บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 13
บทที่ 13 ท่านหนันซันถูกพิษ
“จะว่าไป พวกเราล้วนเป็นศิษย์ของตาเฒ่าเหยียนหยวน เราเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันเชียวนะ ศิษย์น้องช่วยอะไรศิษย์พี่หน่อยได้ไหม หวนนึกดูให้ถี่ถ้วนก่อน”
เว่ยฉีอวี้รู้ว่าหลอกเหริ่นจิ่วเริ่นไม่ได้ “ข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์มาสี่ปี ไม่เคยเห็นขลุ่ยหยกนั่นจริงๆ ไม่ได้โกหกเจ้าเลย”
เหริ่นจิ่วเริ่นออกแรงนิ้วเพียงนิดหน่อย ลำคอเว่ยฉีอวี้ก็มีเลือดไหลซิบออกมา “เจ้าอย่าแก้ตัวอีกเลย หกสิบปีก่อนตาเฒ่าเหยียนหยวนรับข้าเป็นศิษย์ปิดสำนัก หกสิบปีจากนั้นไม่มีศิษย์อื่นอีก เจ้าว่าเขาอายุตั้งร้อยสามสิบแล้ว ทำไมถึงต้องรับเจ้าเป็นศิษย์อีกคน มิใช่เพื่อถ่ายทอดสุดยอดวิชาทั้งชีวิตของเขา เพื่อให้ขลุ่ยเรียกวิญญาณมีผู้สืบทอดหรอกหรือ”
เว่ยฉีอวี้ส่ายหัว เขาถูกใส่ความแท้ๆ สิ่งที่อาจารย์สอนเขาน่ะหรือ ถ่อเรือนับหรือไม่ ไปซื้อเชื่อที่ร้านเหล้านับหรือไม่ ไม่มีอย่างอื่นแล้วจริงๆ
“ข้าเรียนไม่สำเร็จจริงๆ ในช่วงสี่ปีเรียนได้แค่วิชาหนีเอาชีวิตรอด หนำซ้ำยังใช้การได้แค่ยามต้องหนีเอาชีวิตรอดจริงๆ เสียด้วย”
“หือ? ไหนเจ้าลองดูทีว่าจะหนีเอาชีวิตรอดเยี่ยงไร”
“เจ้าปล่อยนะ ข้าจะโดนบีบคอตายอยู่แล้ว จะลองอย่างไรล่ะ” เหริ่นจิ่วเริ่นคะเนว่าเขาคงใช้ลูกไม้อะไรไม่ได้จึงคลายมือ เว่ยฉีอวี้หายใจเฮือกใหญ่ ค่อยยังชั่วหน่อย “เจ้าดูให้ดีนะ…นี่ แม่นางมี่มี่ ท่านหนันซัน ข้าอยู่ตรงนี้” เว่ยฉีอวี้มองไปด้านหลังฝั่งขวาของเหริ่นจิ่วเริ่นพร้อมโบกไม้โบกมือ เมื่อเห็นเหริ่นจิ่วเริ่นเหลียวกลับไปมองจริงๆ เขาก็รวบรวมกำลังแล้วเผ่นแผล็วไปไกลลิบ
เหริ่นจิ่วเริ่นไม่นึกว่าเว่ยฉีอวี้จะต่ำช้าใช้เล่ห์กล “เลียนแบบเตาเฒ่านั่นมาได้จนเหมือนถึงเก้าส่วนแท้ๆ ถ้าเจ้ายังไม่ใช่คนเอาขลุ่ยไปก็ไม่มีคนอื่นแล้ว”
เป็นวิชาในยามหนีเอาชีวิตรอดดังคาด เว่ยฉีอวี้ไม่เคยรู้สึกมาก่อนว่าตนมีความสามารถนี้ ถึงขนาดหนีผู้บัญชาการซ้ายแห่งลัทธิมารพ้นด้วยแน่ะ และแล้วก็ได้ยินเสียงลมดังขึ้นข้างกาย เหริ่นจิ่วเริ่นนั่นใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
เขารู้สึกได้ว่าหัวไหล่ถูกคว้าไว้ เล็บยาวๆ อันทรงพลังจิกเข้าเนื้อบนไหล่ โดนจับจนได้
เว่ยฉีอวี้ไม่กล้าขยับ เกรงว่าหากเหริ่นจิ่วเริ่นเพิ่มแรงอีกจะบดขยี้ไหล่ของตน จึงได้แต่เกลี้ยกล่อมเสียงอ่อนเสียงหวาน “ศิษย์พี่ขอรับ ดีชั่วอย่างไรก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ไว้ไมตรีสักหน่อย คลายมือได้ไหมขอรับ”
