บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 4
บทที่ 4 แรกขึ้นเขาสิ้นไผ่
ดวงอาทิตย์คล้อยลงสู่ทิศตะวันตก ดวงจันทร์ทางตะวันออกยังไม่ปรากฏ เรือลำน้อยจอดอยู่ริมฝั่งอย่างเดียวดาย ทั้งที่ไม่มีลมแท้ๆ แต่ต้นอ้อโดยรอบกลับลู่ระเนน เว่ยฉีอวี้เอนกายอยู่บนเรือ เทสุราใส่ปากตน กระบี่คู่กายนามว่ากู่เต้าวางอยู่ข้างมือ
ท่านอาจารย์เสียไปแล้วเมื่อสามเดือนก่อน เขาอายุตั้งร้อยกว่าปีแล้ว ถือได้ว่าสิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ เว่ยเยวียนคุ้ยเงินที่ท่านผู้เฒ่าซุกไว้ออกมา จัดหาโลงศพเพื่อฝังชายชรา ส่วนที่เหลือก็ซื้อสุราดื่มมาสามเดือน นับว่าใช้จนเกลี้ยงพอดี ต้องคิดหาทางออกอื่นแล้ว
แล้วจะทำอย่างไรดีเล่า เมื่อก่อนอาจารย์เป็นชาวเรือ หาเลี้ยงชีพด้วยการถ่อเรือข้ามฟาก บัดนี้เขาจะสืบทอดการงานของอาจารย์ต่อดีหรือไม่
เมื่อดื่มสุราหมด เขาก็โยนไหทิ้งใส่ดงอ้อ เสียงเพล้งดังขึ้น ไหนั้นถึงกับแตกเป็นชิ้นๆ หนำซ้ำต้นอ้อก็ไหวพะเยิบด้วย ปกติใต้ต้นอ้อนี้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ แล้วไหจะแตกได้อย่างไร
เขาโซเซลุกขึ้น “หรือมีอะไรอยู่ตรงนั้น?” เป็ดตัวหนึ่งตีปีกบินพั่บๆ ออกมา เว่ยเยวียนผ่อนลมหายใจ แต่แล้วก็คิดได้ว่า “ไม่ถูกสิ เป็ดจะทำให้ไหแตกได้อย่างไร”
ต้นอ้อสั่นไหว คนจำนวนไม่น้อยกระโดดออกมา ทั้งหมดล้วนสวมชุดดำและปิดหน้าด้วยผ้าดำ ผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยว่า “ดีที่แค่กระแทกถูกกระบี่ข้า ถ้าโดนหัวเข้าจะมิใช่จับพลัดจับผลูโดนเจ้าเล่นงานหรอกหรือ”
คนทั้งกลุ่มล้วนถือดาบหรือกระบี่ “เจ้าคือเว่ยฉีอวี้?”
