บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 18

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 18 ชาวยุทธ์ก่อโกลาหลด้วยกำลัง

ผู้อาวุโส “กระบี่เล่มนั้น หันเฟยจื่อแห่งยุครัฐศึกหลอมขึ้นเมื่อครั้งยังมีชีวิต อักษรซึ่งสลักไว้ก็คือชาวยุทธ์ก่อโกลาหลด้วยกำลัง”
เหมือนกระบี่เล่มนั้นของเขาทุกประการ “กระบี่เล่มนั้นยังอยู่ในสุสานกระบี่หรือขอรับ”
ผู้อาวุโส “นับว่าอยู่ และนับว่าไม่อยู่ ตัวกระบี่ไม่อยู่ แต่วิญญาณกระบี่อยู่ ส่วนที่อยู่ข้างนอกนั่นจึงเป็นเพียงเปลือกอันว่างเปล่า”
หยวนหลิง “กระบี่อยู่ก็คืออยู่ ไม่อยู่ก็คือไม่อยู่ ทำไมมีการพูดถึงวิญญาณกระบี่ด้วยล่ะ”
“กระบี่เล่มนั้นตีขึ้นด้วยวิธีพิเศษ รูปลักษณ์ก็พิเศษ ใจกลางของกระบี่นั้นฉลุเป็นช่อง แกนกระบี่ซึ่งเดิมควรฝังอยู่บนกระบี่ยังอยู่ในสุสาน ทว่าตัวกระบี่ถูกโจรเฒ่าแห่งสู่ซันใช้กำลังแย่งชิงไป แต่ทุกวันนี้ในยุทธภพหามีกระบี่กู่เต้าอะไรไม่ เพราะกู่เต้าอันปราศจากแกนกระบี่เป็นเพียงเศษเหล็กที่แหลมคมอยู่บ้างเท่านั้น”
หยวนหลิงเพิ่งเคยเจอคนเรียกนักพรตผู้เฒ่าแห่งสู่ซันเป็นโจรเฒ่าเป็นครั้งแรก บัดนี้สู่ซันคือสำนักอันดับหนึ่งในยุทธภพ เจ้าสำนักก็ยังเป็นเจ้ายุทธภพอีกด้วย ทำเรื่องชั่วช้าตามอำเภอใจมานานนักหนาแล้ว
“พวกเจ้าเลือกไปสุสานไหนก็ไปตามทางเดินสุสานนั้น เราเป็นเพียงคนเฝ้าสุสาน เจ้าของเดิมของกระบี่ทิ้งกับดักอะไรไว้ พวกเราล้วนไม่เคยล่วงรู้ ขอเตือนแค่ประโยคเดียวว่า สำนักโส่วมู่ของเราอยู่มาหลายร้อยปี คนของราชสำนักและชาวยุทธ์ที่เคยเข้าสู่ทางเดินในสุสานแห่งนี้มีไม่ต่ำกว่าหลายพัน สุดท้ายนำกระบี่ไปได้เพียงสี่เล่มเท่านั้น”
หยวนหลิงโค้งคารวะผู้อาวุโสท่านนั้น “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสยิ่ง ข้าผู้เยาว์เลือกได้แล้วขอรับ” หยวนหลิงขยิบตาให้เว่ยฉีอวี้ จากนั้นก้าวตรงเข้าสู่ทางเดินที่สอง เหนือทางเดินมีอักษรสองตัวเขียนไว้ว่า ‘เฉิงอิ่ง’
เว่ยฉีอวี้มองจนหยวนหลิงเดินหายลับไป จากนั้นก็หันกายเดินไปทางสุสานกู่เต้า
ทางเดินสุสานเริ่มต้นด้วยทางสองแพร่ง ทางหนึ่งเขียนว่า ‘วิถีโบราณเปี่ยมมิตรจิตมิตรใจ’ อีกทางหนึ่งเขียนว่า ‘ใช้หอกของท่านจู่โจมโล่ท่านเอง’ สภาพเยี่ยงนี้น่าจะมีทางเดียวที่เป็นทางรอด เว่ยฉีอวี้มองแล้วกัดฟันก้าวเข้าสู่ทางที่สอง แค่สิบกว่าก้าวก็พบทางสองแพร่งอีกครั้ง ทางหนึ่งยังคงเป็น ‘วิถีโบราณเปี่ยมมิตรจิตมิตรใจ’ อีกทางหนึ่งกลายเป็น ‘หยกเหอซื่อปี้มิต้องประดับด้วยปัญจรงค์’ หนนี้เว่ยฉีอวี้ยังคงก้าวเข้าสู่ทางที่สองเช่นเดิม
ปากทางสองแพร่งครั้งที่สองนี้ต่างจากครั้งแรกหลายอย่าง ครั้งแรกผนังเป็นสีดำล้วน แต่ปากทางแยกที่สองนี้มีภาพวาดฝาผนังอยู่เต็มไปหมด ไม่เพียงเท่านั้น กระทั่งเหนือศีรษะก็ยังมีเชือกแขวนอยู่จำนวนหนึ่ง
เว่ยฉีอวี้เดินไปครึ่งๆ กลางๆ ก็พบว่าทางข้างหน้าตัน หรือจะเลือกทางผิดสายเสียแล้ว เขาเพิ่งคิดจะเดินกลับก็พบว่าอิฐใต้เท้าเริ่มยุบตัว ร่วงหล่นลงทีละก้อน ทางข้างหน้าตัน แต่ทางถอยหาได้ถูกปิดกั้นไม่ แค่ว่าก้อนอิฐทลายลงรวดเร็วยิ่ง ขณะที่เขามัวลังเล เส้นทางไปยังด้านหน้าและด้านหลังก็ล้วนสลายหายไปสิ้น
