บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 17
บทที่ 17 สำนักโส่วมู่
เว่ยฉีอวี้หาบน้ำมาสองถังอย่างยากเย็น แต่เนื่องจากทางลื่นจึงส่ายโงนเงนจนน้ำหกไปไม่น้อย เขามองถังซึ่งเหลือน้ำเพียงครึ่งเดียว “แบบนี้เมื่อไหร่จะเสร็จเสียที”
ขณะหาบน้ำ เขาก็เห็นป่าด้านล่างคล้ายมีเงาคน หรือว่าจะเป็นเหริ่นจิ่วเริ่นอีกแล้ว เขาไม่กล้าขยับตัว แทบจะลงไปซ่อนในบ่อน้ำทีเดียว เป็นเหริ่นจิ่วเริ่นกับอู่วั่งเหวยจริงๆ แต่ยังมีคนอีกผู้หนึ่ง สวมชุดขาว กุมกระบี่ยาว ถ้าไม่ใช่จูเยี่ยแล้วจะเป็นใครได้อีก
เจอกันโดยบังเอิญก็เลยสู้กันหรือ? แล้วเขาก็เห็นกับตาว่าจูเยี่ยโค้งคารวะเหริ่นจิ่วเริ่น อ่านปากแล้วเหมือนเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโส ส่วนท่าทีของเหริ่นจิ่วเริ่นหรือก็ผิดวิสัยนัก เขายื่นของสิ่งหนึ่งซึ่งห่ออยู่ในผ้าขาวให้จูเยี่ย หนำซ้ำสีหน้าของคนเหล่านั้นก็ไม่เหมือนกำลังต่อรองแลกเปลี่ยนกัน แต่คล้ายสนิทสนมกันมานาน
เพียงครู่เดียวทั้งสามก็แยกกันไป เว่ยฉีอวี้ถึงได้ลุกขึ้นหาบน้ำด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวนรุดกลับหมู่ตึกโยวกุย
เว่ยฉีอวี้ไปๆ กลับๆ จนเที่ยงกว่าจะหาบน้ำมาเติมจนเต็ม เขาพับลงกับพื้น อย่าว่าแต่กินอาหารเช้าเลย เหนื่อยจนอาหารเที่ยงก็กินไม่ลงแล้ว ผ่านไปไม่นานนักหยวนหลิงก็แบกไม้ทำฟืนกลับมา พอเห็นเว่ยฉีอวี้เขาก็พร่ำพรรณนาถึงความยากเข็ญ “นางสวรรค์นั้นหนาเอาเรื่องขึ้นมาก็น่ากลัวเป็นที่สุด”
หยวนหลิงวางไม้ทำฟืนลง “ข้าคุยเหตุผลกับเจ้าหน่อย หน้าผานั่นน่ะ คือหินก้อนมหึมาทั้งก้อน ต้องหากันครึ่งค่อนวันกว่าจะเจอต้นไม้สักหย่อมหนึ่ง หายากยังพอทำเนา บนนั้นยังเป็นที่รวมแห่งเบญจพิษ ตะขาบ งูพิษ คางคก ตุ๊กแก แมงป่อง มีครบไม่ขาดสักชนิด”
เขาถอดรองเท้า ตรวจดูรอยกัดบนรองเท้า “เคราะห์ดีที่รองเท้าข้าหนา ไม่อย่างนั้นเจ้าไม่ได้เห็นข้าแล้ว”
ทั้งสองนั่งแน่นิ่งอยู่บนพื้น จากนั้นโหลวเซียวก็มายื่นซาลาเปาเนื้อให้คนละชาม อาหารมื้อเช้ากับเที่ยงคือซาลาเปาเนื้อ? เห็นทีคงเป็นเช่นนี้เสียแล้ว
เชียนมี่มองสองคนที่เหงื่อกาฬแตกเต็มศีรษะ “พวกเจ้าพักสักครู่ ช่วงบ่ายไปจื่ออู่หลิ่งกับข้าสักเที่ยว”
เว่ยฉีอวี้ “จื่ออู่หลิ่ง?”
