บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 11
บทที่ 11 ผู้บัญชาการซ้ายลัทธิมาร
เว่ยฉีอวี้เอ่ย “เพราะตอนแรกแผลจวนจะสมานตัวอยู่แล้ว พอเจ้าขยับตัวมันก็เลยฉีกออก แล้วจะไม่เจ็บกว่าเดิมได้หรือ”
หยวนหลิงเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นในห้องไม่มีคนอื่นและไม่มีผู้คุมจึงเอ่ยว่า “ต่อให้โดนขังสักหลายๆ วัน แต่ได้พบแม่นางมี่มี่ก็ถือว่าไม่ขาดทุนนะนี่”
จูเยี่ยเอ่ยโดยไม่เงยหน้า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็สมปรารถนาแล้ว ลงเขาไปได้แล้ว”
หยวนหลิงเงยขึ้นมองจูเยี่ย “ความปรารถนาของข้าคือได้มองแม่นางมี่มี่ที่ไหนกัน ความปรารถนาของข้าคือได้เก็บแม่นางมี่มี่ผู้ลือนามทั่วหล้าเข้าสู่เรือน เป็นหญิงผู้รู้ใจของข้าแต่ผู้เดียวต่างหาก”
จูเยี่ยกล่าวเปิดโปงว่า “พูดเช่นนี้คือเป็นแค่อนุ? ข้าก็หลงนึกว่าเจ้าจะส่งเกี้ยวสิบคนหามมารับกลับไปเสียอีก”
หยวนหลิงมองใบหน้าขาวซีดของจูเยี่ย “จูจื่อหัว เจ้าเพ้อเจ้ออะไร คนอย่างเจ้า นอกจากยุแยงตะแคงรั่วแล้วยังมีดีอะไรอีก”
“คนอย่างเจ้า นอกจากก่อเรื่องก่อราวแล้วก็หาดีไม่ได้เลย”
หยวนหลิงเดือดดาลเหลือทน เถียงก็ไม่ชนะ หนำซ้ำเวลานี้ก็ยังสู้กันไม่ได้อีก เขาสูดหายใจลึกเพื่อฝืนข่มเพลิงโทสะในใจ “จูจื่อหัว ดวงเจ้าชงกับข้าใช่ไหม นับแต่มาถึงเขาสิ้นไผ่วันแรกถึงได้ขัดแข้งขัดขาข้ามาตลอด”
เว่ยฉีอวี้กล่าว “ข้ากลับรู้สึกว่าพวกเจ้าสนิทสนมกันดี รู้จักกันมานานแล้วหรือ”
หยวนหลิง “แน่ละสิ รู้จักตั้งแต่วันแรกแล้ว ยามมาถึงเขาสิ้นไผ่เมื่อต้นปี ผู้ที่ได้ไปซั่งชิงเป็นครั้งแรกก็คือข้ากับเขา ท่านหนันซันสั่งห้ามเอาไว้เด็ดขาดมิให้วิวาทกันเองส่วนตัว หลายเดือนต่อมาข้ากับเขาก็ยังไม่ได้ประจันหน้ากันเลยระหว่างฝึก” การแบ่งกลุ่มประลองใช้วิธีจับฉลาก จึงนับเป็นความบังเอิญเสียมาก
จูเยี่ยไม่ตอบคำ เว่ยฉีอวี้จึงถามขึ้นว่า “หยวนหลิง เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเจ้าถึงไม่อยู่ซั่งชิง แต่มาอยู่ที่ซย่าเหยี่ยเล่า”
เว่ยฉีอวี้คล้ายกับถามถูกจุด กระทั่งจูเยี่ยจึงหันมามองด้วยความอยากรู้ เด็กชายในมุมมืดเองก็เผยนัยน์ตาดำขลับออกมาเล็กน้อยเช่นกัน หยวนหลิงกล่าวเปิดเผยว่า “บอกพวกเจ้าก็ได้ เมื่อคืนไม่มีธุระอะไร ข้าว่างจนเซ็ง เว่ยเยวียนเจ้าเคยบอกข้าว่าเคยพบแม่นางมี่มี่ ข้าเลยคิดจะลอบเข้าไปยังหมู่ตึกโยวกุยเพื่อยลโฉมแม่นางมี่มี่ผู้เป็นที่โจษขาน ข้าจำทางตอนเจ้าลงเขาได้ จึงวางแผนจะไปตามเส้นทางนั้น สุดท้ายเพิ่งมาถึงปากทางก็ได้ยินเสียงโลหิตสาดกระเซ็น ข้ารู้สึกว่าเสียงดาบฟันเนื้อนี้ชอบกลถึงสิบส่วนจึงคิดจะไปดูเสียหน่อย แต่กลับมองไม่เห็นว่าดาบนั่นเป็นอย่างไร