เว่ยเยวียน ชื่อรองฉีอวี้ เมื่อเห็นสถานการณ์เยี่ยงนี้ แน่นอนย่อมไม่พูดว่าตนเองคือเว่ยฉีอวี้ “ข้าแซ่เหยียน ชื่อเหยียนหยวน” อาจารย์แซ่เหยียน ชื่อหยวน อารามตกใจเขาจึงยืมชื่อแซ่ของผู้เป็นอาจารย์มาใช้
ชายหัวโจกเอ่ยด้วยยิ้มหยันว่า “ตาเฒ่าเหยียนหยวนนั่นอายุร้อยสามสิบแล้วไม่ใช่หรือ จะยังสารรูปแบบนี้ได้อย่างไร เอาตัวเจ้าหนูนี่กลับไปให้ข้า”
“อย่านะ ท่านผู้กล้า มีเรื่องอะไรคุยกันดีๆ ก็ได้นี่” กลุ่มคนที่จะเข้ามาจับตัวเขาชะงัก เขาเห็นดังนั้นก็ผ่อนลมหายใจ โผนร่างขึ้นเหยียบหลังคาเรือแล้วดีดตัวหนีทันที เขาไม่ได้เรียนวิชาอะไรอย่างอื่นจากอาจารย์ มีแค่วิชาหนีเอาชีวิตรอดนี่แหละที่เรียนมาได้ถึงแปดเก้าส่วน
เว่ยฉีอวี้เหลียวหลังไปมอง พอเห็นว่าคนกลุ่มนั้นไม่ได้ไล่ตามมาก็โล่งอก ขณะที่กำลังหลงนึกว่ารอดจากการไล่ล่าแล้ว น่องของเขาก็ถูกบางอย่างฟาดใส่จนชา เข่างอลง เพียงพริบตาร่างก็ร่วงตูมลงน้ำ
น่องยังกระตุกอยู่เลย ขยับไม่ได้แม้แต่น้อย เขาจะต้องมาตายแบบนี้หรือ เว่ยฉีอวี้พ่นฟองอากาศออกมาหลายลูก สติค่อยๆ พร่าเลือน
“ข้าล่ะหลงนึกว่าเจ้ามีความสามารถสูงส่งเสียอีก โดนหินดีดใส่ก้อนเดียวก็ขยับไม่ได้แล้ว” ชายผู้เป็นหัวหน้าพายเรือมาถึงตำแหน่งที่เขาตกน้ำ ก่อนจะก้มลงช้อนเขาขึ้นมา เว่ยฉีอวี้สัมผัสได้ถึงอากาศ จึงสำลักน้ำออกมาหลายคำแล้วหายใจหนักๆ หลายเฮือก เคราะห์ดีที่ไม่ตาย
สภาพเขาทุกลักทุเลนัก สายตาก็มองผู้ที่นอนหงายอยู่บนเรือ คนผู้นี้ใช้กำลังภายในพายเรือ ไม่ต้องใช้ไม้พายแต่อย่างใด เวลานี้เขาปลดผ้าปิดหน้าสีดำออกแล้ว เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหก ผมมัดรวบเอาไว้ ไม่มีท่าทีแยแสเว่ยฉีอวี้แม้แต่น้อย ราวกับกำลังนั่งเรือชมทะเลสาบไม่มีผิด
“พวกเจ้าจับตัวข้าทำไม”
“ใครบอกว่าข้าอยากจับเจ้ากันล่ะ มีคนสั่งให้ข้าจับเจ้าต่างหาก ไม่อย่างนั้นข้าจะจับเจ้าไปทำอะไร”
เว่ยฉีอวี้พูดไม่ออก มันก็ความหมายเดียวกันมิใช่หรือ
นาวาน้อยลำนี้แล่นออกจากคลอง ทวนกระแสน้ำขึ้นสู่แม่น้ำฉางเจียง[1]ตอนบน จากนั้นก็ล่องเข้าสู่ลำน้ำสาขา ล่องลอยอยู่ไม่รู้นานเท่าใด รู้แค่ว่าแสงอรุณทางตะวันออกเริ่มทอแสงราวเปลวเพลิง ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิงามเฉิดฉาย
นาวาน้อยหยุดลงยังชายฝั่งน้ำแห่งหนึ่งซึ่งดารดาษไปด้วยก้อนกรวด เด็กหนุ่มกระโดดลงจากเรือ “มาสิ จะให้ข้าฟาดเจ้าสลบแล้วแบกขึ้นไปหรืออย่างไร เดินตามมาเอง” ถัดจากถนนกรวดคือเส้นทางขึ้นเขาอันสูงชันขรุขระ บันไดหินยาวเหยียดทอดไปสู่เขาลูกหนึ่งในเทือกเขาแห่งนี้
