บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 2
บทที่ 2 เว่ยเยวียนแห่งเมืองจินหลิง
ณ เมืองจินหลิง รัชศกเจินกวนปีที่หก อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ให้รู้สึกหนาวเย็นยามลมสารทพัดใบไม้ร่วงอยู่บ้าง แม้ช่วงกลางวันจะยังร้อนนัก แต่พอตกดึกกลับต้องห่มผ้านอน
แสงตะวันสว่างสดใส เป็นเวลาบ่ายที่อาทิตย์แผดกล้าที่สุด หากตากแดดนานเข้าก็ทำให้วิงเวียนได้ง่ายๆ
เว่ยเยวียนยืนอยู่หลังชายตาบอดผิวดำคล้ำ เขาสบตาเข้ากับเด็กหนุ่มท่าทางสัตย์ซื่อที่อยู่อีกมุม ก่อนจะกระดิกนิ้วแล้วชี้ไปยังไหสุราซึ่งอยู่แทบเท้าชายตาบอดผิวคล้ำผู้นั้น
ทั้งสองพยักหน้าให้กัน แล้วเด็กหนุ่มหน้าซื่อก็วิ่งไปทางเว่ยเยวียนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ฉกไหสุราจากชายบอดผิวดำ แต่คาดไม่ถึงว่าจะถูกท่อนไม้ไผ่ในมือชายบอดฟาดเข้าที่ขา เขาล้มลงทันที ไหสุราในมือลอยคว้างกลางอากาศ เว่ยเยวียนก้าวเข้ามาอย่างว่องไว โชคดีรับไหสุราไว้ได้
ชายบอดโวยวายว่า “เด็กอย่างพวกเจ้าแต่ละคนไม่รู้ดีรู้ชั่ว วันๆ รู้จักแต่มาขโมยเหล้าข้าไปกิน ไม่รู้ไปหัดมาจากไหน” ชายบอดผิวดำกล่าวจบก็ยันไม้ไผ่ลุกขึ้น เคาะไปตามพื้นเพื่อตามหาเด็กหนุ่มหน้าซื่อที่ล้มลง
เว่ยเยวียนรีบขยับริมฝีปากเอ่ยโดยไร้เสียงว่า “หนิวเอ้อร์ มานี่เร็ว”
หนิวเอ้อร์รีบลุกขึ้น ถลันจะไปหาเว่ยเยวียน แต่กลับถูกคว้าตัวไว้เสียก่อน ชายบอดผิวดำหิ้วคอเสื้อหนิวเอ้อร์ขึ้นมา “ดีนี่ เป็นพวกเจ้าสองขอทานน้อยอีกแล้ว วันๆ ก็เอาแต่ทำตัวไม่ได้เรื่องสักอย่าง”
เมื่อเห็นแววตาวิงวอนของหนิวเอ้อร์แล้ว เว่ยเยวียนก็เร่งควักกาน้ำใบย่อมออกจากสายรัดเอว รินสุราของชายตาบอดใส่กาใบนั้นทีละน้อย รินเสร็จก็รีบปิดฝาแล้วยื่นคืนชายตาบอด “คืนให้เจ้าก็ได้ รีบปล่อยพี่น้องข้าได้แล้ว”
ชายบอดผิวคล้ำยิ้มหยันขณะเอ่ยว่า “พวกเจ้าเอาเมรัยดอกท้อข้าไป หนำซ้ำยังดื่มไปตั้งหลายอึก นึกว่าข้าไม่รู้หรือ เมรัยดอกท้อนี้เป็นสุราบรรณาการ เพียงหยดเดียวก็หอมกำจายตลอดสี่ด้าน ข้าเฮยซยาจื่อ ตาบอดแต่ใจไม่บอด เจ้าอย่าหวังจะหลอกข้าเสียให้ยาก”
มีหัวใจสว่างแจ่มชัดจริงๆ ด้วย เว่ยเยวียนกลอกตาหนึ่งรอบ อ้าปากเป่าลมใส่เฮยซยาจื่อ “พี่น้องข้าอยู่ในมือเจ้า เขาย่อมดื่มสุราเจ้าไม่ได้ ส่วนข้า เจ้าดมดูสิ เหมือนดื่มเหล้าไปสักนิดหรือไม่”
เฮยซยาจื่อเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เว่ยเยวียนเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า “ถ้าเจ้าไม่คืนพี่น้องข้ามาให้ข้า ข้าจะดื่มเหล้านี่จริงๆ แล้วนะ”
