บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 14
บทที่ 14 เมรัยดอกท้อ
หนันซื่อปักกระบี่หนักๆ ลงกับพื้น ประคองหนันซันไว้อย่างระวังมือ “ท่านพี่ ดีขึ้นบ้างไหม”
หนันซันพยักหน้า ไม่เอ่ยคำอีก
เว่ยฉีอวี้เห็นหนันซันกับหนันซื่อต่างนิ่งเฉยจึงถามขึ้นว่า “ไม่ไล่ตามหรือ?”
หนันซื่อตอบว่า “พวกมันยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการจากเจ้า ย่อมไม่ไปไหนไกล ช้าเร็วก็จะกลับมาหาเจ้าอีก รอพวกมันมาติดบ่วงเองก็พอ”
เว่ยฉีอวี้ไม่เข้าใจ “แต่ข้าไม่เคยเห็นขลุ่ยหยกเรียกวิญญาณนั่นจริงๆ นี่นา มันคืออะไรข้ายังไม่รู้เลย”
หนันซื่อเอ่ยว่า “เจ้านี่ช่างรู้น้อยด้อยประสบการณ์แท้ๆ ดีชั่วอย่างไรก็เคยถ่อเรืออยู่ตั้งหลายปี ไม่เคยได้ยินคนเอ่ยถึงเลยได้อย่างไร ขลุ่ยหยกเรียกวิญญาณคือหนึ่งในแปดวาทยะ”
เว่ยฉีอวี้ฟังแล้วคุ้นหู “แปดวาทยะ?”
หนันซื่อกล่าวต่อไปว่า “ตำนานเล่าขานไว้ว่าเมื่อร้อยปีก่อน เป่ยเฮ่าคง ยอดอัจฉริยะแห่งยุทธภพคิดค้นสุดยอดวิชาขึ้นแปดชุด บรรจุไว้ในเครื่องดนตรีแปดชนิด มอบให้ศิษย์แปดคน คนรุ่นหลังเรียกว่าแปดวาทยะ”
“ก็แปลว่าผู้บัญชาการซ้ายแห่งลัทธิมารมาเพื่อเคล็ดวิชาในแปดวาทยะนั่น?”
หนันซื่องึมงำว่า “ไม่รู้ตำนานมาจากไหน เหตุใดข้าถึงไม่เคยเห็นใครพบสุดยอดวิชาจากในแปดวาทยะเลย”
เว่ยฉีอวี้มองหนันซื่อผู้ประเดี๋ยวก็ทำท่าทางเหมือนเด็กๆ ประเดี๋ยวก็อำมหิตดุดัน “อาจเพราะคนรุ่นหลังทึบเขลาจึงหาเคล็ดวิชาไม่พบ”
“ขลุ่ยในมืออาจารย์ปู่หยวนกับกลองในมืออาจารย์…”
“แค่ก” หนันซันกระอักไอออกมา ทำเอาเว่ยฉีอวี้กับหนันซื่อพากันนิ่งงัน
เว่ยฉีอวี้ถามว่า “ท่านหนันซัน เจ้าดีขึ้นบ้างหรือไม่”
สีเขียวคล้ำบนดวงตานางเลือนไปแล้ว หนันซันกระอักเลือดช้ำออกมาหนึ่งคำ มือกุมหน้าอกเดินโซเซอยู่สามสี่ก้าว ต่อมาเมื่อยืนตรงได้ก็มุ่งหน้าไปยังหมู่ตึกโยวกุย
หนันซื่อรีบเข้าไปแบกหนันซัน “รีบร้อนอะไรกัน ข้าแบกเจ้าไปก็ได้”
หนันซันตบบ่าหนันซื่อ บอกให้เขาปล่อยนางลง “เลยยามอู่[1]แล้ว เจ้ายังไม่ลงเขาอีกหรือ? ถ้าชักช้าจะไม่ทันพิธีใหญ่ที่วัดเส้าหลินนะ”
“พิธีใหญ่ที่วัดเส้าหลินนั่นข้าก็ได้แค่มอง ทำอะไรไม่ได้เสียหน่อย จะรีบร้อนไปไย”
หนันซื่อมิได้นำพา ไม่ใส่ใจพิธีแต่งตั้งเจ้าอาวาสรูปใหม่แห่งวัดเส้าหลินแม้แต่น้อย หนันซันขึงตาใส่เขา หนันซื่อถึงยอมปล่อยนางลงอย่างอิดออด จากนั้นก็เอ่ยกับเว่ยฉีอวี้ว่า “แบกพี่สาวข้ากลับไปด้วย”
เว่ยฉีอวี้รับตัวหนันซันมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นท่านหนันซันอ่อนแอขนาดนี้ ดูมีลักษณะเยี่ยงสตรีอยู่ไม่น้อยทีเดียว ทีแรกท่านหนันซันไม่ยินยอม แต่ต่อมาก็อ่อนล้าลงทีละน้อย จนถึงขั้นหลับซบหัวไหล่เว่ยฉีอวี้
