บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 15

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 15 บุกตีเขา

เว่ยฉีอวี้มองไม้ยืนต้นสูงใหญ่ต้นนี้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวคราหนึ่ง พลุสีเขียวลุกไหม้อยู่กลางอากาศ เขากับท่านหนันซันสบตากัน
ท่านหนันซันคว้าดาบได้ก็วิ่งไปทางตีนเขา ทิ้งเว่ยฉีอวี้ไว้เบื้องหลัง
เว่ยฉีอวี้เห็นหนันซันทิ้งห่างไปหลายจั้งแล้วก็รีบตามลงเขาไป ที่ตีนเขานั้น นอกจากแม่นางเชียนมี่ก็ยังมีคนอีกห้ากลุ่ม
วัดเส้าหลิน เขาอู่ตัง[1] เขาฮว่าซัน เขาเอ๋อเหมย[2] และสำนักเผิงไหล
ตาคู่งามของแม่นางเชียนมี่ดำขลับ ดวงหน้ามีเสน่ห์เย้ายวน “เอ๋ ท่านทั้งหลาย สำนักเล็กๆ อย่างหวั่งเซิงเหมินแห่งเขาสิ้นไผ่ไหนเลยจะคู่ควรให้ห้าสำนักใหญ่มาเยือนพร้อมกัน”
“เขาสิ้นไผ่นี้บุกขึ้นไปแล้วจะได้ประโยชน์ที่ตรงไหน ก็แค่สวนแห่งหนึ่งกับซากกระดูกไม่กี่กอง ไม่มีเคล็ดวิชาลับอะไร แล้วก็ไม่มียอดคนผู้เร้นกายใดๆ”
ท่านหนันซันยืนข้างแม่นางเชียนมี่ คนของหวั่งเซิงเหมินมีเพียงสิบกว่าคน ส่วนบรรดาศิษย์ของห้าสำนักใหญ่รวมกันได้ร้อยกว่าคน ชัดเจนว่าเป็นสถานการณ์แบบหนึ่งต่อสิบ
เมื่อเว่ยฉีอวี้เข้าไปใกล้ถึงระยะหนึ่งลี้ถึงพอได้ยินว่าพวกเขากำลังสนทนาอะไรกันอยู่
“คนต่ำช้าอย่างพวกเจ้าเป็นภัยต่อยุทธภพ ย่อมเก็บพวกเจ้าไว้ไม่ได้”
แม่นางเชียนมี่เอ่ยยิ้มแย้มว่า “ไม่รู้ว่าพวกท่านมาด้วยเหตุอันใด ถึงได้เจาะจงเลือกมาเยือนในยามที่อาจารย์เข้าฌาน ศิษย์พี่ออกไปฝึกฝนข้างนอก ศิษย์น้องก็ไปทำธุระข้างนอก”
นักพรตเคราขาวผู้เป็นผู้นำเอ่ยว่า “โจรห้าคนเหลือแค่สองคน ข้าจะดูว่าพวกเจ้ายังจะทำเรื่องชั่วช้าสามานย์อย่างไรได้อีก”
เชียนมี่รับผีผาที่เด็กรับใช้ข้างกายยื่นให้ “ไม่ทราบว่าทุกท่านสงสัยใช่ไหมว่า ผีผาในมือข้านี้คือหนึ่งในแปดวาทยะหรือไม่”
นางกอดผีผาแล้วนั่งลง เสียงเกรื่องกร่างดังขึ้น เชียนมี่กอดผีผาบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง ท่าทีคล้ายขัดขืนทว่าก็โอนอ่อนผ่อนตาม นิ้วมือคลำสาย แล้วบทเพลงชวนลุ่มหลงก็ดังขึ้น
เสียงผีผาแต่ละเสียงล้วนสามารถทำให้คนทั้งปวงที่ได้ฟังหลงเคลิบเคลิ้ม นักพรตเฒ่าผู้เป็นผู้นำบริภาษว่า “นี่มันบทเพลงอันเสื่อมทราม ล่อลวงจิตใจคน ยังไม่รีบอุดหูแล้วสงบจิตใจอีก”
