บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 19

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 19 กู่เต้า

ประตูหินเคลื่อนอย่างเชื่องช้า หากคิดวิ่งหนีออกไปก็ยังมีโอกาส เว่ยฉีอวี้มองทางเดินในสุสานอันมืดมิดทอดลึกไม่เห็นที่สิ้นสุดนั่น ฝ่าเท้าราวกับมีน้ำหนักนับพันจวิน[1]ถ่วงไว้ แต่สุดท้ายก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ
ยามประตูหินปิดสนิท ทางเดินทั้งสายก็มีแสงตะเกียงสว่างขึ้น ทางเดินในสุสานท่อนนี้มีภาพวาดฝาผนังเช่นเคย เว่ยฉีอวี้มิได้ก้าวอาดๆ เข้าไปทันที แต่หยุดฝีเท้าพิจารณาภาพวาดบนผนังอย่างถี่ถ้วน ทางซ้ายคือบุคคลที่แต่งองค์ทรงเครื่องตามแบบสมัยฉิน คงจะเป็นหันเฟยจื่อ
บนผนังมีภาพอยู่หกเจ็ดภาพ โดยรวมบรรยายถึงชีวิตหันเฟยจื่อตั้งแต่ถือกำเนิดในสกุลชนชั้นสูงแคว้นหัน จนมาศึกษาเล่าเรียนในลัทธิหรู ต่อมากลายเป็นนักนิติธรรมแห่งแคว้นฉิน กระทั่งสุดท้ายตายในคุกของแคว้นฉิน
ส่วนผนังทางขวาคือบุคคลผู้เกล้าผมสูง ภาพแรก คนในภาพคาดสายคาดเอวสีเขียว สวมเกี้ยวหยกรัดผม น่าจะเป็นศิษย์สำนักฮว่าซัน ดูจากท่าทางมีชีวิตชีวา ความเป็นอยู่คงไม่เลว ภาพที่สอง เขาถูกคนถ่อยให้ร้าย พี่น้องหันอาวุธใส่กัน สุดท้ายถูกขับออกจากฮว่าซัน ร่อนเร่พเนจร ถูกล่าสังหาร ยากเข็ญถึงสิบส่วน ภาพที่สาม เขาสร้างตัวด้วยมือเปล่า ก่อตั้งหมู่ตึกเวยหลง ชิงตำแหน่งเจ้ายุทธภพสำเร็จ หลายสิบปีนับแต่นั้นจึงอยู่เหนือคนนับหมื่น ภาพที่สี่ ยามเขาถึงวัยชราได้สร้างเครื่องดนตรีขึ้นแปดชิ้น จดจารสุดยอดวิชาตลอดช่วงชีวิตของตนไว้ในเครื่องดนตรีแล้วมอบให้ศิษย์ทั้งแปด จากนั้นต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทั่วแผ่นดิน
หรือภาพวาดฝาผนังนี้จะบรรยายถึงแปดวาทยะและเป่ยเฮ่าคงผู้เป็นตำนานที่หนันซื่อเคยเล่าให้ฟัง กล่าวเช่นนี้ก็แปลว่าในแปดวาทยะมีสุดยอดเคล็ดวิชาอยู่จริงหรือ? แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น แล้วเกี่ยวอะไรกับกระบี่กู่เต้าด้วยเล่า กระบี่มีนามว่ากู่เต้า (วิถีโบราณ) แต่หาได้มีความหมายว่าวิถีโบราณเปี่ยมมิตรจิตมิตรใจไม่ หรือชีวิตของหันเฟยจื่อกับเป่ยเฮ่าจะมีจุดร่วมบางอย่าง
เว่ยฉีอวี้ดูต่อไปถึงภาพที่ห้า เป่ยเฮ่าคงเร้นกายสู่ป่าเขาในบั้นปลาย หลังจากฆ่าฟันมาทั้งชีวิต… ก็ถึงขั้นร่วมมือกับราชครูแห่งราชวงศ์ก่อนก่อตั้งสำนักหวั่งเซิงเหมินขึ้น?