เขาที่แบกหนันซันเดินไปตามป่าเขาถึงกับผ่อนคลายสุขสงบอย่างหาได้ยาก
เว่ยฉีอวี้มองจูจูจื่อที่ปรากฏกายกะทันหัน “แม่นางมี่มี่บอกว่าเจ้าจะคุ้มครองความปลอดภัยข้า ไฉนเมื่อกี้ไม่เห็นเจ้าเลย”
“อาจารย์อาเล็กโปรดอภัยด้วยขอรับ เช้านี้เหล่าสำนักใหญ่จำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันที่ตีนเขา จึงจำเป็นต้องเรียกรวมบรรดาศิษย์ไปล้อมต้านที่ตีนเขา” เขาเห็นเช่นนั้นจึงไม่ตำหนิอีก เพียงแค่ถามว่า “ไม่รู้ว่าท่านหนันซันผู้นี้พักที่ใด”
จูจูจื่อ “เรือนจู้จิ่วขอรับ”
เรือนจู้จิ่ว? เขานึกสงสัยมาตลอดว่าผู้ที่พำนักในเรือนนั้นคือผู้ใด ทำไมถึงได้มีดอกไม้นานาพรรณและกลิ่นหอมของสุราทั่วเรือน ที่แท้ก็ท่านหนันซันนี่เอง มองไม่ออกเลยว่าในทางส่วนตัวแล้วท่านหนันซันจะอาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนั้น
จูจูจื่อนำทางอยู่เบื้องหน้า ไม่นานนักทั้งสองก็ลุถึงเรือนจู้จิ่ว หลังประตูไม้แกะสลักของเรือนเต็มไปด้วยบุปผชาติดาษดาเต็มพื้น กลีบดอกล้วนร่วงมาจากต้นไม้ประหลาดที่มีบุปผาผลิสะพรั่งต้นนั้น
บนต้นไม้แขวนเปลซึ่งถักจากไม้ไผ่เล็กละเอียดไว้ ใต้ต้นไม้ยังมีโต๊ะเก้าอี้ที่ทำจากหินอยู่หนึ่งชุด บนโต๊ะเก้าอี้มีกลีบดอกไม้ทับถมเต็มไปหมด
เว่ยฉีอวี้วางท่านหนันซันลงบนเตียงในห้อง ห้องนี้ดูเรียบง่าย แต่ก็มีของกระจุกกระจิกวางอยู่มากมาย เขาเห็นสุราสามสี่ไหที่มุมห้อง นี่คือสุราที่ท่านหนันซัน ถึงขนาดบ่มด้วยตนเอง
จูจูจื่อบอกว่าศิษย์พี่มี่มี่นำคนไม่น้อยไปสกัดคณะซึ่งเกิดจากการรวมตัวของเหล่าสำนักใหญ่ที่ตีนเขา ส่วนหนันซื่อต้องไปทำธุระของกองพลเชียนหนิว จูจูจื่อต้องเฝ้าหลังเขาแทนท่านหนันซัน เช่นนี้ก็เท่ากับเหลือเพียงเว่ยฉีอวี้ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถดูแลท่านหนันซันได้
เขามองดวงหน้าท่านหนันซัน ยามไม่พูดจาร้ายกาจ ไม่ทำหน้าเคร่งเครียด นางก็ดูอ่อนโยนงดงามขึ้นมาก นับว่าเป็นหญิงงามที่หาได้ยากนางหนึ่งเช่นกัน
เว่ยฉีอวี้ต้านทานกลิ่นหอมของสุราเหล่านั้นไม่ไหวแล้ว ช่างหอมเหลือเกิน แมลงสุราคล้ายกำลังอาละวาดอยู่ในท้อง เขามองท่านหนันซันที่กำลังหลับ ก่อนจะดอดไปยังห้องด้านข้างอย่างเงียบเชียบ “ข้าอุตส่าห์ลำบากลำบนแบกเจ้ากลับมา ดื่มเหล้าของเจ้าสักหน่อยเป็นค่าตอบแทนคงไม่เป็นไรกระมัง”
กลิ่นหอมของสุราเข้มข้นบริสุทธิ์ เพิ่งจะเข้าปากก็ชวนให้เว่ยฉีอวี้ระแวงว่าสุราที่เคยดื่มมาทั้งหมดล้วนไม่ใช่สุราแท้ “ไม่เคยดื่มเหล้าอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”
