บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 3

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 3 คนถ่อเรือในแม่น้ำ

เว่ยเยวียนได้ยินคำนี้ก็ร้องออกมาทันทีว่า “สามตำลึง? เจ้าอย่าได้เห็นว่าอาจารย์ข้าหลับไม่รู้เรื่องจึงโก่งราคาสูงลิบไปหน่อยเลย อาจารย์ข้าน่ะหรือจะมีปัญญาติดเจ้าถึงสามตำลึง?”
ถังซิ่วถือหนังสือกู้ยืมแผ่นหนึ่งเดินมาถึงตรงหน้าเว่ยเยวียน “นี่คือสิ่งที่อาจารย์เจ้าเขียนลงไปเองทุกอักษร เจ้ายังคิดบิดพลิ้วอีกหรือ”
เว่ยเยวียนมองอักษรดำบนกระดาษขาว มีตัวหนังสือใหญ่ๆ เขียนอยู่ไม่กี่ตัว ลงชื่อว่า ‘หยวนเหยียน’ เขาพึมพำในใจว่าท่านอาจารย์ช่างล้ำเลิศดังคาด อาจารย์ชื่อหยวนเหยียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขาชื่อเหยียนหยวนชัดๆ
เว่ยเยวียนเห็นดังนั้นแล้วก็ให้มีทีท่าเริงร่าขึ้นมา ถังซิ่วเห็นดังนั้นก็ประหลาดใจยิ่ง “ยิ้มอะไรของเจ้า”
เว่ยเยวียนสั่นหัว รีบหุบยิ้ม “ข้าจะแบกอาจารย์ข้ากลับไปเดี๋ยวนี้แหละ ไปหาเงินอย่างไรล่ะ” ก่อนจะทิ้งให้ถังซิ่วยืนอึ้ง ไม่เข้าใจว่าคำพูดเว่ยเยวียนหมายความว่าอะไรแน่อยู่ที่เดิม
สีแห่งรัตติกาลมืดทึบ อาจารย์ผู้ซบอยู่บนหลังเว่ยเยวียนยังคงหลับกรนดังลั่น ทุกคราที่ดื่มจนเมามาย ต่อให้เกิดเรื่องใหญ่เทียมฟ้าก็ทำให้ท่านอาจารย์สะดุ้งตื่นมิได้
เขาแบกอาจารย์มาถึงตรอกเริงรมย์ ริมฝั่งแม่น้ำฉินหวยคือสถานที่ซึ่งกามารมณ์เปี่ยมล้นมาแต่ไหนแต่ไร แต่ละวันหนุ่มคนดีกับหญิงรูปงามนั้นไม่เคยหลับใหล
โคมแดงแขวนเรียงรายเต็มถนน ยังมีผ้าสีแดงอันโปร่งบางที่ปลิวพลิ้วตามลมราตรี เขาแบกอาจารย์ของเขาเดินลัดเลาะท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ เสียงดนตรีอึงอลอยู่ในหู กลิ่นเครื่องประทินโฉมนานาชนิดคละเคล้าเข้าด้วยกัน ฉุนจมูกนัก
เว่ยเยวียนพาอาจารย์ของตนมาถึงลานด้านหลังหอนางโลมแห่งหนึ่งริมน้ำฉินหวยอย่างชำนาญเส้นทาง เขาวางผู้เป็นอาจารย์ไว้ยังมุมหนึ่งแล้วเดินออกมา จากนั้นก็เช็ดหน้าเช็ดตาก่อนจะล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด
แม่เล้านางหนึ่งก้าวมาถึงตรงหน้าเขา “เว่ยเยวียน วันนี้เจ้ามาช้าไปหน่อย ต้องทำเพิ่มอีกครึ่งชั่วยามนะ”
เว่ยเยวียนยิ้มประจบ “ได้ขอรับ ท่านแม่ว่าอย่างไรก็คืออย่างนั้น เว่ยเยวียนจะทำตามขอรับ”
แม่เล้าเห็นเขาว่านอนสอนง่ายเช่นนี้ก็คลี่ยิ้มแล้วชี้เล็บยาวๆ สีแดงสดใส่เขา “เจ้าหนุ่ม ชื่อรองเจ้าชื่ออะไรนะ”
“ฉีอวี้ขอรับท่านแม่ ปกติข้ามีนามว่าเว่ยฉีอวี้”
นางฟังแล้วรำพึงว่า “ชื่อดีทีเดียว เพราะกว่าชื่อเว่ยเยวียนอีก หน้าตาหรือก็ใช้ได้ แต่กลับไม่ยอมมาเป็นเด็กที่หอข้า น่าเสียดายแท้ๆ”