เห็นแค่คนร่างเตี้ยเล็กผู้หนึ่งกำลังแทงเข็มบางอย่างใส่คนหลายคน เข็มนั่นใหญ่มาก เล่มหนาเชียวละ เมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์ยังสะท้อนแสงด้วย แต่ก็แสงสะท้อนนี่เองที่ทำให้ข้าถูกคนผู้นั้นพบเข้า หลังจากเขาแทงเข็มใส่บรรดาคนที่นอนอยู่บนพื้น คนที่นอนแข็งทื่ออยู่ก็ลุกขึ้นมา พุ่งเข้าฟาดฟันข้าอย่างกับเสียสติ ข้าเลยต้องรีบหนีเอาชีวิตรอด วิ่งๆ ไปก็มาถึงซย่าเหยี่ย แล้วก็เจอจูจื่อหัวนี่แหละ”
หยวนหลิงจ้องจูเยี่ย “เจ้านี่สิ เมื่อคืนทำไมถึงอยู่ที่ซย่าเหยี่ย ถ้าจะพูดให้ละเอียดแล้วละก็ เจ้าจะขลุกอยู่ซย่าเหยี่ยหนึ่งชั่วยามทุกรอบแล้วค่อยกลับซั่งชิง เจ้าทำอะไรอยู่”
จูเยี่ยย่อมไม่คิดบอกหยวนหลิง “ข้ามีความลับของข้า เจ้าไม่ต้องถึงขั้นแอบดูหรอก”
เด็กชายในมุมฝังหน้าเข้ากับวงแขนอีกครั้ง หยวนหลิงเองก็คร้านจะแยแสจูเยี่ยจึงเอ่ยว่า “ข้ากับจูเยี่ยมาอยู่ห้องขังนี้ก็มีเหตุให้เข้าใจได้ แต่เจ้ากับโหลวเซียวนี่สิประหลาดนัก ทำไมต้องพาตัวพวกเจ้ามาด้วย”
เว่ยฉีอวี้ย่อมรู้ดีว่าเหตุใดพวกเขาจึงนำตนมาที่นี่ การสืบเรื่องผู้บัญชาการซ้ายของลัทธิมารทำให้หลังเขามีคนไม่พอ เกรงว่าผู้บัญชาการซ้ายนั่นจะพุ่งเป้ามาที่เว่ยเยวียนจริงๆ และห้องขังนี้แท้ที่จริงคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเวลานี้
เขามองเด็กชายผู้มีนามว่าโหลวเซียว พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขากระเถิบเข้าไปกระซิบว่า “โหลวเซียว เมื่อคืนเจ้าเห็นผู้บัญชาการซ้ายลัทธิมารฆ่าคนใช่ไหม”
โหลวเซียวหดเข้าสู่ความมืดไปอีกหลายก้าว ทำให้เขามองไม่เห็นสีหน้า หยวนหลิงเตือนว่า “เว่ยเยวียน โหลวเซียวพูดไม่ได้ เจ้าอย่าถามเลย” มิน่าเล่า โหลวเซียวถึงไม่เคยพูดกับเขามาก่อน
เว่ยฉีอวี้เห็นคราบเลือดใต้รองเท้าเขา คืนก่อนยามเขาอยู่บนหัวตน จำได้ว่าใต้เท้าเขาไม่มีเลือดชัดๆ ตอนนั้นยังนึกประหลาดใจนัก เพราะตอนเขาสังหารหมูป่า ทั้งตัวมีแต่เลือดแท้ๆ พอตกดึกคราบเลือดกลับหายไป ระหว่างนั้นไปทำความสะอาดอย่างไรกันแน่
โหลวเซียวคล้ายกับรู้สึกได้ถึงสายตาของเว่ยฉีอวี้ จึงขยับขาเข้าสู่เงามืด ทำให้เว่ยฉีอวี้มองไม่เห็น
หยวนหลิงพิงผนังขณะถามว่า “เมื่อคืนข้าเห็นผู้ที่ควบคุมนักรบเดนตายสี่คนนั้น เป็นเด็กผู้ชายอายุสิบเอ็ดสิบสองชัดๆ แต่ดูจากเครื่องแต่งกาย สายรัดเอวลายเมฆ พื้นดำลายม่วง สวมเกี้ยวหยกอย่างผู้ใหญ่ ตำแหน่งในลัทธิมารต้องไม่ต่ำต้อยถึงจะถูก”
ต้องไม่ต่ำอยู่แล้ว นั่นคือผู้บัญชาการซ้ายแห่งลัทธิมารเชียวนะ เว่ยฉีอวี้กลัวหยวนหลิงจะถามว่าตนรู้ได้อย่างไร ดังนั้นจึงไม่กล้าส่งเสียง หยวนหลิงมองเขาแล้วถามว่า “เว่ยเยวียน เจ้ารู้หรือ?”