หนึ่งคำ สองคำ หนึ่งจอก สองจอก หนึ่งกา สองกา สุดท้ายเขาก็เมาพับอยู่ท่ามกลางเมรัย รอจนตื่นขึ้นอีกคราท่านหนันซันก็คืนสู่สภาพเดิมแล้ว
ท่านหนันซันจับเว่ยฉีอวี้โยนออกไปกลางลาน เขาคลำบั้นท้ายที่ถูกกระแทกจนแหลกเป็นแปดเสี่ยง ยามนี้ถึงตื่นเต็มตา “ท่านหนันซัน”
ท่านหนันซันย่างสามขุมมา จ่อดาบคู่เยวียนยางใส่ด้านซ้ายขวาของเขาข้างละเล่ม “วันแรกเจ้ากินอาหารของห้องครัวไปกว่าครึ่งค่อน วันที่สองเจ้าเข้าฝึกสายไปหนึ่งชั่วยามครึ่ง วันที่สามเจ้าก็ยังสายไปครึ่งชั่วยาม วันนี้เจ้าดื่มสุราที่ข้าบ่มไปสองไห”
ท่านหนันซันชักดาบทั้งสองเล่มขึ้นฟันใส่เว่ยฉีอวี้โดยไม่แยแสว่าเขาจะตั้งตัวทันหรือไม่ เขาผวากลิ้งไปตามพื้นหลายตลบกว่าจะหลบพ้น “ข้อหาสองสามข้อแรกของเจ้ายังพอทำเนา แต่เจ้ายังดื่มเมรัยดอกท้อที่ข้าบ่มมาสามปีลงไปด้วย”
ว่าแล้วรสชาตินี้เหตุใดถึงคุ้นนัก ที่แท้ก็เหมือนสุราของเฮยซยาจื่อนี่เอง
เขาผวาจนปีนหนีขึ้นต้นไม้ เป็นตายก็ไม่ยอมลง เขารู้ว่าถึงอย่างไรท่านหนันซันก็จะไม่โค่นต้นไม้ต้นนี้
ดาบยาวเรียวเล่มที่มีนามว่ายางลอยผ่านหน้าเว่ยฉีอวี้ไปปักใส่กำแพงด้านหลัง “ท่านหนันซันข้าผิดไปแล้ว”
“ข้าหมักเมรัยดอกท้อเป็น จริงๆ นะ เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองจินหลิงข้าเคยหัด วิชาหมักเมรัยดอกท้อของเฮยซยาจื่อที่อาศัยข้างศาลเสื้อเมืองน่ะร่ำเรียนมาจากในวัง ขอเพียงเขาไม่เติมน้ำ เหล้านั่นก็จะอร่อยนัก”
ท่านหนันซัน “ลงมา”
“ไม่ลง”
“เจ้าลงมาเดี๋ยวนี้”
“ลงไปเจ้าก็ฟันข้าน่ะสิ”
“เว่ยเยวียน ขืนยังไม่ลงมาอีกข้าจะฟันเจ้าจริงๆ”
เว่ยฉีอวี้ไหลลงจากต้นไม้อย่างอิดออด ท่านหนันซันเห็นเขาหน้าม่อยคอตกก็เอ่ยว่า “เว่ยเยวียน เจ้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ปู่หยวน ตกลงเจ้าหัดอะไรมาจากท่านบ้าง”
“ถ่อเรือข้ามฟาก ดื่มเหล้าจ่ายเชื่อ แล้วก็เรื่องสำมะเลเทเมาทั้งหลายแหล่”
ท่านหนันซันมอง “เจ้าหมักเหล้าให้ข้า ถ้าหมักออกมาได้รสชาติเดียวกับเมรัยดอกท้อนั่น ข้าจะละเว้นเจ้า”
เว่ยฉีอวี้เก็บดอกไม้บนพื้นขึ้น “ฤดูนี้ไม่มีดอกท้อ ข้าใช้ดอกไม้นี่หมักเมรัยดอกท้อรสอื่นแทนได้ไหม” เขาเอากลีบดอกไม้ใส่ปาก “หวาน มีรสเปรี้ยวนิดๆ รสชาติดีกว่าดอกท้อด้วยซ้ำ”
ท่านหนันซันเอ่ยว่า “นี่คือดอกไม้ของซีอวี้ กำเนิดบนภูเขาหิมะ ยากจะอยู่รอดในเขตที่ราบ มีแค่บนเขาสิ้นไผ่แห่งนี้ที่พอถูไถเลี้ยงให้รอดได้”
[1] ‘ยามอู่’ คือเวลา 11.00 – 12.59 น.
คอมเมนต์