี่ยวกับปลาคาร์ปว่ายลอดประตูมังกรก็ไม่ปรากฏ
ที่ผืนนี้เป็นที่มงคลที่เป็นลักษณะพยัคฆ์หลับใหล หากปรากฏของที่เกี่ยวข้องกับมังกรก็จะกลายเป็นมังกรพยัคฆ์ต่อสู้กัน ไม่เพียงแต่ไม่อาจขอความสงบสุขรุ่งเรืองได้เท่านั้น แต่ยังอาจนำมาซึ่งความไม่สงบของลูกหลานและอาจเป็นสาเหตุของความขัดแย้งกับผู้อื่นไม่หยุดหย่อน
แต่ที่ยิ่งน่าสนใจก็คือ ที่ดินพยัคฆ์หลับใหลนี้ หากมีผังที่ดึงดูดสัตว์เล็กอ่อนแอให้เข้ามาก็จะยิ่งทำให้ที่ดินซึ่งมีฮวงจุ้ยล้ำค่านี้ยิ่งรุ่งเรืองขึ้นอีกสิ่งเดียวที่ไม่ค่อยดีก็คือ ที่นี่อาจจะส่งผลกระทบต่อสภาวะดวงของคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้
ดูจากความสามารถของบรรพบุรุษตระกูลเฉินแล้ว อาจารย์ฮวงจุ้ยที่เชิญมาไม่มีทางที่จะไม่รู้จุดนี้ แต่ฉีเยี่ยนอยู่ในตัวบ้านก็ยังไม่เห็นของเหล่านั้น
เขายืนอยู่หน้าประตูใหญ่เข้าโถงบ้านตระกูลเฉิน มองป้ายสี่เหลี่ยมข้างบนซึ่งเขียนคำว่า “คุณธรรมยิ่งใหญ่ครองได้ทุกสรรพสิ่ง” จากนั้นในใจก็มีความรู้ใหม่เกี่ยวกับตระกูลเฉินเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง
“อาจารย์ฉี” อาจารย์จ้าวกับอาจารย์หลิวเดินออกมาจากข้างในพอเห็นฉีเยี่ยนยืนอยู่นอกประตูห้องโถงบ้านตระกูลเฉิน ทั้งสองก็ส่งสัญญาณให้ลูกศิษย์รออยู่ด้านข้าง จากนั้นจึงเดินไปยังข้างกายฉีเยี่ยนเพื่อมองป้าย “คุณธรรมยิ่งใหญ่ครองได้ทุกสรรพสิ่ง” ของตระกูลเฉินด้วยกัน
หลังจากเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง อาจารย์หลิวก็ลูบหน้าอกตัวเอง “อาจารย์ฉีมีหนทางดีใดบ้างหรือไม่”
เขาถามเช่นนี้ก็แสดงว่าเขากับอาจารย์จ้าวต่างไม่มีวิธีที่เหมาะสมอีกแล้ว คนที่คอยจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ตระกูลเฉินนี่ช่างน่าเลื่อมใสเสียจริง
ฉีเยี่ยนเห็นอาจารย์ทั้งสองมีสีหน้าไม่ดีก็รู้ว่าพวกเขาไม่อาจทำอันใดได้แล้วกับสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลเฉิน ทว่าอีกด้านหนึ่งก็ยังรู้สึกว่าควรช่วยเหลือตระกูลเฉินสักหน่อย เขาหันกลับไปมองด้านหลังแวบหนึ่งใต้ต้นกุ้ยฮวา เฉินไป่เฮ่อกำลังยืนอยู่เงียบ ๆ ตรงนั้น เขากำลังเงยหน้าขึ้นมองใบสีเขียวของต้นกุ้ยฮวา ใบหน้าด้านข้างงดงามจนดูไม่เหมือนจริงอยู่บ้าง
เขาเข้าใจความรู้สึกของอาจารย์สองท่านนี้ดี ก็เหมือนบางครั้งที่เขามองออกแท้ ๆ ว่าอาจจะเกิดภัยธรรมชาติขึ้นได้ แต่กลับไม่อาจเอ่ยปากพูดออกไปนั่นแหละ เพราะลิขิตสวรรค์มักไร้เยื่อใย หากเขาเอ่ยปากพูดออกไป สิ่งที่รอคอยเขาอยู่ก็คือสวรรค์เนรเทศ และยังจะเกิดภัยพิบัติที่หนักหนายิ่งกว่าตามมาอีกด้วย