เขาฟังประโยคนี้มาไม่รู้กี่รอบแล้ว อยู่ใต้ชายคาผู้อื่นก็จำต้องก้มศีรษะ ย่อมต้องไม่นึกขุ่นเคืองแม้สักครึ่งส่วน เว่ยฉีอวี้ชี้ใบหน้าของตน “ท่านแม่ ใบหน้านี้ของข้า ท่านเคยบอกว่าแข็งทื่อเกินไปมิใช่หรือขอรับ”
“ก็ใช่ แต่หลายปีมานี้ดีขึ้นมากแล้ว สมัยที่พวกข้ายังเด็กน่ะ บุรุษยังนิยมทาแป้งฝุ่นด้วยนะ”
“ท่านแม่กล่าวถูกต้องแล้ว ฉีอวี้ไปถ่อเรือก่อนนะขอรับ จะได้ไม่เสียเวลา”
แม่เล้าสะบัดผ้าเช็ดหน้าใส่ใบหน้าเขา ทำเอาเขาเจอกลิ่นเครื่องประทินโฉมเข้าเต็มปาก “ไปเถอะจ้ะ”
เมื่อเดินไปไกลแล้วเขาก็ถ่มน้ำลายอยู่หลายที กลิ่นน้ำหอมเข้าปากเช่นนี้ไม่สบายเอาเสียเลย ยังเดินไม่ทันพ้นทางแคบๆ นั่น เขาก็ถูกหญิงอีกนางขวางทางไว้ หญิงนางนั่นก็คือแม่นางคนหนึ่งในหอแห่งนี้
นางกัดริมฝีปากล่าง “พี่เว่ยเยวียน จะไปถ่อเรือหรือ”
“ใช่แล้ว”
นางเข้ามาซบแทบหูเขา ขบใบหูแล้วเอ่ยว่า “พี่เว่ยเยวียน เมื่อไหร่จะพาข้านั่งเรือข้ามฟากเสียทีล่ะ”
เว่ยเยวียนผละออกจากนางตามสัญชาตญาณ “พี่เยียนจือ เว่ยเยวียนก็ถ่อเรือให้พี่กับแขกผู้มีอุปการคุณของพี่มาตั้งหลายรอบแล้วมิใช่หรือขอรับ”
“แต่ที่ข้าต้องการคือนั่งเรือข้ามฟากกับพี่เว่ยเยวียนสองคนนี่นา”
แค่ฟังเขาก็รู้ว่าเยียนจือผู้นี้คิดจะหลอกให้ตนพานางไปอีกฝั่งน้ำเพื่อหนีตามชู้รักของนางไป นี่นางเห็นเขาเป็นไอ้โง่หรืออย่างไรกัน เขาตกปากรับคำอย่างเต็มอกเต็มใจ รับปากก็ส่วนรับปาก ส่วนจะทำเมื่อใดนั้นไม่ได้กล่าวแน่ชัด
เว่ยเยวียนบอกลาเยียนจือ จากนั้นจึงไปที่เรือลำหนึ่งริมฝั่งน้ำ เขาเพิ่งขึ้นไปยืนมั่น ชายกลางคนพุงหลามผู้หนึ่งก็พาหญิงงามแห่งลำน้ำฉินหวยนางหนึ่งมา
แม่นางผู้นั้นเอ่ยว่า “พี่ชาย ออกเรือเถิด”
เขาได้ยินดังนั้นก็วาดลำไม้ไผ่ลงและถ่อเรือไปกลางน้ำ ท่ามกลางเสียงพายและเงาโคม หมอกเหนือผิวน้ำเคล้าสีสันแห่งค่ำคืนให้ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มอยู่บ้าง ในบรรยากาศสลัวราง มีเรือไม่น้อยพายไปพายมา บางครามีเสียงลมเย็นชื่นใจ บางครามีเสียงผีผา เสียงฉิน เสียงขลุ่ย และเสียงเครื่องดนตรีมากมายลอยมา บทเพลงมากมายประสานเข้าด้วยกัน ไพเราะชวนฟังไม่น้อย
หลังส่งหญิงสาวกับแขกของนางเรียบร้อย เขาก็โยนผู้เป็นอาจารย์ลงเรือ จ้วงพายลงในน้ำหนแล้วหนเล่า ได้เวลากลับบ้านแล้ว
แน่นอนว่าเขาไม่มีบ้าน เขามีเพียงเรือลำนี้ เรือคือที่พักพิงของเขากับอาจารย์ สถานที่ซึ่งเรียกว่าบ้านนั้นก็เป็นแค่อ่าวตื้นๆ ที่เหมาะแก่การจอดเรือไม่ให้โดนน้ำพัดไปเท่านั้นเอง
เว่ยเยวียนพายผ่านดงอ้อ ต่อมาก็ผูกเรือกับกิ่งหลิวที่ห้อยต่ำ ก่อนจะขยับร่างอาจารย์ที่กำลังหลับสบายเพื่อหาที่ให้ตนเอง จากนั้นก็หงายตัวลงนอน