ผู้บัญชาการซ้ายฟังดังนั้นก็คลายมือเล็กน้อย ทว่ามิได้ปล่อยทั้งหมด “เจ้ากับตาเฒ่าหนังเหนียวนั่น มีช่องนิดเดียวก็เผ่นหนีไปได้สิบหมื่นแปดพันลี้ ปล่อยพวกเจ้าไม่ได้เลยทีเดียว”
“ตาเฒ่าหนังเหนียวนั่นตายไปแล้ว เรียกหนังเหนียวไม่ได้แล้วละ”
เว่ยฉีอวี้ถูกเหริ่นจิ่วเริ่นเหวี่ยงลงกับพื้น เท้าก็เหยียบแผ่นหลังเขาไว้แล้วออกแรงจี้จุดบริเวณก้นกบ ทำเอาเขาสูญสิ้นความรู้สึก หมดเรี่ยวแรง เคลื่อนไหวไม่ได้อีก
เขาเห็นเข็มเล่มโตที่เหริ่นจิ่วเริ่นโบกไปโบกมา ต่อมาแผ่นหลังก็เย็นวาบ ท่าไม่ดีเสียแล้ว หรือนี่ก็คือเข็มกระดูกฮุ่ยอินที่กล่าวขานกัน
เข็มยังไม่ทันแทงลงมาจริงๆ ก็มีลมจากดาบพุ่งผ่านเร็วรี่ เฉียดถูกแก้มเหริ่นจิ่วเริ่น ตัดผมขาดไปสามเส้น
เหริ่นจิ่วเริ่นเก็บเข็ม มองท่านหนันซันที่ยืนอยู่บนต้นไม้ เช็ดรอยเลือดบนหน้า “ดาบเยวียนยาง ได้ยินมานานแล้วว่าหวั่งเซิงเหมินมีศิษย์คนที่สามเป็นผู้หลงใหลวิชายุทธ์ เห็นทีคงเป็นเจ้า จะว่าไปเราก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักกันนะ ข้านับได้ว่าเป็นผู้อาวุโสของเจ้า ทำเช่นนี้ไม่นับเป็นการเสียมารยาทหรอกหรือ”
ท่านหนันซันเอ่ยด้วยยิ้มหยันว่า “ในยุทธภพ ในเมืองหลวง มีคนตั้งเท่าไหร่เคยเรียนวิชาที่หวั่งเซิงเหมินเรา ไม่ล้วนเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ของข้ากันหมดหรือ”
เหริ่นจิ่วเริ่นไม่เห็นด้วยกับตรรกะนี้ “แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นศิษย์ที่อาจารย์ปู่ของเจ้ารับเข้าสำนักนะ”
“อาจารย์ปู่หยวนเป็นศิษย์คนที่สามของท่านปรมาจารย์ ส่วนอาจารย์ปู่ของข้าเป็นศิษย์คนรอง ย่อมไม่เกี่ยวข้องกันนัก”
หนันซันหิ้วเว่ยฉีอวี้ผู้ทรุดแน่นิ่งอยู่บนพื้นขึ้น ก่อนจะโยนเขาไว้ด้านข้าง เมื่อหลังของเขากระแทกไม้ใหญ่ต้นหนึ่งก็ถึงกับได้ประสาทสัมผัสกลับคืนมา
เว่ยฉีอวี้เห็นมือซ้ายขวาของท่านหนันซันกุมดาบข้างละเล่ม ดาบในมือขวาค่อนข้างใหญ่หนา ดาบในมือซ้ายบางเล็กอ่อนหยุ่นกว่า ดูแล้วเข้าคู่กันพอดี
เหริ่นจิ่วเริ่นเอ่ยขึ้น “ดาบเยวียนยาง ดูท่าอาจารย์เจ้าจะรักใคร่เอ็นดูศิษย์อย่างเจ้าผู้นี้ไม่เบา”
ท่านหนันซันตอบกลับ “บุกรุกหลังเขาหวั่งเซิงเหมินเรา สังหารนักรบเดนตายที่เราฝึก จับตัวศิษย์ฝ่ายใต้ของเรา เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่”
เหริ่นจิ่วเริ่นเห็นท่านหนันซันสีหน้าจริงจังก็ชี้ไปทางเว่ยฉีอวี้ “ไอ้หนู เจ้ามานี่ เราศิษย์พี่ศิษย์น้องมารำลึกความหลังกันหน่อย ไม่ต้องรบกวนให้เด็กรุ่นหลังอย่างเจ้าอยู่ข้างๆ หรอก”
ท่านหนันซันพุ่งเป้าไปยังเหริ่นจิ่วเริ่น ปรับทิศทางของดาบทั้งสองเล่มเล็กน้อย “เจ้าซ่อนอยู่ข้างๆ อย่าทำเสียเรื่อง”
