บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 20
บทที่ 20 พบหนิวเอ้อร์อีกครา
จูจูจื่อ “ท่านหนันซันลงเขาตามลำพังไปแล้ว เหมือนว่าห้าสำนักใหญ่จะยังรวมตัวอยู่ที่ตีนเขาไม่ยอมไปไหน ศิษย์พี่มี่มี่ก็เลยปลีกตัวออกมาไม่ได้ ส่วนข้าก็ยังต้องเฝ้าลานฝึกซ้อมหลังเขา ฉะนั้นศิษย์พี่สามกับศิษย์พี่สี่ก็ยกให้เป็นหน้าที่ของอาจารย์อาเล็กแล้ว”
เว่ยฉีอวี้ “แต่ข้าไม่เชี่ยวชาญวิชายุทธ์ ถ้าไปแล้วเป็นตัวถ่วงจะทำอย่างไรเล่า ข้าไม่ไปดีกว่า”
จูจูจื่อโค้งคารวะ “ขออาจารย์อาเล็กโปรดอภัย ครั้งนี้ท่านอาจารย์เป็นผู้เตรียมการ ถ้าอาจารย์อาเล็กไม่ยินยอมจริงๆ เกรงว่าอย่างไรก็คงจะถูกจับหิ้วลงเขาไปอยู่ดีขอรับ”
ไม่เหลือช่องให้เว่ยฉีอวี้ปฏิเสธหรือเอาตัวรอดเลยสักนิด จากนั้นจูจูจื่อก็เอ่ยต่อไปว่า “อีกครึ่งชั่วยาม เด็กรับใช้ที่จะติดตามท่านลงเขาในครั้งนี้จะมารอที่หน้าประตูสวนไผ่ของท่าน ระหว่างปฏิบัติงานนี้ท่านเรียกใช้ทั้งสิบคนนี้ได้เลยขอรับ”
เว่ยฉีอวี้ไม่ปฏิเสธอีก เพราะดูท่าคงปฏิเสธไม่ได้เสียแล้ว สุดท้ายจึงจำต้องพยักหน้าตกลง
จูจูจื่อ “ขอเตือนอาจารย์อาเล็กสักหน่อยว่า การเคลื่อนไหวของท่านคล้ายจะถูกคนจับตามองอยู่ โปรดอย่าอยู่ลำพังนะขอรับ จะได้ไม่ตกอยู่ในมือคนชั่ว” เว่ยฉีอวี้มองสีหน้าจูจูจื่อ หรือเขามั่นใจว่าตนจะต้องแอบหนีลงจากเขา ถึงเตือนไว้ตั้งแต่ตอนนี้?
เว่ยฉีอวี้รุดเดินทางไปวัดเส้าหลินตลอดคืน จนทิศตะวันออกเริ่มทอแสงสีขาวก็มาถึงเชิงเขาที่ตั้งวัด เขาลูบท้องอันว่างเปล่าจนกิ่ว ก่อนจะเอ่ยกับคนข้างกายว่า “เมื่อไหร่เราถึงจะได้กินข้าวกันเสียที ยามนี้มาถึงตีนเขาแล้ว ถ้าไม่มีแรง เกิดสู้กันขึ้นมาจะทำอย่างไร”
เว่ยฉีอวี้โอดครวญจะกินข้าวมาตลอดทาง แต่เหล่าเด็กรับใช้ข้างกายล้วนมองข้าม “พวกเจ้าแต่ละคนแต่งกายอย่างเด็ก คงไม่ได้อายุแค่นี้หรอกกระมัง ข้าว่าน่าจะเข้าพิธีสวมมาลา[1]แล้วกระมัง ถ้ายังไม่เคยเข้าพิธีสวมมาลา อย่างนั้นพวกเจ้าก็หน้าแก่ไปหน่อยแล้ว”
เหล่าเด็กรับใช้พลิกตัวลงจากม้า ผูกม้าไว้กับเสาหน้าโรงเตี๊ยม “อาจารย์อาเล็กไม่กินข้าวหรือ ถึงโรงเตี๊ยมแล้วนะขอรับ”
เว่ยฉีอวี้เห็นเข้าก็ลงจากม้าเช่นกัน “พวกเจ้าก็รู้เหมือนกันหรือว่าข้าคืออาจารย์อาเล็กของพวกเจ้า”
ในโรงเตี๊ยมมีโต๊ะเจ็ดแปดตัว มีคนนั่งอยู่ยี่สิบกว่าคน ส่วนใหญ่นั่งเป็นคู่ มือกุมอาวุธ ทั้งหมดมาเป็นคณะใหญ่ ส่วนพวกเว่ยฉีอวี้ล้วนสวมเสื้อดำ กางเกงดำ สายคาดเอวดำ ทันทีที่เหยียบเข้าโรงเตี๊ยมก็ทำให้บรรยากาศในนั้นเย็นชาขึ้นหลายส่วน
เว่ยฉีอวี้ไม่สังเกตบรรยากาศที่เปลี่ยนไปนั้นแม้แต่น้อย นั่งแปะลงบนม้านั่งยาวตัวหนึ่งแล้วเรียก “เสี่ยวเอ้อร์” ในที่สุดก็ได้ยืดอกกับเขาสักครา เมื่อก่อนเข้าโรงเตี๊ยมไม่เคยมีเงินสักแดงเดียว วันนี้ได้เข้าโรงเตี๊ยมก็ต้องกินให้จุใจ ล้มทับหวั่งเซิงเหมินสักครั้ง
