บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 10
บทที่ 10 ถูกจับ
หยวนหลิงเอ่ยว่า “เมื่อคืนคนเหล่านี้ราวกับคลุ้มคลั่ง ดวงตาไร้แวว ตามไล่ล่าข้ากับจูเยี่ย” หยวนหลิงแหวกผ้าบนอกเสื้อ เผยให้เห็นรอยกระบี่และแผลดาบไม่น้อย “นี่ต่างหากที่หมายเอาชีวิตทุกดาบทุกกระบี่ หากไม่ใช่เพราะฝีมือและพละกำลังของพวกเขายังไม่ถึงขั้น ผู้ที่นอนอยู่ตรงนี้ก็คือข้ากับจูเยี่ย”
หยวนหลิงเห็นสายตาระแวงของท่านหนันซันกับเชียนมี่จึงเร่งกล่าวต่อไปว่า “พวกเจ้าดูบาดแผลบนร่างจูเยี่ยสิ กระบี่นั่นห่างจากหัวใจไปแค่กระผีกเดียว ถ้าโดนแทงเข้าจริงต้องสิ้นชีพแน่”
หนันซื่อกระโดดลงจากต้นไม้มาตรวจสอบบาดแผลบนร่างหยวนหลิงกับจูเยี่ย จากนั้นหันไปพยักหน้าให้ท่านหนันซัน เป็นดังที่เขาว่าจริง เชียนมี่มองเว่ยฉีอวี้กับเด็กชาย “เมื่อคืนพวกเจ้าสองคนอยู่ที่ไหน”
เว่ยฉีอวี้รีบชี้แจงว่า “อยู่บนต้นไป๋อู้ เมื่อคืนเราสองคนอยู่ที่นั่นทั้งคู่ บนต้นไม้ยังมีเชือกที่ข้าใช้ลงจากต้นไม้แขวนอยู่ แล้วก็ยังมีเนื้อหมูป่าที่เขาแขวนไว้บนยอดไม้ด้วย”
เชียนมี่มิได้คาดคั้นหัวข้อนี้ต่อ “บ่ายเมื่อวานพวกเจ้าสี่คนอยู่ด้วยกัน?”
“อยู่แค่สามคน แต่ข้ารู้ว่าบ่ายเมื่อวานเจ้าหนูนี่ไปย่างเนื้ออยู่ ตกดึกข้ายังได้กินอยู่เลย”
แม่นางเชียนมี่พยักหน้า “นำศพกลับไปที่หมู่ตึกก่อน แล้วก็ขังสี่คนนี้ไว้ คนอื่นที่เหลือฝึกซ้อมต่อ”
ทันทีที่สิ้นเสียงเชียนมี่ ก็มีคนหลายสิบคนปรากฏกายขึ้นอย่างเงียบกริบ และนำตัวทั้งสี่กลับไป
เว่ยฉีอวี้ยังนึกว่าจะถูกคุมตัวไว้ในสวนไผ่ของตน แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกขังในห้องปิดทึบสีดำห้องหนึ่ง พวกเขาเชื่อคำแก้ต่างของตนแล้วชัดๆ ซ้ำยังกระจ่างดีถึงพื้นฐานวรยุทธ์ของเขา เหตุใดยังต้องจับเขาขังคุกอีกเล่า
ทั้งสี่ถูกขังแยกกัน ต่างคนต่างพอมองเห็นคนอื่นได้ในความมืด เว่ยฉีอวี้มองเห็นประตูหินขนาดใหญ่อันปิดสนิทอยู่ที่ส่วนลึกของห้องปิดทึบนี้ ก็นับว่ายังไม่อนาถเกินไปนัก
คนของหวั่งเซิงเหมินนำยามาทาให้หยวนหลิงกับจูเยี่ย หยวนหลิงร้องโอดโอยไม่หยุด ส่วนจูเยี่ยขมวดคิ้วแน่น เหงื่อเย็นๆ แตกเต็มหน้า เด็กชายที่อยู่อีกด้านขดตัวอยู่ในมุม เว่ยฉีอวี้ยังจำได้ที่หยวนหลิงบอกเขาว่าเด็กคนนี้สิบห้าแล้ว ทว่าดูเหมือนอายุแค่สิบเอ็ดสิบสองเท่านั้น ตัวเล็กเกินไปจริงๆ
กลอนประตูถูกเปิดออก หนันซื่อถือซาลาเปาสี่ห้าลูกมาย่อกายลงข้างเว่ยฉีอวี้ โน้มลงแทบหูแล้วกระซิบว่า “หิวหรือไม่” ว่าแล้วก็ยื่นซาลาเปาให้เว่ยฉีอวี้ “กินเยอะๆ”