แม้นักพรตเฒ่าจะกล่าวเตือน ทว่าก็ยังมีคนไม่น้อยสูญเสียสัมปชัญญะ น้ำลายไหล ดิ่งลงสู่ห้วงจินตนาการของตนเอง
“วิชาปีศาจพรรค์นี้ ข้าเมิ่งเต๋อจื่อจะทำลายให้ดู แล้วดูว่าเจ้าจะยังทำชั่วอย่างไรได้อีก”
เชียนมี่กอดผีผาไว้ เริ่มร่ายระบำบนก้อนหินใหญ่ กระพรวนบนข้อเท้าดังกรุ๋งกริ๋งตามการเคลื่อนไหวแต่ละท่าของนาง ไฝแดงใต้ดวงตาฉายกรีดกรายใส่ผู้คน
และแล้วก็มีคนอีกไม่น้อยเริ่มยกมือยกไม้เต้นระบำตามการเคลื่อนไหวของเชียนมี่ โบกส่ายมั่วซั่วไปหมด
กระทั่งเมิ่งเต๋อจื่อผู้นั้นก็ยังจนด้วยเกล้า เล่าแล้วเหมือนช้า ทว่ายามนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว คนผู้หนึ่งก้าวออกจากแนวป่าแล้วเอ่ยว่า “เท้าอย่าเหยียบพื้น ดินบนพื้นบริเวณนั้นเต็มไปด้วยแมลงอาคม สามารถทะลุผ่านรองเท้าถุงเท้าไปถึงฝ่าเท้าของทุกคนได้”
เว่ยฉีอวี้มองไปทางผู้ที่ส่งเสียง ถึงกับเป็นเขา
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็พากันขึ้นไปยืนบนก้อนหินหรือปีนขึ้นต้นไม้ เมื่อพ้นจากพื้นดินก็เห็นว่าใต้เท้ามีแมลงตัวเท่าด้ายแดงติดอยู่ ทุกคนต่างสูดหายใจเฮือก นี่ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่าแมลงอาคม
จูเยี่ยยืนอยู่กลางแมกไม้ ปลิดใบไม้มาหนึ่งใบ ซัดไปยังไฝสีแดงใต้ตาของเชียนมี่อย่างรวดเร็ว แม่นยำและเฉียบขาด
แม่นางเชียนมี่ถอยวูบ หลบได้พ้น ระบำยังคงดำเนินต่อไป เสียงผีผาก็ไม่ขาดช่วง จูเยี่ยเห็นดังนั้นก็สะบัดใบไม้มากมายไปโจมตีนาง แต่ละใบล้วนกลายเป็นอาวุธลับ รวดเร็วจนเว่ยฉีอวี้ผู้อยู่ห่างออกมายังรู้สึกได้ถึงกระแสลมเย็น
แม่นางเชียนมี่ไม่เสียทีที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระบำของที่ต่างๆ และดนตรีนานาชนิด นางพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ เปลี่ยนเป็นบทเพลงซุ่มสิบด้าน[3]ซึ่งมีท่วงทำนองฉับไว
เมิ่งเต๋อจื่อเห็นจูเยี่ยก็ตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “คุณชายหน้าหยก เป็นคุณชายหน้าหยกแห่งสำนักฮว่าซัน”
คุณชายหน้าหยกแห่งสำนักฮว่าซัน? ตอนแรกเว่ยฉีอวี้นึกว่าที่หยวนหลิงเรียกเขาว่าคุณชายหน้าหยกนั้นเป็นการล้อเล่น แต่ไม่เคยคิดว่าที่แท้คนผู้นี้ถึงกับมีฉายาในยุทธภพ