“พื้นดำลายม่วง ผู้บัญชาการซ้ายขวาเท่านั้นถึงจะมีได้”
หยวนหลิงเอียงคอ ไม่สนใจคำตอบนี้ “เรื่องนี้ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว แต่ผู้บัญชาการซ้ายขวาของลัทธิมารนั้น ผู้บัญชาการขวาเป็นหญิงอายุยี่สิบกว่า ส่วนผู้บัญชาการซ้ายแม้เป็นชาย แต่ก็อายุแปดเก้าสิบเข้าไปแล้ว”
จูเยี่ยเห็นเหตุการณ์ก็เอ่ยว่า “ผู้บัญชาการขวาโฉวชิวจิ่นอายุห้าสิบแล้ว แต่ฝึกฝนวิชามารนอกรีตจึงคงความเยาว์วัยไว้ได้ ผู้ที่เจ้าพบคือผู้บัญชาการซ้ายเหริ่นจิ่วเริ่น ปีที่เหริ่นจิ่วเริ่นอายุหกสิบ เขาฝึกวิชาทวนกระแสกาลถึงขั้นสิบจึงเริ่มกลับเป็นเด็ก บัดนี้ดูเหมือนอายุเพียงสิบเอ็ดสิบสอง แท้ที่จริงควรจะแปดสิบกว่าแล้ว”
มิน่าเล่าเหริ่นจิ่วเริ่นถึงด่าอาจารย์เป็นตาเฒ่าไม่รู้จักตาย เมื่อเป็นเช่นนี้ คนหนึ่งแปดสิบกว่า คนหนึ่งร้อยสามสิบ อาจารย์ก็ยังคงแก่กว่ามากโขอยู่ดี
หยวนหลิงฟังแล้วอัศจรรย์ใจยิ่ง “ย้อนวัยจากแก่กลับเป็นเด็กได้ด้วย?”
เว่ยฉีอวี้กล่าวว่า “ต้องรักษาธาตุหยางบริสุทธิ์เอาไว้ ผู้มิใช่บุรุษพรหมจรรย์ย่อมฝึกไม่ได้ อีกอย่างหลังจากฝึกแล้วห้ามเกิดความคิดกระสันในกามารมณ์ หาไม่วิชาย่อมสูญสลาย ซ้ำยังจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกเอาง่ายๆ”
หยวนหลิงเอ่ยยิ้มแย้มว่า “อย่างนั้นผู้บัญชาการซ้ายผู้นั้น ปาเข้าไปแปดเก้าสิบแล้วก็ยังเป็นไก่อ่อนอยู่น่ะสิ?”
เว่ยฉีอวี้ย่อมไม่บอกผู้อื่นว่าตนรู้ได้อย่างไร เพราะอาจารย์เคยสอนวิชานี้แก่เขาเช่นกัน ท่านอาจารย์เองนั้นเส้นผมและหนวดเคราขาวโพลนไปทั้งหัว ย่อมเป็นผู้ฝึกไม่สำเร็จ ได้ยินว่าลำบากลำบนฝึกถึงขั้นที่เจ็ดหรือแปดก็มาถูกหญิงนางหนึ่งทำลายวิชา อาจารย์เอ่ยขึ้นคราใดก็ให้นึกเคียดแค้นหญิงผู้นั้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ส่วนตัวเขาเอง เพื่อประหยัดเงินทองในการไปหอคณิกา อาจารย์จึงตะแบงว่าเป็นการฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรง จับฝึกถึงขั้นที่สอง ลืมสิ้นซึ่งร้อยบุปผาแล้ว ที่สำคัญคือหนุ่มหน้ามนอย่างเขาผู้นี้ ปกติหาลำไพ่พิเศษด้วยการถ่อเรือให้หอคณิกา จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ถูกทำลายวิชา ปราศจากจิตอกุศลอย่างแท้จริง
ทั้งสี่ถูกขังอยู่ถึงสองวัน หลังจากนั้นแม่นางเชียนมี่ถึงบอกเว่ยฉีอวี้ว่าจากการตรวจค้นตลอดสามวัน ไม่พบร่องรอยของสาวกลัทธิมารเลย
คอมเมนต์