เหนือศีรษะพลันปรากฏเชือกยาวเส้นหนึ่ง เขาคว้ามันไว้ พริบตานั้นอิฐก้อนสุดท้ายบนพื้นก็ร่วงลงไป เว่ยฉีอวี้มองห้วงเหวลึกจนมองไม่เห็นก้นนั่น กำเชือกในมือแน่น โยกซ้ายโยกขวาหาทางกระโดดไปที่ทางออก เขาเล็งจังหวะแล้วกระโดด แต่กลับได้แค่เกาะผนังหินส่วนเล็กๆ เอาไว้ หินนั้นก็ช่างลื่นเหลือเกิน จวนเกาะไม่อยู่เต็มที
หยกเหอซื่อปี้มิต้องประดับด้วยปัญจรงค์? เขามองภาพวาดบนผนัง นี่มิใช่เหตุการณ์ตอนเปี้ยนเหอมอบหยกให้ฉู่อ๋องหรอกหรือ ฉู่ลี่อ๋องบั่นขาซ้ายของเขา ฉู่อู่อ๋องบั่นขาขวาของเขา หรือว่าที่นี่ไม่อาจใช้ขาเหยียบ ต้องเดินด้วยมือเท่านั้น? แต่ข้างหน้าก็ยังไม่มีทางอยู่ดีนี่นา
เว่ยฉีอวี้มองไปยังผนังทางซ้ายอีกครา บนผนังคือภาพเหตุการณ์ยามเปี้ยนเหอมอบหยกเป็นครั้งที่สามให้แก่ฉู่เหวินอ๋อง ในภาพทั้งหมดหลายสิบภาพบนผนังทางซ้ายและขวา บนผนังทางซ้ายมีคำพูดสลักไว้เพียงประโยคเดียวเท่านั้น นั่นก็คือคำซึ่งเปี้ยนเหอกล่าวเมื่อมอบหยกให้ฉู่เหวินอ๋อง ‘ข้าหาใช่เศร้าที่ถูกบั่น แต่เศร้าที่อัญมณีล้ำค่าถูกว่าเป็นหิน ผู้ภักดีถูกเรียกเป็นคนโป้ปด นี่ต่างหากเหตุแห่งความเศร้าของข้า’
มือซ้ายของเว่ยฉีอวี้หลุดจากผนังหิน มือขวาหรือก็ล้าสิ้นแรง เขามองคำพูดประโยคดังกล่าวแล้วกระโดดไปยังผนังด้านนั้น อักษรประโยคนั้นอยู่ห่างจากเขาไม่ไกล มือก็แตะถูกผนังอยู่หรอก ทว่าผนังก็เป็นเพียงผนังเรียบๆ เท่านั้น
เว่ยฉีอวี้ไหลลงตามผิวผนัง ปราศจากแนวกั้นใดๆ ให้ยืมแรง จะได้ไปพบท่านอาจารย์เข้าจริงๆ แล้วหรือนี่ เขาหลับตาลง ครึ่งก้านธูปต่อมาก็ลงถึงพื้น พื้นนั้นนุ่มนิ่ม แม้จะร่วงลงมาก็ไม่เป็นปัญหานัก จากนั้นเขาก็กวาดมองรอบด้าน
เมื่อเห็นสภาพรอบตัวแล้วเขาก็สูดหายใจเฮือก นอกจากพื้นที่หนึ่งเชียะ[1]สามนิ้วซึ่งตนอยู่ บริเวณโดยรอบทั้งหมดเต็มไปด้วยซากกระบี่ ซากกระบี่ทั้งหมดล้วนปักอยู่กับพื้นในลักษณะหันคมขึ้น บนกระบี่มีซากศพอยู่ไม่น้อย บ้างกลายเป็นกระดูกขาวไปแล้ว บ้างเป็นซากแห้งที่ยังมีลักษณะของมนุษย์อยู่ กระทั่งศพที่เพิ่งตายไม่นานก็มี
เว่ยฉีอวี้ลูบหน้าอกตัวเอง โชคดีที่ตนดวงแข็ง เขากำลังเตรียมจะคลำหาว่าทางออกอยู่ไหน เบาะนุ่มใต้เท้าก็พลันแยกออก เขาคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้จึงร่วงลงไปด้วยไม่ทันระวัง
ก้นกระแทกจนแทบแยกเป็นแปดเสี่ยง เขาคลำบั้นท้ายป้อยๆ เมื่อลุกขึ้นยืน สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่สายตาก็คือทางสองแพร่งอีกแห่ง เหนือประตูบานหนึ่งยังคงเขียนว่า ‘วิถีโบราณเปี่ยมมิตรจิตมิตรใจ’ ทว่าอีกบานกลายเป็น ‘ชาวยุทธ์ก่อโกลาหลด้วยกำลัง’
คราวนี้เว่ยฉีอวี้ไม่กล้าเลือกสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว จึงพินิจพิเคราะห์ทางทั้งสองสาย หันเฟยจื่อย่อมกล่าวไว้ว่าชาวยุทธ์ก่อโกลาหลด้วยกำลัง แต่สถานที่นี้เห็นชัดว่าสร้างโดยอนุชนรุ่นหลัง สุดที่จะรู้ได้ว่าอนุชนที่ว่าสนับสนุนหรือคัดค้านคำกล่าวของหันเฟยจื่อกันแน่
เขาคิดในใจว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถิด สุดท้ายจึงอาศัยสัญชาตญาณของตน ยังคงเลือกทางสายที่สองเช่นเดิม
เพิ่งจะก้าวเข้าไปเท่านั้น ประตูหินเบื้องหลังก็เคลื่อนปิด
[1] ‘เชียะ’ คือฟุตจีน ยาว 0.33 เมตร

คอมเมนต์

Chapter List