บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 1
บทที่ 1 การศึกเขาสู่ซัน
วันที่สี่เดือนหก รัชศกอู่เต๋อปีที่เก้า ณ กรุงฉางอัน ฉินอ๋องหลี่ซื่อหมินโอรสพระองค์รองของพระเจ้าถังเกาจู่ก่อเหตุยึดอำนาจ ณ ประตูเสวียนอู่ซึ่งเป็นประตูทิศเหนือของตำหนักไท่จี๋ ต่อมาเหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า ‘เหตุการณ์ประตูเสวียนอู่’
ในปีเดียวกันนั้น ฉินอ๋องขึ้นสืบราชย์ เปลี่ยนชื่อรัชศกเป็น ‘เจินกวน’
บัดนี้คือวสันตฤดูของรัชศกเจินกวนปีที่สอง สรรพสิ่งถือกำเนิดขึ้นใหม่ น้ำแข็งเหมันต์เริ่มละลาย แต่ละสำนักในยุทธภพต่างแฝงเร้นกายเนื่องจากเกิดกลียุคแห่งการรบพุ่งยาวนานหลายร้อยปี ไฟสงครามมอดลงแล้ว ในช่วงหลายร้อยปีแห่งสงคราม มีแว่นแคว้นเล็กๆ เกิดขึ้นมากมาย สำนักต่างๆ ในแต่ละทิศเกี่ยวพันกันอย่างตัดไม่ขาด ดุจรากบัวที่ตัดแล้วก็ยังเชื่อมกันด้วยใย
สิบสำนักใหญ่ในยุทธภพล้วนเข้าร่วมในการแก่งแย่งทางการเมืองไม่มากก็น้อย ในราชสำนักมีแม่ทัพใหญ่ผู้เป็นชาวยุทธ์มาก่อน ส่วนในยุทธภพก็มีลูกหลานตระกูลใหญ่และบุคคลสำคัญของราชวงศ์ก่อนเร้นกายอยู่ บัดนี้กลียุคสงบลงแล้ว ไพร่ฟ้าอยู่เย็น จิตคิดชิงความเป็นใหญ่ของแต่ละสำนักจึงเก็บกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป
ฤดูกาลอันอบอุ่นที่ยังมีไอเย็นหลงเหลือเช่นนี้คือช่วงที่กิ่งไม้ทั้งมวลแตกปลายแหลมเล็กๆ ออกมา พร้อมที่จะงอกเป็นกิ่งใหม่ ลมแรงหอบหนึ่งกระโชกผ่าน ชวนให้ใจคนคันยุบยิบ
แม้ว่าน้ำแข็งและหิมะที่ตีนเขาจะละลายแล้ว ทว่าตามต้นไม้ใบหญ้าบนเขาสูงลูกนี้ยังมีเศษหิมะหลงเหลืออยู่ไม่น้อย ที่นี่คือหน้าผาสูงชันแห่งหนึ่ง คือผาชังฉยงแห่งสู่ซัน ในรัศมีหนึ่งลี้โดยรอบมองลงไปล้วนเป็นหน้าผาสูงหลายร้อยจั้ง ส่วนจะขึ้นมาบนยอดผาชังฉยงได้อย่างไรนั้น ก็ต้องปีนจากตีนเขาหรือไม่ก็ใช้วิชาตัวเบาเหินขึ้นมา
สถานที่แห่งนี้ยากเย็นเอาการกว่าจะขึ้นมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงถูกยกให้เป็นสถานที่สำหรับชิงความเป็นหนึ่งในยุทธภพ
จอมยุทธ์จากแต่ละสำนักและยอดคนทั้งหลายต่างมารวมตัวยังสถานที่แห่งนี้ ประลองกันตัวต่อตัว เฟ้นหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวเพื่อขึ้นเป็นเจ้ายุทธภพ
เนื่องด้วยเหตุรบพุ่งที่วุ่นวายอยู่หลายร้อยปี งานชิงเจ้ายุทธภพนี้จึงมิได้จัดมาสองร้อยกว่าปีแล้ว บัดนี้สำนักสู่ซันซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในจำนวนสิบสำนักใหญ่จึงชักชวนสำนักฮว่าซัน[1] สำนักเผิงไหลซึ่งมีถิ่นอยู่ในทะเล สำนักเทียนฉือซึ่งอยู่นอกด่านและสำนักเทียนซี่จากชายแดนเหนือ รวมทั้งสิ้นห้าสำนักมาจัดงานประลองเจ้ายุทธภพครั้งนี้ขึ้น
รัชศกเจินกวนปีที่สอง เดือนสาม สู่ซันเป็นเจ้าภาพ รับการท้าประลองจากสำนักอื่นเพื่อคัดเลือกเจ้ายุทธภพผู้แข็งแกร่งที่สุด