หยุดอาญาด้วยอาญา ใช้ความรุนแรงปราบความรุนแรง กล่าวเช่นนี้คำตอบก็คือชาวยุทธ์ก่อโกลาหลด้วยกำลังจริงๆ
เขาเดินไปถึงปลายสุดของทางเดิน พบว่าตรงนั้นมีแท่นตั้งอยู่ บนแท่นคือกล่องใส่กระบี่ ในกล่องว่างเปล่า กู่เต้าไม่อยู่แล้ว แต่แกนกระบี่เล่าอยู่หนใด
หรือยังมีห้องลับอยู่ตรงไหนสักแห่ง เขากวาดมองสี่ด้าน บนผนังตรงปลายสุดวาดภาพวงเวียน ไม้ฉาก สี่เหลี่ยม และวงกลมเอาไว้ ไร้ซึ่งไม้ฉากวงเวียนก็มิอาจวาดสี่เหลี่ยมวงกลม[2]
เว่ยฉีอวี้ลูบวงกลมเล็กๆ ตรงปลายวงเวียน เมื่อกด วงกลมก็ยุบลงไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นหลังจากนั้นก็คือซองกระบี่และวัตถุทรงกระบอกเรียวยาวซึ่งวิจิตรประณีตยิ่ง หนาเพียงครึ่งนิ้วก้อยเท่านั้น
พริบตาที่เว่ยฉีอวี้หยิบของเหล่านี้ขึ้น ปลายทางเดินสุสานก็ปรากฏบันไดหินยาวเหยียดหลายร้อยขั้นสายหนึ่ง เขาเดินขึ้นไปตามบันได ปลายสุดของบันไดถึงกับเป็นลานโล่งที่พวกเขายืนตอนเริ่มแรก เมื่อเห็นเว่ยฉีอวี้ออกมาจากทางเดินในสุสาน ซ้ำในมือยังถือแกนกระบี่กับซองกระบี่เอาไว้ ผู้อาวุโสสำนักโส่วมู่ก็พยักหน้าให้แล้วปิดทางเดินลำดับที่สิบแปดลง
รออยู่หนึ่งเค่อ หยวนหลิงก็ยังไม่ออกมา หลังจากผ่านไปสองเค่อในที่สุดหยวนหลิงก็กลับออกมาด้วยสภาพทุลักทุเล ทันทีที่เห็นเว่ยฉีอวี้ เขาก็ร้องห่มร้องไห้ เช็ดน้ำหูน้ำตากับร่างเว่ยฉีอวี้ “เอาของออกมาไม่ได้ แถมยังเกือบตายอยู่ในนั้นด้วย”
หยวนหลิงเห็นซองกระบี่ในมือเว่ยฉีอวี้เข้าก็หน้าม่อย “ตัวเลือกสามรอบ ข้าเลือกผิดเสียทุกรอบ หวิดเอาชีวิตไปทิ้งทุกรอบ ยากเย็นนักกว่าจะมาถึงด่านสุดท้าย ยังไม่วายเกือบโดนหมื่นกระบี่ทะลวงหัวใจ เคราะห์ดีวิชาตัวเบาข้าใช้ได้ วิ่งเร็ว มิฉะนั้นตายอยู่ในนั้นไปแล้ว”
ผู้อาวุโสผู้เฝ้าสุสานเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ถามว่า “ยังจะเข้าทดสอบสุสานอื่นต่อหรือไม่”
หยวนหลิงส่ายหน้าดิก ก่อนจะรีบเดินออกโดยไม่เหลียวหลัง เมื่อออกไปแล้วเห็นเชียนมี่รออยู่ เขาก็จัดผมเผ้าแล้วแสร้งทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เชียนมี่เอ่ยยิ้มแย้มว่า “ไม่เป็นไรหรอก หนันซื่อไปตั้งหลายสิบรอบกว่าจะได้กระบี่หนักๆ เล่มนั้นมาครอง ซ้ำยังให้หนันซันช่วยกันใช้กำลังชิงมาอีกต่างหาก”
หยวนหลิงพยักหน้า ชี้ไปยังซองกระบี่ในมือเว่ยเยวียน “เว่ยฉีอวี้ เอามาให้ข้าชมเป็นขวัญตาที ก็นับว่ามาไม่เสียเที่ยวนะนี่”
เขาหยิบซองกระบี่ของเว่ยเยวียนไป ลูบคลำลวดลายบนซองแล้วร้องชมว่า “อัญมณีที่ฝังอยู่บนนี้เป็นเม็ดหยกชั้นเลิศเชียวนะ มาจากเหมืองทางหมิ่นหนัน[3] จะว่าไปก็มีเพียงราชวงศ์ก่อนเท่านั้นที่มีได้ ทุกวันนี้เหมืองหยกนั่นถล่มไปแล้ว”
เว่ยฉีอวี้มองแล้วเอ่ยว่า “หยกจากหมิ่นหนัน แพรพรรณจากสู่จง เจ้าเป็นวาณิชหลวงใช่ไหม”
หยวนหลิงกลับไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ เอ่ยโดยไม่ปิดบังว่า “ไม่ใช่วาณิชหลวงหรอก ก็แค่เห็นบ่อยเท่านั้นเอง”