เสี่ยวเอ้อร์ถือถาดเดินมาที่โต๊ะ “นายท่าน ไม่ทราบท่านต้องการอะไรบ้างขอรับ”
เว่ยฉีอวี้เชิดหน้า “โรงเตี๊ยมนี้มีของดีอะไรยกมาให้หมด อาหารเลิศรสทั้งจากบนบกและในน้ำห้ามขาดแม้แต่อย่างเดียว”
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มกระตือรือร้น “ได้ขอรับนายท่าน โปรดรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปบอกห้องครัวเดี๋ยวนี้แหละ”
“อีกอย่าง” เมื่อเห็นว่าคำขอไม่ถูกค้าน เว่ยฉีอวี้ก็ยกมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์อีกรอบ
เสี่ยวเอ้อร์เพิ่งไปก็หันกลับมา “นายท่านยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือขอรับ”
“เอาเหล้าดีมาให้ข้าอีกหลายๆ กา”
เสี่ยวเอ้อร์ “ได้เลยขอรับ”
รอจนเสี่ยวเอ้อร์ไปไกลแล้ว เด็กรับใช้ข้างกายผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์อาเล็ก ยามอยู่ข้างนอกอย่าทำตัวเป็นจุดสนใจจะดีกว่านะขอรับ”
เว่ยฉีอวี้ฟังแล้วก็เห็นด้วย ตนเป็นเสมือนหนูข้ามถนน เป็นที่ชิงชังของผู้คน เมื่ออยู่บนถนนก็สงบเสงี่ยมหน่อยเป็นดี
คนอีกกลุ่มเข้าประตูมา ในมือถือไม้เท้า ลำไม้ไผ่ เสื้อผ้ารุ่งริ่ง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนของพรรคกระยาจก คนที่เป็นผู้นำคือผู้เฒ่าผมขาวโพลนร่างผอมซูบผู้หนึ่ง หลังจากเฒ่าผมขาวกวาดมองสี่ด้านแล้วก็เลือกนั่งที่โต๊ะที่อยู่ข้างหลังเว่ยฉีอวี้
ผู้เฒ่า “เสี่ยวเอ้อร์ เอาผักดองให้เราสองจาน แล้วก็หมั่นโถวคนละสองลูก” ว่าแล้วเขาก็หยิบเหรียญทองแดงพวงหนึ่งออกมา
เสี่ยวเอ้อร์เห็นเข้าก็มิได้เย็นชาอย่างที่คิดไว้ เขากระวีกระวาดเข้าไปเอ่ยว่า “ผู้เฒ่าจวินมาแล้วหรือขอรับ หลงจู๊สั่งไว้ว่าร้านเล็กๆ ของเราไม่เก็บเงินท่านผู้เฒ่าหรอกขอรับ”
ผู้เฒ่าก็ไม่เกรงใจ เก็บพวงเหรียญกลับไปทันที เว่ยฉีอวี้กำลังกินถั่วรออาหารมา รู้สึกได้ว่าข้างหลังมีคนกระแทกโดนเขา หันกลับไปก็พบใบหน้าสัตย์ซื่อทว่ามีไหวพริบ ดวงตาเล็ก จมูกใหญ่ คนผู้นั้นสบตาเว่ยฉีอวี้แล้วกล่าวว่า “ขออภัยด้วย ล่วงเกินเสียแล้ว”
เว่ยฉีอวี้ได้ยินแล้วถึงตั้งสติได้ “เป็นไปได้อย่างไร”
เว่ยฉีอวี้อ้างว่าจะไปห้องน้ำแล้วเผ่นออกมา หน้าประตูห้องน้ำก็คือคนของพรรคกระยาจกเมื่อครู่ “เว่ยเยวียน เจ้าบ้าเอ๊ย ข้าก็ว่าทำไมหลายเดือนนี้ไม่เห็นหน้าเห็นตา เรือที่ริมน้ำก็หายไปด้วย ที่แท้ก็ได้ดิบได้ดีแล้วนี่เอง”
เว่ยฉีอวี้โบกมือ “แบบนี้เรียกได้ดิบได้ดีที่ไหนกัน ก็แค่หาเลี้ยงปากท้อง แต่เจ้าหนิวเอ้อร์นี่สิ ออกมาทำงานกับพรรคกระยาจกแล้ว อยู่พรรคกระยาจกคงเนื้อหอมไม่เบาสิท่า”