ฟ้ายังไม่สางแท้ๆ เขากลับรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอึกทึกเหลือทน เขาโผล่หัวออกมาจากประทุนเรือ แล้วก็ได้เห็นอาจารย์ของตนอยู่บนหัวเรือ ตรงข้ามเรือประทุนมีเรือเล็กอยู่เจ็ดแปดลำ ลำหน้าสุดมีเด็กน้อยอายุประมาณไม่เกินเก้าหรือสิบขวบยืนอยู่บนหัวเรือ
แต่เมื่อดูจากเครื่องแต่งกายแล้วกลับไม่เหมือนเป็นชุดของเด็ก เด็กน้อยกล่าวกับเหยียนหยวนว่า “ไม่พบกันนานเลยนะท่านอาจารย์ ไม่ทราบท่านลืมบางอย่างไปหรือไม่”
เหยียนหยวนหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ารู้สึกว่าข้าลืมอะไรล่ะ”
เด็กน้อยคนนั้นมีบุคลิกองอาจถึงสิบส่วน คล้ายกับว่าคนรอบกายเขาล้วนเชื่อฟังคำสั่งเขา อีกอย่างเสียงของเขาเล็กแหลมเป็นที่สุด เว่ยฉีอวี้ฟังแล้วแสบหูนัก
เหยียนหยวนสังเกตเห็นว่าเขาตื่นแล้ว ซ้ำยังโผล่ออกมาข้างนอกด้วยจึงตวาดว่า “อยู่ในประทุน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามออกมา เข้าใจไหม”
เว่ยเยวียนเห็นท่าทางเหยียนหยวนก็รู้สึกได้ว่าเรื่องชักไม่เข้าที เขาเห็นอาจารย์กุมขลุ่ยซึ่งทำจากไม้ไผ่ผุพังแน่น แม้จะเป็นห่วงแต่ก็จำต้องกลับเข้าด้านใน คอยมองอาจารย์กับเด็กนั่นประจันหน้ากันจากมุมหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนั้นไม่คิดปล่อยเว่ยเยวียนไป เขามองประทุนเรือ สะบัดมือคราหนึ่งก็มีเข็มเงินเป็นชุดลอยมา หนึ่งในนั้นพุ่งตรงเข้าหาเว่ยเยวียน
เขาเห็นเข็มเล่มนั้นพุ่งเป้ามาที่หว่างคิ้วตนก็ผวาจนหงายลงไปนั่งจ้ำเบ้ากับพื้น และเพราะเขานั่งลงไปนี่เอง เข็มดังกล่าวจึงลอยผ่านไปทะลุออกอีกด้านของประทุนเรือ
เว่ยเยวียนมองรูขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่บนม่านไม้ไผ่ของประทุนเรือแล้วก็ให้รู้สึกตระหนกจนเหงื่อกาฬไหลพราก หูก็ได้ยินเสียงเด็กดังขึ้นจากด้านนอกว่า “คนผู้นี้คงมิใช่ศิษย์ที่เจ้าเพิ่งรับมาใหม่หรอกนะ วรยุทธ์แค่นี้น่ะหรือจะมาเป็นศิษย์น้องของข้า?”
ครั้นแล้วเว่ยเยวียนก็ได้ยินเสียงอาวุธกระทบกันชุลมุน ก่อให้เกิดคลื่นน้ำมากมาย เขารู้สึกแค่ว่าเรือของตนถูกคลื่นลูกใหญ่ซัดจนโยกซ้ายเอียงขวา
เขาอุดหูซ่อนอยู่ในประทุน ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงข้างนอกค่อยๆ สงบลงแล้ว เขาจึงลองยื่นหัวออกไปและเลิกม่านไม้ไผ่ขึ้น เห็นเพียงอาจารย์ของตนยืนอยู่ที่หัวเรือ มือกุมกระบี่เล่มหนึ่ง ผู้เป็นอาจารย์นิ่งอยู่ในท่านั้นเนิ่นนาน มีแค่สายลมเหนือแม่น้ำที่เป่าเส้นผมและเคราขาวโพลนของอาจารย์ให้พลิ้วไหวไปมา

คอมเมนต์

Chapter List