หยวนหลิงเห็นเว่ยฉีอวี้ทำหน้าฉงนจึงกล่าวว่า “จื่ออู่หลิ่งคือสมรภูมิโบราณในราชวงศ์ก่อน ตั้งอยู่บนเทือกเขาฉินหลิ่งแห่งนี้ จะว่าไปก็เป็นหลุมฝังศพรวม แต่ได้ยินว่าที่จื่ออู่หลิ่งมีสุสานกระบี่อยู่ แม่ทัพใหญ่ของราชวงศ์ก่อนเหลือเอาไว้ ในสุสานที่ว่ามีกระบี่อาญาสิทธิ์อยู่เล่มหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่นางมี่มี่ไปเพื่อกระบี่นั่นหรือไม่”
จื่ออู่หลิ่งคือยอดเขาลูกที่สองจากทางขวาของเขาสิ้นไผ่ ถ้าแค่ลงเขาแล้วขึ้นเขา คาดว่าต้องใช้เวลาครึ่งวัน แต่เห็นชัดว่าแม่นางเชียนมี่มีเส้นทางอื่น
ปลายสุดด้านข้างหน้าผามีเหล็กยาวๆ เส้นหนึ่งซึ่งดูประหนึ่งเสียบตรงเข้าสู่ก้อนเมฆ ทอดไปยังยอดเขาอีกลูก
เว่ยฉีอวี้ลูบเหล็กเส้นหนาเท่านิ้วก้อย “ไปทางนี้หรือ”
เชียนมี่พยักหน้าแล้วกระโดดขึ้นบนเหล็กเส้นด้วยท่าทางไม่ผิดอะไรกับเดินบนพื้นราบ แค่ว่าเท้าต้องซ้อนในแนวเดียวกัน หยวนหลิงตามติดอยู่ด้านหลังนาง เว่ยฉีอวี้มองหุบเขาที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นนั่น เกิดร่วงลงไปร่างมิแหลกเป็นผุยผงกันพอดีหรือ
เว่ยฉีอวี้ใช้สองมือกอด สองขาหนีบ โหนต่องแต่งอยู่บนเหล็กเส้น กระถดไปทีละนิดๆ ทันทีที่เขาขึ้นไปบนนั้น เหล็กเส้นก็แอ่นลง ทำเอาหยวนหลิงกับเชียนมี่ถูกดีดกระเด้ง หยวนหลิงเหลียวกลับมามองสภาพทุเรศเหลือทนของเขาแล้วหัวเราะลั่น หัวเราะเสร็จยังเผลอสติจนเกือบร่วงลงไป “เว่ยฉีอวี้ นี่ทำอะไรของเจ้า”
จื่ออู่หลิ่งกับเขาสิ้นไผ่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่นี่ต้นไม้รกครึ้มยิ่งนัก เป็นป่าเขารกชัฏแห่งหนึ่ง เมื่อเดินลงไปทางตีนเขาจื่ออู่หลิ่ง ต้นไม้ใบหญ้าข้างทางก็ขนาดย่อมลงเรื่อยๆ หลายต้นยังเข้าขั้นเหลืองแห้ง
เว่ยฉีอวี้มัวคิดเรื่องอื่นจึงไม่ทันระวัง เตะถูกบางสิ่งจนลื่นไถลกลิ้งลงจากเขา สุดท้ายกอดต้นไม้ต้นหนึ่งไว้กว่าจะทรงตัวได้ เขามองวัตถุซึ่งกลิ้งหลุนๆ ร่วงต่อไป ที่แท้คือหมวกเกราะของนักรบ
ทางฝั่งหยวนหลิงก็เก็บหมวกเกราะใบหนึ่งที่ได้จากพื้นดินตรงไหนสักแห่ง “พู่สีน้ำเงิน เป็นกองทัพของราชวงศ์ก่อน” เชียนมี่กวาดมองสี่ด้าน “ที่นี่แหละ”
เชียนมี่มองต้นจ๊อ[1]ที่สูงใหญ่เป็นพิเศษต้นหนึ่ง ก้าวไปถึงต้นจ๊อดังกล่าว ในมือถือเข็มเย็บผ้าเรียวเล็กห้าเล่ม สี่เล่มปักลงยังมุมสี่มุมของผนังหินหลังต้นจ๊อ เมื่อเข็มเล่มสุดท้ายปักลงบนผนังนั่น ผนังหินก็เคลื่อนออกทันใด เผยให้เห็นทางเดินสีดำข้างใน
บนทางเดินในสุสานมีหมวกเกราะชนิดเดียวกับด้านนอกอีกมาก ทว่านอกจากหมวกติดพู่น้ำเงิน ในนี้ยังมีหมวกติดพู่แดงอยู่ไม่น้อย ในหมวกเกราะแต่ละใบต่างมีกระดูกขาวหนึ่งซาก ดูจากซากกระดูกเต็มพื้น ที่นี่น่าจะเคยเกิดการห้ำหั่นครั้งใหญ่