หนิวเอ้อร์เล่าด้วยสีหน้าเริงร่า “แน่นอน ผู้เฒ่าจวินผู้นั้นเป็นผู้เฒ่าของพรรคกระยาจก ข้าได้ออกมากับเขาก็ย่อมเป็นผู้ถูกเห็นคุณค่า ครึ่งเดือนก่อนข้าช่วยชีวิตเขาไว้น่ะ”
“ด้วยพื้นฐานวรยุทธ์อย่างเจ้าน่ะหรือมีปัญญาช่วยคน”
หนิวเอ้อร์เชิดหน้ายืดอกพลางตบอก “แน่นอน ครึ่งเดือนก่อนข้าไปหาเจ้าที่ริมน้ำ คิดจะดูว่าเจ้ากลับมาแล้วหรือยัง แต่เจ้าไม่อยู่ ตอนกำลังเดินเล่นก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งบังคับกดน้ำคนผู้หนึ่งอยู่ รอจนพวกมันไปแล้วข้าก็งมคนในน้ำนั่นขึ้นมา เดิมทีคิดจะเอาศพไปแลกเงิน นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะสำลักน้ำออกมาแล้วรอดตาย”
เว่ยฉีอวี้เห็นหนิวเอ้อร์คุยโม้เป็นการใหญ่ แล้วก็นึกถึงแปดสุดยอดวิชาในแปดวาทยะที่แม่นางมี่มี่เคยเอ่ยถึง “หรือนี่จะเป็นวิชาปราณเต่า?”
หนิวเอ้อร์ส่ายหัว ถามว่า “วิชาปราณเต่าคืออะไรหรือ”
เว่ยฉีอวี้มองซ้ายมองขวา เห็นรอบด้านไม่มีใครแล้วจึงกระซิบกับหนิวเอ้อร์ว่า “หนิวเอ้อร์ ข้าถามอะไรเจ้าหน่อย ทุกอย่างต้องเก็บเป็นความลับนะ”
หนิวเอ้อร์ผลักไหล่เว่ยฉีอวี้ “เจ้ากับข้ามิใช่คนอื่นคนไกล มีอะไรก็ถามมาได้เลย ข้ารู้อะไรจะบอกหมดเปลือกแน่นอน”
เว่ยฉีอวี้มองท่าทางภาคภูมิใจของหนิวเอ้อร์ “ทำไมพรรคกระยาจกต้องมาร่วมพิธีที่วัดเส้าหลินด้วย”
หนิวเอ้อร์ตบอก “พรรคกระยาจกเราบัดนี้ก็เป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่เช่นกัน ทำไมถึงจะไม่มาล่ะ”
เว่ยฉีอวี้ “สิบสำนักใหญ่? เจ้าหมายความว่าสิบสำนักใหญ่ต่างมากันครบ?”
หนิวเอ้อร์ “พิธีใหญ่ของเส้าหลินทั้งที แน่นอนว่าอีกเก้าสำนักใหญ่ที่เหลือต้องมามอบของขวัญอวยพร” เว่ยฉีอวี้คิดในใจว่าแย่แล้ว สิบสำนักใหญ่อยู่กันครบ เช่นนั้นมิใช่ว่าเดี๋ยวก็จะถูกสิบสำนักใหญ่จดจำได้หรอกหรือ
หนิวเอ้อร์เห็นสีหน้าเว่ยฉีอวี้เดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว “ทำไมสีหน้าเจ้าถึงพิกลอย่างนี้ล่ะ หรือก่อเรื่องอะไรไว้”
เว่ยฉีอวี้ฉีกยิ้ม “รีบเดินทางมาก็เลยท้องไส้ปั่นป่วน ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
หนิวเอ้อร์พยักหน้ากับตัวเองขณะเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ได้ยินว่าครั้งนี้หวั่งเซิงเหมินกับกองพลเชียนหนิวของราชสำนักก็มาด้วย ได้ยินว่ายังมีมารร้ายอีกผู้หนึ่งด้วย เจ้าต้องระวังให้ดี จะได้ไม่ไปเจอพวกมารนั่นเข้า ได้ยินว่าพวกนั้นน่ะฆ่าคนไม่กะพริบตาเลยนะ” หนิวเอ้อร์ว่าแล้วก็ยกสองมือขึ้นกอดอก คล้ายกับกลัวขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าให้เขารู้ว่าเว่ยฉีอวี้สหายรักของตนคือหนึ่งในพวกนั้นจะเป็นอย่างไร
[1] สมัยโบราณผู้ชายจะเข้าพิธีสวมมาลาเมื่ออายุ 20 ปี
คอมเมนต์