ไม่รู้เป็นเพราะจูเยี่ยเหลือบเห็นเว่ยฉีอวี้ที่ซ่อนอยู่ไม่ไกลหรืออย่างไร เขาจึงซัดใบไม้ใบหนึ่งใส่ต้นไม้ใหญ่ข้างๆ เว่ยฉีอวี้ แรงซัดหนักหน่วงจนใบไม้ฝังเข้าไปลึกถึงสามข้อนิ้ว
เว่ยฉีอวี้กลืนน้ำลาย พฤติกรรมนี้ของจูเยี่ยกลับทำให้ท่านหนันซันสังเกตเห็นเว่ยฉีอวี้ เขาคิดในใจว่าแย่แล้ว แต่ไม่นึกว่าท่านหนันซันก็แค่เหลือบมาทางนี้แวบเดียว จากนั้นก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ก่อนจะควงดาบคู่เยวียนยางเข้าโจมฟันจูเยี่ย
เว่ยฉีอวี้หลบเข้าไปซ่อนในป่าอีกครั้ง
เมื่อเห็นท่านหนันซันกับจูเยี่ยเริ่มลงไม้ลงมือ คนของห้าสำนักใหญ่กับหวั่งเซิงเหมินก็ถืออาวุธของตนเข้าห้ำหั่นเช่นกัน สำนักหวั่งเซิงฝ่ายใต้ใช้ดาบและกระบี่เป็นหลัก ไม่เหมือนฝ่ายเหนือที่ชอบศึกษาคิดค้นอาวุธลับและดินระเบิด ปะทะคมกันเช่นนี้ นอกจากสับสนวุ่นวายเหลือทน ก็พอนับได้ว่าเป็นการประลองอันยุติธรรม
เว่ยฉีอวี้สังเกตวิชายุทธ์ของพวกเมิ่งเต๋อจื่อและจูเยี่ยอย่างละเอียดตามแนวทางที่หยวนหลิงเคยสอนตน เมิ่งเต๋อจื่อสวมชุดนักพรต มือถือแส้ ส่วนปลายของแส้ถึงกับเป็นกระบี่เรียวยาวเล่มหนึ่ง วิชากระบี่ของเมิ่งเต๋อจื่อนั้นหากใช้คำพูดของท่านอาจารย์ก็ต้องบอกว่า กระบวนท่าไม่ว่องไว แรงฟันไม่เฉียบขาด อย่าว่าแต่เป็นยอดฝีมือเลิศลบจบหล้าเลย จะนับเป็นยอดฝีมือในระดับต้นๆ ก็ยังไม่ได้ เต็มที่ก็เป็นระดับรองๆ ลงมา
ส่วนจูเยี่ยผู้นั้นถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว ท่าร่างพลิ้วไหว ไม่เสียทีที่มาจากสำนักฮว่าซัน สำนักฮว่าซันให้ความสำคัญกับคุณธรรมความถูกต้องเป็นอันดับแรก ต่อมาคือวิชาตัวเบา หลังจากนั้นถึงเป็นวิชายุทธ์ ดังนั้นวิชาตัวเบาของศิษย์ฮว่าซันจึงมักจะยอดเยี่ยมที่สุด แม้ฝีมือของจูเยี่ยจะเทียบท่านหนันซันไม่ติด กระบวนท่าไม่หมดจดว่องไวมุ่งโจมตีจุดอันตรายอย่างท่านหนันซัน แต่บังเอิญอาวุธของท่านหนันซันคือดาบคู่เยวียนยางที่หนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ นอกจากพิถีพิถันเรื่องการใช้แรงแล้วก็ไม่ปราดเปรียวนัก
แม้จะเป็นการเอาจุดด้อยไปปะทะจุดแข็งของผู้อื่นอยู่บ้าง จูเยี่ยก็ยังสามารถรับมือท่านหนันซันได้หลายกระบวนท่า แต่หากไม่อาจยุติศึกได้ในเวลาอันรวดเร็ว จูเยี่ยต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