หนันซื่ออยู่ที่นี่ด้วยอาการผ่อนคลายยิ่ง เอนกายลงบนเตียง รอเว่ยฉีอวี้กินซาลาเปาจนหมด จากนั้นก็นำตัวเขาออกไป “ห้องขังนั่นข้าไปอยู่บ่อย ไม่ต้องห่วงนะ ไม่มีหนูกินคนหรอก”
หนันซื่อถามต่อว่า “เจ้าสนิทสนมกับสามคนนั้นไหม”
เว่ยฉีอวี้ส่ายหน้าตอบว่า “เต็มที่ก็นับว่ารู้จัก จะสนิทได้อย่างไรเล่า ข้าเพิ่งไปได้วันเดียว”
หนันซื่อพยักหน้า “ก็จริง”
หนันซื่อพาเขาไปยังห้องอีกห้อง ที่นี่คือที่เก็บศพทั้งสิบศพ เมื่อเข้าประตูไปก็พบแม่นางเชียนมี่กับท่านหนันซันอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
ท่านหนันซันถามว่า “ในสิบคนนี้ มีอย่างน้อยสี่คนที่พวกเขาลงมือจัดการ ด้วยวรยุทธ์ของตน พวกเขาไม่ควรได้แผลสิถึงจะถูก ต่อให้เป็นแผลเล็กน้อยก็เถอะ”
เชียนมี่มองแล้วกล่าวว่า “แผลบนร่างสองคนนั้นไม่เหมือนแสร้งทำขึ้น ต่อให้วรยุทธ์สูงล้ำ ถ้าพบผู้ที่ลงมือโดยหมายชีวิต เพียงลังเลชั่วขณะก็บาดเจ็บได้ง่ายๆ”
หนันซื่อเบ้ปาก “อาจจะกลัวโดนลงโทษก็เลยจงใจทำให้ตัวเองบาดเจ็บ?”
เชียนมี่เขกหัวหนันซื่อ “เจ้านึกว่าใครๆ ก็เป็นเหมือนเจ้าหรือ? ว่าแต่อีกหกคนถูกใครสังหารกันนะ หรือมีผู้บุกรุก?”
หนันซันแบะอกเสื้อของทั้งหกออก บนอกซ้ายล้วนมีแผลทรงโค้งหนึ่งแผล เชียนมี่ยื่นวัตถุบางๆ แผ่นหนึ่งให้หนันซัน นางเสียบแผ่นนั้นเข้าไปในแผลบนอก มันงอเป็นทรงดาบโค้ง “เป็นดาบโค้ง คาดว่ายาวสองฝ่ามือ กว้างสามนิ้ว”
หนันซื่อเอ่ย “ดาบโค้งเฟยเหลียนสองคม”
หนันซันพลิกอีกสี่ศพที่เหลือ ก่อนจะเปิดลำคอด้านหลังของพวกเขา ที่บนคอมีจุดสีแดงเล็กๆ หนึ่งจุด เมื่อมองไล่ลงไป ก็พบว่าบนจุดต้าจุย[1]ซึ่งอยู่ใต้คอเสื้อมีเข็มยาวเล่มหนึ่งปักอยู่เด่นชัด หนันซันดึงเข็มออก ไม่มีเลือดแม้แต่นิดเดียว เข็มนั้นปักลงไปลึกประมาณหัวแม่มือ
“เข็มกระดูกฮุ่ยอิน”
เชียนมี่มอง “จำเพาะเจาะจงต้องเลือกก่อเรื่องเอาช่วงที่อาจารย์เข้าฌาน ศิษย์พี่ไปฝึกฝนอยู่ข้างนอก เห็นทีลัทธิมารนี่จะคิดหาเรื่องสำนักหวั่งเซิงเหมินเราเสียแล้ว”
เว่ยฉีอวี้เอ่ยถามขึ้น “เข็มกระดูกฮุ่ยอินกับดาบโค้งเฟยเหลียนสองคมคืออะไรหรือ”
เชียนมี่ตอบ “เข็มกระดูกฮุ่ยอินคือท่าไม้ตายของเหริ่นจิ่วเริ่น ผู้บัญชาการซ้ายของลัทธิมาร เข็มยาวหนึ่งเล่มปักเข้าที่จุดต้าจุยซึ่งเป็นศูนย์รวมพลังหยาง สามารถทำให้คนด้านชา สูญเสียสัมปชัญญะและความรู้สึก กลายเป็นมารที่คิดแต่จะฆ่าคนได้ เป็นวิธีที่ผู้บัญชาการซ้ายเหริ่นจิ่วเริ่นชอบใช้ทำให้พี่น้องฆ่ากันเองที่สุด ส่วนดาบโค้งเฟยเหลียนสองคมคือดาบโค้งสองเล่ม ลักษณะคล้ายง้าว มีฟันเลื่อย คมดาบค่อนข้างบาง ยามสังหารคนจะหมุนเป็นวงแล้วกลับคืนที่เดิมได้ เป็นอาวุธสังหารของอู่วั่งเหวย หนึ่งในห้าผู้เฒ่าแห่งลัทธิมาร คนสนิทของเหริ่นจิ่วเริ่น”