เชียนมี่พาทั้งสองกลับตามทางเดิม เมื่อถึงเขาสิ้นไผ่ก็พบจูจูจื่อรออยู่ตรงหน้าผา พอเห็นเชียนมี่กลับมาก็เข้ามากระซิบข้างหูนางประโยคหนึ่ง ไม่รู้กล่าวว่าอะไร หลังนางได้ฟังก็สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง บอกให้เว่ยฉีอวี้กับหยวนหลิงกลับไปก่อน
หยวนหลิงมองเงาร่างระหงของเชียนมี่พลางเอ่ยเบาๆ กับเว่ยฉีอวี้ว่า “หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว”
เว่ยฉีอวี้เอ่ยตอบ “คราวก่อนตอนห้าสำนักใหญ่มาบุก แม่นางมี่มี่ยังไม่เผยสีหน้าผิดปกติใดๆ เลย ไม่รู้หนนี้เกิดอะไรขึ้น”
เมื่อเว่ยฉีอวี้กลับมาถึงหมู่ตึกโยวกุยแล้วก็หาเหตุเรียกให้หยวนหลิงไปที่อื่นแล้วแอบกลับไปที่สวนไผ่ ตอนแรกเขาซ่อนกู่เต้าไว้บนชั้นหนังสือในสวนไผ่ เดิมยังนึกว่ากระบี่เล่มนี้หาประโยชน์อันใดมิได้ บัดนี้ถึงกับพบแกนกระบี่
เขาประกอบแกนเข้ากับตัวกระบี่แล้วลูบคลำแกนกระบี่นั่น ระหว่างประกอบกับไม่ประกอบเข้าไปมีอะไรแตกต่างกันมากนักหรือ เขาจับแกนกระบี่เล่น แกนนี่เลื่อนไปมาได้ เช่นนี้ขอเพียงใช้กระบี่รับการโจมตีของผู้อื่น เมื่ออาวุธสับลงบนแกนกระบี่ก็จะต้องเลื่อนไถล ตำแหน่งที่โจมตีก็จะเปลี่ยนไป ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้มีวรยุทธ์ล้ำเลิศปานไหนก็จะพบเหตุเหนือคาด ตอบสนองไม่ทันกาล กลายเป็นจุดอ่อนของพวกเขา
อาจารย์เคยกล่าวว่าสิ่งพิเศษสุดของกระบี่กู่เต้าเล่มนี้ก็คือ เหมาะทั้งรับและรุก ทว่ากู่เต้าของตนไม่ครบสมบูรณ์ การรับจึงบกพร่องอยู่บ้าง ที่แท้ก็หมายความเช่นนี้นี่เอง
เงาสะท้อนจากกระบี่ทำให้เว่ยฉีอวี้เห็นว่าหน้าประตูคล้ายมีเงาดำบางอย่าง แต่เมื่อเปิดประตูไปกลับไม่พบเงาคนที่ไหนเลย หรือว่าตาฝาดไป เว่ยฉีอวี้ลูบซองกระบี่ซึ่งประดับอัญมณีแพรวพราย เก็บกระบี่เข้าไปอย่างระมัดระวังแล้วเปลี่ยนที่วางใหม่
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาเปิดประตู เป็นจูจูจื่อ “อาจารย์อาเล็ก”
เว่ยฉีอวี้ให้จูจูจื่อเข้ามาพูดคุยกันด้านใน “มีเรื่องอะไรหรือ”
จูจูจื่อเอ่ย “วันก่อนยุทธภพเกิดความวุ่นวาย ระหว่างพิธีใหญ่ที่วัดเส้าหลิน มีชาวยุทธ์ไม่น้อยประกาศว่าจะผดุงธรรมแทนสวรรค์ คิดล้อมสังหารศิษย์พี่หนันซื่อกับกองพลเชียนหนิว และเนื่องจากครั้งนี้ศิษย์พี่หนันซื่อมิได้คิดจะไปจับกุมคนทั้งกลุ่ม จึงนำคนของกองพลเชียนหนิวไปเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น จำนวนแตกต่างกันลิบลับ ศิษย์พี่หนันซื่อถอยมายังเขาจื่อกุย ศิษย์พี่มี่มี่ให้ท่านพกกระบี่กู่เต้า นำคนลงเขาไปช่วยคืนนี้เลย”
เว่ยฉีอวี้ชี้ตนเอง “ข้าหรือ?”
“ข้าไม่ไป” ขืนไปมิเท่ากับประกาศทั่วยุทธภพว่าตนเป็นศัตรูกับพวกเขาหรอกหรือ แบบนั้นไม่ได้นะ ภายหน้าคนเห็นคนก็เล่นงาน แล้วจะใช้ชีวิตอย่างไรเล่า “ศิษย์พี่มี่มี่ของเจ้ากับท่านหนันซันเล่า”
[1] ‘จวิน’ คือมาตราชั่งของจีน หนัก 15 กิโลกรัม
[2] เป็นสำนวนหมายถึง จะทำการใดๆ ต้องมีกฎระเบียบ หลักการ
[3] คือทางใต้ของมณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน)

คอมเมนต์

Chapter List