ทางเดินในสุสานอันทอดยาวและอับชื้นในสุสานคดเคี้ยวไปมา เมื่อถึงปากทางอีกแห่งอุณหภูมิก็ลดฮวบ ไม่เหมือนสภาพอากาศของฤดูร้อนแม้แต่น้อย
เว่ยฉีอวี้สัมผัสได้ถึงกระแสลมจากกระบี่ มีคนลอบโจมตีหรือ? เขาหลบวูบ คนสวมชุดขาว ปิดหน้าด้วยผ้าขาว มองเพศไม่ออกเจ็ดแปดคนถือกระบี่พุ่งเข้าแทงคนทั้งสาม โดยพุ่งเป้ามาที่เชียนมี่ นางถูกหลายคนล้อมโจมตี และแล้วคนผู้หนึ่งก็ก้าวออกจากประตูหินเบื้องหน้า “พวกเจ้ามาทำอะไร”
เชียนมี่เอ่ย “ผู้อาวุโส เราหาได้มีเจตนาล่วงเกินไม่ เรามารับการทดสอบ”
เมื่อนางกล่าวจบ คนจากประตูก็ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้เจ็ดแปดคนนั้นหยุด “มารับการทดสอบ หรือมาแย่งชิงด้วยกำลังกันแน่”
เชียนมี่โค้งคารวะ “หากศิษย์น้องสามกับศิษย์น้องสี่เคยล่วงเกินสำนักโส่วมู่ (สำนักพิทักษ์สุสาน) ก็ขอท่านผู้อาวุโสโปรดอภัยด้วย วันนี้ข้าพาเด็กรุ่นหลังสองคนมา จะมีชะตากรรมเยี่ยงไรก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเอง หากสิ้นชีพอย่างไร้ผิดอยู่กลางทางเดินในสุสาน พวกเราหวั่งเซิงเหมินก็จะไม่หาเหตุก่อเรื่องเพื่อผู้บริสุทธิ์เป็นเด็ดขาด”
ผู้อาวุโสสำนักโส่วมู่กวาดตาประเมินหยวนหลิงกับเว่ยฉีอวี้คราหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “พวกเจ้าตามข้าเข้ามาเถิด” เว่ยฉีอวี้มองเชียนมี่ผู้อยู่หน้าประตู หวนนึกถึงสภาพเกือบเอาชีวิตไม่รอดเมื่อครู่แล้วก็ยื้อแขนเสื้อหยวนหลิงไว้ กระซิบว่า “จะเข้าไปจริงหรือ ถ้ามีไปไร้กลับขึ้นมาจริงๆ จะทำอย่างไร”
หยวนหลิงตอบ “สุสานกระบี่ที่สำนักโส่วมู่พิทักษ์อยู่นี้ล้วนเป็นยอดศาสตราจากราชวงศ์ก่อน เพื่อสิ่งนี้ ชาวยุทธ์ยังฆ่าฟันกันมิหยุดหย่อน แต่ปกติคนทั่วไปนั้น กระทั่งสำนักโส่วมู่อยู่ไหนก็ยังหาไม่พบ วันนี้เจ้ากับข้าได้มาเยือนสุสานกระบี่ทั้งที จะพลาดโอกาสอันงามได้อย่างไร”
ผู้อาวุโสสำนักโส่วมู่พาทั้งสองมายังใจกลางทางเดินในสุสาน ที่นี่นอกจากเส้นทางที่เข้ามาเมื่อครู่ก็ยังมีเส้นทางย่อยอีกสิบแปดสาย “ที่นี่มีทางทั้งหมดสิบแปดสาย นอกจากทางที่สาม เจ็ด แปด สิบห้า ในเส้นทางอื่นยังมียอดกระบี่เก็บรักษาอยู่ นามแห่งศาสตราจารึกอยู่เหนือทางเดิน จะเข้าสู่เส้นทางไหน หรือจะหันกลับตอนนี้ ล้วนขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเอง”
เว่ยฉีอวี้มองบรรดาชื่อที่จารึกเหนือทางเดิน ตรงกลางสุดก็คือ ‘ซั่งฟาง’ (กระบี่อาญาสิทธิ์) นอกจากนั้นยังมี ‘กันเจียงโม่เหยีย’ ‘ชีซิงหลงเยวียน’ ‘ไท่เออ’ และกระบี่ลือนามอื่นๆ เว่ยฉีอวี้มองต่อไป ลำดับสุดท้ายถึงกับเขียนว่า ‘กู่เต้า’
เขาชี้ทางเดินสายที่สิบแปด “นั่นใช่กระบี่ที่ชื่อกู่เต้า ที่บนกระบี่สลักอักษรเสี่ยวจ้วนของสมัยฉินหนึ่งแถวหรือไม่”
[1] ต้นพุทรา
คอมเมนต์