บุรุษค่อนข้างมีอายุผู้หนึ่งยืนอยู่ริมผาด้วยท่วงท่าอย่างผู้บำเพ็ญพรต มองการประมือไปมาบนเวทีแห่งนี้แล้วถามเด็กหนุ่มผู้สวมชุดขาวหมวกขาวข้างกายว่า “เซ่าไป๋ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดต้องจัดงานประลองเจ้ายุทธภพนี้ด้วย”
เด็กหนุ่มนามว่าเซ่าไป๋สั่นหัว “ไม่ทราบขอรับ”
ครั้นแล้วก็เห็นคนผู้หนึ่งพ่ายแพ้ร่วงจากเวที ผู้ดูแลการประลองที่ด้านข้างประกาศว่า “ยกนี้สู่ซันเป็นผู้ชนะ”
รอบข้างมีเสียงคนพึมพำไม่หยุดว่า “สู่ซันต้องเล่นลูกไม้เป็นแน่ จัดงานประลองเจ้ายุทธภพในถิ่นของตน ไม่ใช่เพราะคิดรวบตำแหน่งเจ้ายุทธภพเข้าถุงย่ามของตัวหรอกหรือ”
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นฟังแล้วนึกโกรธ “อาจารย์ คนพวกนี้กล่าวโทษสู่ซันเราอย่างไร้เหตุผล เรื่องนี้ศิษย์ไม่อาจทนได้ขอรับ”
อาจารย์ผู้นั้นยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าลืมแล้วหรือ ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยสอนเจ้าไว้ว่าอย่างไร”
“จำได้ขอรับ อย่าร้อนรน อย่าลนลาน ไม่เกรงคำเล่าลือ ไม่กลัวคำที่ว่าตามกัน”
“จำได้ก็ดี”
เสียงร่วงกระแทกพื้นดังขึ้นคราหนึ่ง จากนั้นด้วยแรงปะทะอันหนักหน่วง ร่างหนึ่งจึงกระแทกผ่านแนวกั้นหน้าผาร่วงตกจากหน้าผาไป
เซ่าไป๋เห็นเงาร่างสีขาวนั่นก็ร้องว่า “ศิษย์น้อง!”
เขาตระหนกยิ่ง นั่นคือศิษย์น้องรองของเขาจริงๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เมื่อมองไปทางอาจารย์ก็เห็นว่าอาจารย์กำลังจ้องผู้ลงมือบนเวทีเขม็ง
ชายผู้นี้เส้นผมหนวดเคราดกครึ้มยิ่ง ดูราวกับมนุษย์ดึกดำบรรพ์ กระทั่งมือเท้าก็ใหญ่โตกว่าคนทั่วไป “บัณฑิตคงแก่เรียนอย่างพวกเจ้าฝึกยุทธ์อะไรกัน มีแต่พวกยืนก็ยังยืนไม่มั่น”
เซ่าไป๋ไม่ยอม “ศิษย์น้องข้าฐานมั่นคง เจ้าจงใจเหวี่ยงเขาออกไปชัดๆ…” เซ่าไป๋คว้ากระบี่ คิดจะพุ่งขึ้นเวที ทว่าถูกผู้เป็นอาจารย์ห้ามเอาไว้ “เซ่าไป๋ เจ้าลืมอีกแล้ว”
“แต่เขาผลักศิษย์น้องตกหน้าผานะขอรับ”
บุรุษบนเวทีเอ่ยวาจาเหลวไหลส่งเดชว่า “ข้าเห็นสำนักสู่ซันของพวกเขารวมสมัครพรรคพวกจัดงาน นี่เป็นการประลองยุทธ์แท้ๆ บาดเจ็บล้มตายเดิมทีก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่คนพวกนี้ถึงขั้นคิดลงมือกับข้า ต่ำช้าจริงๆ คนเช่นนี้ สำนักเช่นนี้ จะเป็นเจ้ายุทธภพได้อย่างไรกัน”
ชายผู้นี้ดูอย่างไรก็เป็นชายหยาบกร้านชัดๆ นึกไม่ถึงว่าฝีปากจะคมคาย ตนผิดแล้วยังกลับพูดโจมตีอีกฝ่ายได้อย่างร้ายกาจนัก
คนมากมายถูกชายผู้นั้นกระตุ้นทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ทั่วทั้งสี่ด้านจึงเกิดปั่นป่วนขึ้นมา
อาจารย์เห็นฉากนี้จึงกล่าวว่า “เซ่าไป๋ เจ้าตระหนักถึงพิษภัยของลมปากแล้วหรือยัง”