ว่าแล้วเขาก็แสร้งเปิดฝาไห เฮยซยาจื่อได้กลิ่นเข้าก็ลนลานรีบแย่งกลับไป เมื่อเห็นชายบอดปล่อยมือ เว่ยเยวียนก็ลากหนิวเอ้อร์เผ่นทันที วิ่งแจ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง พลันได้ยินเสียงเฮยซยาจื่อตะโกนด่าไล่หลังมาว่า “ใครดื่มเหล้าของข้าวะ ไอ้เด็กเวรสองคนนี่ ถ้าจับตัวได้ ข้าไม่ถลกหนังพวกเจ้าให้รู้ไป”
เว่ยเยวียนพาหนิวเอ้อร์โกยอ้าวผ่านถนนไม่รู้กี่สาย จนสุดท้ายก็หยุดลง เสียงผรุสวาทของชายตาบอดหายไปนานแล้ว
เว่ยเยวียนดื่มสุราหนึ่งอึก เห็นหนิวเอ้อร์กำลังกลืนน้ำลายจึงยื่นให้เขา “เมรัยดอกท้อของเฮยซยาจื่อนี่อร่อยจริงๆ มิน่าเล่า วันๆ เขาถึงได้เอาแต่กอดไว้ไม่ยอมห่าง”
เห็นหนิวเอ้อร์ดื่มอึกที่สองก็ร้องว่า “นี่ๆๆ ตาข้าแล้วๆ”
หนิวเอ้อร์ถอนปากออกมาอย่างขวยเขิน ก่อนจะเลียริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “พี่เว่ยเยวียนพูดถูก มันช่างอร่อยล้ำแท้ๆ”
ทั้งสองดื่มอีกคนละหลายอึก จนขนาดสุดท้ายเหลือเพียงขวดเปล่าก็ยังดมแล้วดมอีกกว่าจะยอมเก็บขวด ต่อมาทั้งสองก็ได้กลิ่นหอมของสุราอีก พวกเขาจึงตามมาถึงร้านเหล้าของตัวเมืองฝั่งตะวันตกแล้วพากันยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
เสี่ยวเอ้อร์ประจำร้านออกมาตำหนิว่า “ทำไมพวกเจ้ามาอีกแล้วเล่า อยู่ศาลเสื้อเมืองผุๆ นั่นของพวกเจ้าดีๆ ไม่ได้หรืออย่างไร”
หนิวเอ้อร์คือขอทานอย่างชัดเจน ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อก็สกปรกนัก ส่วนเว่ยเยวียนแม้จะไม่สกปรกขนาดนั้น แต่ก็ดูเหมือนขอทานไปแล้วครึ่งตัว เสื้อผ้าตลอดร่างมีแต่รอยปะชุนจนแทบไม่เหลือผ้าสภาพดีสักแถบ ทว่าใบหน้ายังสะอาดหมดจดดีอยู่
เว่ยเยวียนกับหนิวเอ้อร์มาอีกแล้ว หนิวเอ้อร์แกล้งทำท่าหิวจวนเป็นลม ส่วนเว่ยเยวียนกอดเขาไว้ “พี่เสี่ยวเอ้อร์ ทำบุญทำทานหน่อยเถิด เขายังมีน้องชายน้องสาวอีกหลายคน ถ้าหิวตายไปทั้งอย่างนี้คนอื่นที่เหลือจะทำอย่างไร ขอข้าวกินหน่อยเถอะนะขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นเหลือกตาขึ้น “เว่ยเยวียน หนิวเอ้อร์ พวกเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่ มาแสดงปาหี่ที่นี่ทุกวัน ไม่เหนื่อยบ้างหรือ”
เว่ยฉีอวี้ส่ายหน้า ไม่เหนื่อยอยู่แล้ว ร้องไห้หน่อยเดียวก็มีข้าวกินนี่นา
เสี่ยวเอ้อร์เหลือกตาซ้ำ “ก็ได้ๆ ไปผ่าฟืนที่ลานด้านหลัง เติมน้ำให้เต็ม ค่ำหน่อยค่อยให้พวกเจ้ากิน”
หนิวเอ้อร์ผุดลุกขึ้นทันที ทั้งสองมุดเข้าร้านไป “ได้เลย”
“ช้าก่อน พวกเจ้าเข้าทางประตูหลังสิ” เสี่ยวเอ้อร์ตะโกนอยู่นานก็ไม่เป็นผล ได้แต่มองเว่ยเยวียนกับหนิวเอ้อร์ทะเล่อทะล่าเข้าร้านไป หมดปัญญาจัดการจริงๆ