ว่าแล้วก็บุกเข้าเล่นงานเหริ่นจิ่วเริ่น ในมือเหริ่นจิ่วเริ่นมีเข็มกระดูกอยู่หลายเล่ม ทั้งสองเข้าเฉือนคมกัน เกิดประกายวูบวาบ ท่านหนันซันฟันเสื้อคลุมเหริ่นจิ่วเริ่นขาด สายคาดเอวพื้นดำลายม่วงก็ถูกฟันขาดด้วย ไม่รู้เป็นเพราะยั้งมือไว้ไมตรี หรือเป็นเพราะเหริ่นจิ่วเริ่นท่าร่างว่องไว จนแล้วจนรอดท่านหนันซันจึงมิได้ฝากแผลฉกรรจ์ใดๆ ไว้บนร่างเหริ่นจิ่วเริ่น
ฝ่ายเหริ่นจิ่วเริ่นนั้น คราใดสัมผัสถูกหนันซัน บนร่างนางเป็นต้องปรากฏแผลตื้นๆ ที่โดนกรีด ปากแผลเป็นสีดำ เลือดที่ไหลซึมก็ยังเป็นสีดำ
“มีพิษ” เว่ยฉีอวี้บริภาษเหริ่นจิ่วเริ่น “ต่ำช้าจริงๆ”
“บอกให้ซ่อนตัวดีๆ มาบ่นอะไรของเจ้า”
การต่อสู้หนนี้หนันซันตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบชัดเจน ได้แต่โทษที่เหริ่นจิ่วเริ่นต่ำช้ายิ่ง ทุกกระบวนท่าโหดเหี้ยม ขอเพียงนางเข้าใกล้เหริ่นจิ่วเริ่น บนร่างเป็นต้องได้แผล แม้จะเป็นแค่แผลถาก ทว่าก็ล้วนมีพิษร้าย
หนันซันมักหลบการลอบโจมตีไม่พ้น ถึงอย่างไรประสบการณ์ก็ห่างกันหลายสิบปี แม้นเป็นอัจฉริยะผู้คลั่งยุทธ์ก็กินแรงถึงขีดสุด
หลังผลัดกันรุกรับหลายรอบ ยาก็เริ่มออกฤทธิ์ เรี่ยวแรงของนางเหือดหาย ตลอดร่างมีหลายตำแหน่งเกิดอาการชาด้าน ควบคุมแรงไม่ค่อยได้
หนันซันมองเหริ่นจิ่วเริ่นที่บีบคอนางไว้ “นังหนูน้อย ยามที่ข้าเริ่มฝึกยุทธ์ฆ่าคน น่ากลัวว่าย่าเจ้ายังไม่เกิดเลย”
เหริ่นจิ่วเริ่นเหิมเกริมได้ไม่ทันไร กระบี่หนักๆ เล่มหนึ่งก็พาดลงบนบ่า ห่างจากคอเขาเพียงเศษเสี้ยว กระบี่ของหนันซื่อทาบลำคอเหริ่นจิ่วเริ่น เอ่ยด้วยยิ้มเยาะหยันว่า “ต่อให้เป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า คลื่นลูกใหม่แทนที่คลื่นลูกเก่าเสมอ”
เห็นสีหน้าดูหมิ่นเช่นนั้นของหนันซื่อ เว่ยฉีอวี้ก็คล้ายกับได้เห็นโฉมหน้ามารร้ายแห่งกองพลเชียนหนิว เหริ่นจิ่วเริ่นเอ่ยยิ้มแย้มว่า “กุมกระบี่หนักขนาดนี้แล้วยังสามารถเคลื่อนไหวโดยไร้สุ้มเสียงได้ หวั่งเซิงเหมินเราอนุชนเรืองวิชาจริงๆ”
“นับแต่วันที่เจ้าทรยศสำนัก เจ้าก็ไม่คู่ควรจะเอ่ยนามหวั่งเซิงเหมินอีกต่อไป”
กระบี่หนักๆ ของหนันซื่อกดใส่ลำคอเหริ่นจิ่วเริ่น หยดเลือดหลั่งออกมาไม่น้อย “ยาถอนพิษล่ะ” เพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อ ริมฝีปากหนันซันก็เริ่มม่วงคล้ำ คาดว่าเป็นยาพิษอันมีฤทธิ์แปลกประหลาด
เหริ่นจิ่วเริ่นควักขวดกระเบื้องใบน้อยทรงน้ำเต้าออกมา โยนให้หนันซัน “ระวังให้ดี หลังผ่านไปสองเค่อ ยาถอนพิษก็เปล่าประโยชน์แล้ว”
หนันซันรับยาไว้ เทเม็ดยาสีแดงออกมา ขณะที่กำลังกลืน ดาบโค้งสองเล่มก็พุ่งเข้าจู่โจมหนันซันกับหนันซื่อ จังหวะที่หนันซื่อหลบหลีก เหริ่นจิ่วเริ่นก็หายไปไม่เหลือร่องรอย
คอมเมนต์