เว่ยฉีอวี้มองอย่างกระตือรือร้น เรียนรู้ที่จะใช้จุดแข็งกลบจุดด้อย ลอกเลียนกระบวนท่าภายนอก คล้ายกับได้เรียนรู้พื้นฐานวิชามาเล็กน้อย
มือข้างหนึ่งทาบลงบนไหล่เขา เขาไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดจึงศอกกลับ โดนส่วนท้องของผู้ที่อยู่ข้างหลังพอดี
คนผู้นั้นไม่ได้ระวังตัว เว่ยฉีอวี้จึงลงมือได้ผล คนผู้นั้นเรียก “เว่ย…” คำว่า “เยวียน” ยังไม่ทันเปล่งออกมา ปากของหยวนหลิงก็ถูกเว่ยฉีอวี้อุดไว้ เขากระซิบว่า “เจ้าบ้าหยวนหลิง ทำข้าตกใจแทบแย่”
“ยังมีหน้าพูดว่าข้าทำเจ้าตกใจอีก ข้าต่างหากที่โดนเจ้าทำตกใจแทบตาย โอย น้ำย่อยในกระเพาะเกือบถูกเจ้ากระทุ้งออกมาแล้วเชียว” หยวนหลิงคลำท้องป้อยๆ “ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้าเด็ดขาด เว้นแต่เจ้าจะย่างปลาให้ข้าสิบวัน”
เว่ยฉีอวี้ทำท่าให้เงียบเสียง “เบาๆ หน่อย อย่าว่าแต่สิบวันเลย ข้าอยู่หลังเขานานเท่าไหร่ก็ย่างปลาให้เจ้านานเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ดี” หยวนหลิงยิ้มระรื่น “เว่ยเยวียน มิน่าข้าตามหาเจ้าที่ไหนก็หาไม่เจอ ที่แท้เจ้ามาชมความครึกครื้นอยู่ตรงนี้นี่เอง”
เว่ยฉีอวี้คร้านจะสนใจเขา “ชมความครึกครื้น? ข้าเป็นคนว่างจนเหลือแต่เวลาแล้วหรือไร ข้ากำลังชมศึกเพื่อเรียนรู้ต่างหาก”
หยวนหลิงได้ยินดังนั้นค่อยมองไปยังการประหัตประหารเบื้องล่าง เขาไม่ตกใจสักนิดที่เห็นจูเยี่ย ราวกับคาดไว้แต่แรกแล้วว่าสักวันต้องมีฉากนี้เกิดขึ้น “จูจื่อหัวผู้นี้ ปกติข้าเห็นพื้นฐานวรยุทธ์ไม่เลว ไฉนเมื่ออยู่ในมือท่านหนันซัน ฝีมือถึงธรรมดาขนาดนี้นะ”
“เจ้ารู้นานแล้วหรือว่าจูเยี่ยเป็นศิษย์สำนักฮว่าซัน?”
“แน่นอน คุณชายหน้าหยกจูจื่อหัวแห่งสำนักฮว่าซันผู้นี้ วิชาตัวเบาล้ำเลิศ รูปโฉมโดดเด่น มีฉายาคู่กับเจียงจันแห่งหวั่งเซิงเหมินฝ่ายเหนือ เป็นสองรูปงามใต้เหนือดำขาว คาดว่าใครเห็นเข้าก็ต้องจำได้ทั้งนั้นแหละ”
[1] อู่ตัง คือ บู๊ตึ๊ง
[2] เอ๋อเหมย คือ ง้อไบ๊
[3] คือบทเพลงโบราณสำหรับเดี่ยวผีผา ประพันธ์ทำนองโดยอิงประวัติศาสตร์การศึกระหว่างเซี่ยงอวี่กับหลิวปัง

คอมเมนต์

Chapter List