เว่ยเยวียนฉกถั่วลิสงและสุราที่เหลือตามโต๊ะที่ไม่มีคนไปตลอดทาง กว่าจะถึงลานหลังร้านก็อิ่มไปครึ่งท้องแล้ว
ผ่าฟืนหาบน้ำเสร็จ เสี่ยวเอ้อร์ก็มิได้กลืนคำ นำกับข้าวง่ายๆ สองสามอย่างและข้าวชามโตสองชามมาเลี้ยงเว่ยเยวียนกับหนิวเอ้อร์ เว่ยเยวียนถามอย่างหน้าไม่อายว่า “พี่ชาย มีเหล้าอะไรให้ดื่มบ้างไหม”
เสี่ยวเอ้อร์หยิบสุราที่เหลือครึ่งชามมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน “ดื่มประหยัดๆ หน่อย ดื่มหมดก็ไม่มีแล้วนะ”
เว่ยเยวียนกินอย่างอิ่มหนำสำราญ รอดตายไปอีกมื้อ และแล้วก็ได้ยินเสียงกรนดังสนั่นหวั่นไหวดังมาแต่ไกล “นั่นเสียงอาจารย์ข้าไม่ใช่หรือ”
หนิวเอ้อร์มองตามเสียง “เป็นท่านผู้เฒ่าเหยียนหยวนจริงๆ ด้วย”
เว่ยเยวียนจ้องถั่วลิสงและกับข้าวสองสามจานบนโต๊ะเหยียนหยวน “ไป เราไปกินกันเถอะ”
“ถ้าอาจารย์เจ้าตื่นขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า”
เว่ยเยวียนส่ายหน้าอย่างเชื่อมั่น “ไม่มีทาง อาจารย์ข้าหลับที ต่อให้ตกน้ำยังไม่ตื่นเลย”
เว่ยเยวียนกับหนิวเอ้อร์กินอาหารบนโต๊ะของตัวเองหมดก็เขย่งเท้าย่องอย่างเงียบเชียบไปที่โต๊ะเหยียนหยวน เพียงครู่เดียวก็กวาดทุกอย่างบนโต๊ะจนเกลี้ยง
เว่ยเยวียนกินดื่มจนอิ่มแปล้ “จุกแทบแย่”
เสียงกรนหยุดลงกะทันหัน ทำเอาเว่ยเยวียนกับหนิวเอ้อร์ผงะถอยแล้วมองหน้ากันทันใด หรือเหยียนหยวนจะตื่น
ดังคาด เหยียนหยวนพลิกตัวแล้วนอนต่อ
เว่ยเยวียนถอนหายใจโล่งอก ยามนี้ฟ้ามืดสนิทแล้ว มีเพียงแสงโคมริบหรี่ข้างทางกับดวงจันทร์สุกปลั่งบนฟ้าเท่านั้นที่ทอแสงสว่างให้ถนนหนทาง ร้านค้าโดยรอบปิดประตูพักผ่อนหมดแล้ว ได้เวลากลับบ้านของเว่ยเยวียน เขาบอกลาหนิวเอ้อร์แล้วเตรียมออกเดิน
“ช้าก่อน” เสียงหญิงนางหนึ่งดังขึ้น เว่ยเยวียนคุ้นเคยกับเสียงนี้อย่างยิ่ง นี่คือเสียงคุณหนูบ้านสกุลถังซึ่งเป็นครอบครัววาณิชที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจินหลิง นางเป็นสตรี ทว่านางปิดบังใบหน้าไว้ เห็นรูปโฉมได้ไม่ชัดตา
“ถังซิ่ว ข้ารู้จักเจ้ามาตั้งหลายปี เจ้าจะปิดหน้าปิดตาใส่ข้าไปเพื่ออะไร” จะว่าไป ถังซิ่วผู้นี้ไม่กี่ปีก่อนยังเล่นหยอกล้อกับเขาและหนิวเอ้อร์อยู่เลย มาบัดนี้ถึงกับกลายเป็นมีบุคลิกอย่างผู้รับผิดชอบกิจการครอบครัว โชคชะตาช่างเล่นตลก เขายังเป็นเด็กข้างถนนที่ทำตลกไปวันๆ คนเดิม
ถังซิ่วถลึงตาใส่เว่ยเยวียน “เกี่ยวอะไรกับเจ้าเล่า เจ้าพาอาจารย์เจ้ากลับไปก็พอ จำไว้ให้มั่นว่าเจ้ากับอาจารย์ติดข้าทั้งหมดสามตำลึง”
คอมเมนต์