หลี่ฉุนเฟิงเมื่อพันปีก่อนคืออาจารย์เทวดาที่ถูกสวรรค์ลงโทษอย่างรุนแรง เมื่ออยู่เบื้องหน้าลิขิตสวรรค์แล้วก็ได้แต่ระวังคำพูด ระวังการกระทำไม่กล้าพูดมากความ
เมื่อชาวบ้านสมัยก่อนเชื่อถือ อาจารย์เทวดาก็ต้องมีการชดใช้คืนแก่ความเชื่อถือนั้น อาจารย์เทวดามีฝีมือมาก แต่ก็ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อลิขิตสวรรค์ได้ คงไม่ต้องพูดถึงปัจจุบันนี้ที่ความเชื่อถือขาดหาย ยุคสมัยนี้ อาจารย์เทวดาไม่มีตำแหน่งแห่งที่ในสังคมอีกต่อไป
เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น มนุษย์ซึ่งตั้งตนเป็นเจ้าของโลกใบนี้นานแล้วกลับไม่รู้ว่า ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาไปเท่าใด มนุษย์ก็ยิ่งเลวร้าย สรรพสิ่งทั้งหมดนี้ล้วนมาจากธรรมชาติและผืนดิน ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์มาแล้วก็จาก เขาสูงเปลี่ยนแปลงกลายเป็นพื้นราบ แต่ธรรมชาติก็ยังคงเป็นธรรมชาติ สวรรค์ยังคงเป็นสวรรค์เช่นเดิม ทว่ามนุษย์กลับไม่ใช่เจ้าของผืนแผ่นดินนี้เสมอไป
ไม่มีใครต่อต้านสวรรค์ได้ พวกเขาที่ถูกเรียกว่าอาจารย์เทวดาก็เป็นเช่นเดียวกัน
ดังนั้นยิ่งตระหนักถึงหลักการนี้อย่างชัดเจน เวลาที่พวกเขาต้องพบเจอกับเรื่องที่รู้ผลของมันอย่างชัดเจนอยู่แล้ว แต่กลับไม่มีความสามารถและกำลังจะทำอะไรกับมันนั่นละ จึงจะรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ เขาก็ไม่เคยเห็นตาแก่ไปลงมือตัดชะตาชีวิตใคร อาจเพราะมีประสบการณ์มามากจึงไม่อยากสัมผัสประสบการณ์ความเจ็บปวดเพราะกำลังและฝีมือไม่พออีก
“อาจารย์ฉี” อาจารย์หลิวเห็นฉีเยี่ยนไม่ได้เอ่ยปากจึงเรียกเขาเสียงเบาอีกครั้ง
ฉีเยี่ยนหลุบตาลง ก้มหน้าถอนหายใจแล้วก็ส่ายศีรษะ วันนี้เขาใช้พลังไปมากขนาดนั้น เพียงเพื่อช่วยต่ออายุขัยของเฉินไป่เฮ่อออกไปไม่ถึงสองปี เรื่องวิธีแก้ไขอื่น ๆ ตอนนี้เขายังคิดไม่ออก
เห็นฉีเยี่ยนส่ายศีรษะ อาจารย์หลิวกับอาจารย์จ้าวก็แสดงสีหน้าว่าคิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้
ครู่เดียวอาจารย์อีกสองท่านก็เดินออกมา ทั้งห้าต่างมองกันและกันไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด
เฉินชิวเซิงเห็นสีหน้ายามอาจารย์ทั้งห้าเงียบงันไม่เอ่ยคำแล้วก็รู้สึกหม่นหมองลงทันที เขารู้ว่าวิธีปรับแก้บ้านบรรพบุรุษนี้คงจะใช้ไม่ได้แล้วแต่ขณะที่ทั้งห้าไม่ได้เอ่ยปากอย่างชัดเจนนั้น เขาก็ยังไม่แน่ใจเสียทีเดียวจึงยังคงถามอีกครั้ง “อาจารย์ทั้งห้าไม่ทราบมีความคิดใด”
อาจารย์เว่ยซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในบรรดาอาจารย์ทั้งห้าเอ่ยปาก “ที่นี่เป็นที่ดินพยัคฆ์หลับใหลล้ำค่า เป็นที่ที่ดีและหาได้ยากนัก”
เฉินชิวเซิงเงียบไปสองสามวินาที “ไม่มีตรงไหนที่ต้องแก้ไขหรือครับ”
อาจารย์เว่ยรู้ว่าเฉินชิวเซิงเฝ้ารออะไรอยู่ แต่เขาก็ยังคงส่ายศีรษะเบา ๆ
เฉินชิวเซิงได้รับคำตอบก็พิงพนักเก้าอี้ รู้สึกราวกับแก่ลงหลายปีในพริบตา เขาทรุดลงทั้งตัว หลับตา กดข่มอารมณ์ที่อยู่ลึกลงไปในดวงตานั้นเอาไว้ ครู่ต่อมาจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง “มีทางทุเลาบ้างหรือเปล่าครับ”
อาจารย์ทั้งสี่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์เทวดากลับปิดปากเงียบอีกครั้งพวกเขาก้มหน้าไม่มองสบดวงตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของเฉินชิวเซิงพวกเขาไม่อาจทำใจแข็งทำร้ายจิตใจคนแก่คนนี้ได้อีกจริง ๆ ทว่าเมื่ออยู่เบื้องหน้าความเป็นจริง พวกเขาก็ไม่อาจทำอะไรได้
“ผู้อาวุโสเฉิน ต้องขอโทษจริง ๆ …”
เฉินชิวเซิงโบกมือขัดคำพูดที่ยังไม่จบประโยคของอาจารย์จ้าว เขาเอ่ยเสียงพร่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกคุณหรอกครับ” เมื่อพูดจบจู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าฉีเยี่ยนซึ่งอายุน้อยที่สุดยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย เขาจึงอดไม่ได้ต้องเบนสายตาไปหา
ที่จริงก่อนจะทำเรื่องนี้ เขาก็ไม่รู้แม้แต่น้อยว่ามีคนอย่างฉีเยี่ยนอยู่หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินข่าวคราวที่เล่าต่อ ๆ กันมาทางสาขาย่อยของบริษัทว่าได้พบกับเด็กหนุ่มที่ลึกลับน่าทึ่งเป็นพิเศษคนหนึ่ง ไม่เพียงดูดวงได้เท่านั้นแต่ยังดูชะตาฟ้าได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไปสืบค้นเกี่ยวกับฉีเยี่ยนเป็นพิเศษ
หลังจากนั้นเขาก็ได้พบว่าคนหนุ่มคนนี้แม้จะได้ลงมือเพียงไม่กี่ครั้งแต่ทุกครั้งที่ลงมือก็ไม่เคยผิดพลาด หลายคนที่ให้เขาดูฮวงจุ้ยให้ก็ล้วนพ้นเคราะห์ได้ทั้งสิ้น
“ไม่ทราบอาจารย์ฉีมีวิธีใดหรือไม่”
ตอนที่เฉินไป่เฮ่อเดินเข้ามาในห้อง เขาก็ได้ยินบิดาถามเช่นนี้
คอมเมนต์