เซ่าไป๋เห็นสถานการณ์ก็ก้มหน้า นึกตำหนิตนอยู่บ้าง “เซ่าไป๋เข้าใจแล้วขอรับ”
อาจารย์พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะขึ้นไปบนเวที เตรียมประลองกับชายผู้นั้น
เมื่อผู้คนโดยรอบเห็นอาจารย์ก็พากันตื่นเต้น “นั่นเจ้าสำนักสู่ซัน หันเส้อจื่อ”
ยอดฝีมือประลองกัน คนทุกผู้ทุกนามโดยรอบแม้ดูคล้ายเฉยชา ทว่าที่จริงตื่นตาตื่นใจกับการเคลื่อนไหวอันเหมาะเจาะพอดี หันเส้อจื่อราวกับกำลังร่ายระบำกระบี่ ผ่อนคลายถึงสิบส่วน ท่ามกลางท่วงท่าดุจเมฆาคล้อยวารีเคลื่อน จนในที่สุดชายหยาบกร้านผู้นั้นก็ล้มลง
ชายหยาบกร้านลุกขึ้นอย่างเคืองแค้น ไม่พอใจเต็มที่ ก่อนลงจากเวทีจู่ๆ ก็ถึงกับพุ่งเข้ากอดเอวหันเส้อจื่อ หมายจะโยนเขาออกไป และหันเส้อจื่อก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปจริงๆ แต่เพียงพลิกกายทีเดียวก็กลับมายืนมั่นบนเวทีได้อีกครั้ง
เซ่าไป๋พึมพำว่า “ช่างเป็นคนถ่อยต่ำช้าโดยแท้”
ขณะที่เซ่าไป๋ไม่ทันระวังก็ได้ยินเสียงประหลาด จากนั้นใบหน้าก็เปียก โลหิตแดงฉานที่สาดผ่านผ้าคลุมบางใต้งอบมาถูกเสื้อผ้าของเซ่าไป๋
“ฆ่าคนแล้ว… ฆ่าคนแล้ว” เซ่าไป๋ได้ยินเสียงดาบร่วงลงพื้น ตามด้วยเสียงล้มลงของผู้ที่อยู่หน้าเขา
“สู่ซันฆ่าคน ศิษย์สำนักสู่ซันฆ่าคน” เมื่อคำนี้เปล่งออกไป อันตรายก็กรายมาอย่างต่อเนื่อง เหล่ามือสังหารที่แฝงตัวท่ามกลางหมู่ชนกระตุ้นอารมณ์ของผู้คนได้อย่างง่ายดาย
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง กระทั่งหันเส้อจื่อที่อยู่บนเวทีก็ยังถูกล้อมโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า อย่าว่าแต่ควบคุมสถานการณ์เลย กระทั่งตนเองก็ยังเอาตัวแทบไม่รอด
หลายคนถืออาวุธก้าวเข้าหาเซ่าไป๋ เซ่าไป๋ถอยกรูด หากถอยอีกก้าวก็คือหน้าผาแล้ว
เขาประมือกับมือสังหารถือดาบเหล่านั้น แนวทางวรยุทธ์ของมือสังหารเหมือนจะคุ้นเคยเหลือเกิน ใครกัน? หนึ่งคนสู้หลายคน จำนวนแตกต่างอย่างยิ่ง เซ่าไป๋ถูกฟันไปไม่รู้กี่ดาบจนเสื้อสีขาวของเขามองไม่เห็นสีเดิม
เขาจ้องใบหน้าของคนปิดหน้านั่น ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย “เป็นเจ้า”
คนปิดหน้าเอ่ยว่า “ข้าเอง” และแล้วซ่งเซ่าไป๋ก็ถูกคนชุดดำผลักตกหน้าผา งอบของเขาปลิวหลุดไปตามแรงลม ใต้งอบคือใบหน้าหมดจดยิ่งของเด็กหนุ่ม ผิวขาวผ่องดุจเครื่องเคลือบ สวยราวสตรีก็ไม่ปาน
กิ่งไม้กรีดถูกแก้ม ทิ้งรอยไว้ไม่รู้กี่แผล เซ่าไป๋แทบลืมความเจ็บปวดจากบาดแผลบนกาย ตลอดร่างสิ้นความรู้สึกราวกับกระดูกหักสิ้นแล้ว
สิ่งที่ดวงตามองเห็นเริ่มพร่าเลือน ใบหน้าเจ็บจนด้านชา คราวนี้คงเสียโฉมจริงๆ แล้วสินะ ในภวังค์นั้นเซ่าไป๋เหมือนมองเห็นเงาร่างหนึ่ง ยังไม่ทันมองให้ชัดตาก็สูญเสียการรับรู้ทั้งหมดแล้วสิ้นสติไป
[1] ฮว่าซัน คือ ฮั้วซัว หรือ หัวซัน
คอมเมนต์