เว่ยฉีอวี้ไม่เอ่ยคำ ฟังจากที่เชียนมี่อธิบาย ดาบโค้งเฟยเหลียนสองคมกับเข็มกระดูกฮุ่ยอินนั่น เขาเคยเห็นมาก่อนในการต่อสู้แลกชีวิตเมื่อสามเดือนที่แล้ว ในคราที่น้ำทั่วทะเลสาบปั่นป่วน เรือเกือบคว่ำ เขาแทบเอาชีวิตไม่รอด
ส่วนเด็กน้อยที่บริภาษอาจารย์ว่าเป็น ‘ตาแก่หัวดื้อ’ ผู้นั้น คาดว่าคงเป็นผู้บัญชาการซ้ายของลัทธิมาร ทว่าท่านอาจารย์เสียไปแล้ว เขาเองก็มิใช่คู่ต่อสู้ของคนเหล่านั้น มาตามหาเขาอีกเพื่ออะไรกัน
เชียนมี่มองใบหน้าที่แปรเปลี่ยนไปมาจนเหลือคาดเดาของเว่ยฉีอวี้แล้วเอ่ยว่า “อาจารย์อาเล็ก ศิษย์สายในทั้งหมดของสำนักหวั่งเซิงเหมินล้วนแต่คัดเลือกจากผู้เข้าฝึกฝนที่หลังเขา หลังเขาแม้อันตราย อาจารย์อาเล็กก็ยังต้องอยู่สักสิบวันครึ่งเดือน นี่คือความประสงค์ของอาจารย์ แต่อย่างไรก็ยังมีจูจูจื่อคอยเฝ้าคุ้มครองท่านอยู่ลับๆ ท่านไม่ต้องกังวลไป ส่วนหยวนหลิงกับจูเยี่ย อาจารย์เห็นว่าท่านสามารถคบหาได้”
เว่ยฉีอวี้ไม่คิดว่าคนเหล่านี้ถึงกับรู้ร่องรอยของเขาอย่างชัดเจน จึงยิ่งพิศวงในตัวเจ้าสำนักหวั่งเซิงเหมินฝ่ายใต้ผู้นี้มากกว่าเดิม
หลังออกจากห้องดังกล่าว เชียนมี่อธิบายกับเขาว่า “เมื่อครู่พาท่านไปดูผลการพลิกศพก็เพื่อเตือนให้ท่านทำการใดๆ โดยระมัดระวัง ผู้ที่มาฝึกฝนที่หลังเขาของหวั่งเซิงเหมินนั้นหาได้มีเพียงกองกำลังส่วนตัวกับนักรบเดนตายของขุนน้ำขุนนางไม่”
เว่ยฉีอวี้พยักหน้า “เรื่องนี้ข้าย่อมรู้อยู่” ว่าแล้วเขาก็ทำหน้าม่อย “อาจารย์ของเจ้าเมื่อไหร่จะเข้าฌานเสร็จเสียที”
“ก่อนเข้าฌานอาจารย์มิได้กล่าวแน่ชัด”
เว่ยฉีอวี้นอนหงายอยู่บนเตียงในห้องปิดทึบ สายตาเหลือบไปเห็นเด็กชายผู้อยู่ห่างตนไปไม่ไกลแล้วก็นึกสนใจขึ้นมาจึงถามว่า “เจ้าชื่ออะไรหรือ”
เด็กชายไม่เหลียวแลเขา “เจ้ากินเยอะๆ หน่อย” พูดจบก็ยกซาลาเปาหมั่นโถวที่หนันซื่อนำมาเพิ่มให้เขาให้แก่เด็กชาย
เด็กชายไม่กินและไม่พูดจา หยวนหลิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตะโกนว่า “ข้าไม่ได้กลิ่นซาลาเปาไส้เนื้อที่หอมขนาดนี้มานานโขแล้ว เว่ยเยวียนเจ้านี่นะ ทำไมไม่แบ่งข้าสักลูกเล่า”
เว่ยฉีอวี้โยนไปให้หนึ่งลูก หยวนหลิงรับไว้อย่างระมัดระวัง แต่กลับเผลอดึงถูกบาดแผลเข้า “ไอ้แผลนี่ พันแผลเสร็จแล้วทำไมถึงเจ็บยิ่งกว่าเดิมนะ”
[1] ‘จุดต้าจุย’ คือจุดที่อยู่ถัดจากกระดูกคอข้อที่เจ็ด
คอมเมนต์