เว่ยฉีอวี้ก้าวไปบนบันไดหิน หริ่งหรีดเรไรรอบด้านครวญเพลงแผ่วเบา สัตว์ป่ากู่ร้อง เสียงสายธารไหลเอื่อยคลอประสาน นี่ข้าเข้ามาสู่สถานที่ใดกัน
เด็กหนุ่มเหลียวกลับมามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “เร็วหน่อยได้ไหม เจ้าช้าขนาดนี้เมื่อไหร่จะขึ้นถึงบนเขากันล่ะ เสียทีที่ทั่วร่างมีกล้ามเนื้อกับเส้นเอ็นและกระดูกอันแข็งแรง”
เว่ยฉีอวี้เดินตามเด็กหนุ่มไปตลอดทาง เดินจนสองขาปวดชา เดินไม่ไหวแล้วจริงๆ เด็กหนุ่มจนปัญญาจะทำอะไรเขาได้ จำต้องเดินๆ หยุดๆ สุดท้ายจึงเดินอยู่ทั้งวันกว่าจะขึ้นถึงบนเขา
ภูเขากันดารเยี่ยงนี้ แต่ข้างบนกลับมีหมู่ตึกอยู่ ทั้งยังมีสระน้ำด้วย หมู่ตึกสร้างอิงหน้าผาบนยอดเขา รายรอบด้วยสระน้ำ เว่ยฉีอวี้ไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว สองตาจึงมืดลงจนแทบล้มคว่ำกับพื้น
เขาตามเด็กหนุ่มเข้าไปในหมู่ตึก เดินเรื่อยไปจนถึงประตูเรือนแห่งหนึ่ง “เจ้าตามข้ามาทำไม ที่ไหนน่าสนุกก็ไปที่นั่นสิ” เว่ยฉีอวี้ลังเล “เจ้าพาข้าขึ้นเขา แต่สุดท้ายเอาข้ามาปล่อยไว้ตรงนี้ ไม่เหลียวแลแล้วอย่างนั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มอ้าปากหาว “ข้าทั้งหิวทั้งเหนื่อย มีเวลาสนใจเจ้าที่ไหน”
“ข้าหิวจนจะสลบอยู่แล้ว เจ้าไม่มีเวลาสนใจข้า แล้วใครจะสนใจข้าเล่า” เว่ยฉีอวี้จะตามตื๊อเด็กหนุ่มผู้นี้แน่นอนแล้ว เกาะเขาไว้อย่างน้อยก็ได้อิ่มท้องหนึ่งมื้อแน่นอน
เด็กหนุ่มมีดวงตาที่ชวนมองยิ่ง กลมโตสุกใส ทั้งยังดูไร้เดียงสาประหนึ่งกวางน้อยกลางพงไพร ดวงตาเขากลอกกลิ้งหนึ่งรอบ “เจ้าคิดจะอยู่กับข้าแล้วใช่ไหม”
เว่ยฉีอวี้พยักหน้า
เด็กหนุ่มตบบ่าเขา “วางใจได้เลย อยู่กับข้ามีอนาคตแน่นอน”
เด็กหนุ่มพาเว่ยฉีอวี้ย่องเข้าไปในเรือน ขณะเดินก็กล่าวว่า “โดยปกติแล้ว โมงยามนี้ศิษย์พี่จะไม่อยู่ในครัว อาหารเย็นเพิ่งทำเสร็จ อาจารย์โปรดปรานขาหมูน้ำแดงที่สุด เราเข้าไปขโมยมานิดหน่อยก่อนเป็นดี”
เมื่อเข้าไปในห้องก็พบอาหารละลานตา ตอนเว่ยฉีอวี้อยู่กับอาจารย์ไม่เคยกินของพวกนี้เลย อย่างมากตอนไปร้านเหล้าฝั่งตะวันตกของเมืองก็เพียงหยิบถั่วลิสงมาหนึ่งจานเท่านั้น ทีแรกตกลงกันไว้ว่าจะกินขาหมูน้ำแดง ทว่าเว่ยฉีอวี้กลับถูกของกินบดบังดวงตาทั้งสอง เมื่อยื่นมือออกไป อาหารบนแท่นข้างเตาก็ถูกเขากินจนถ้วนทั่ว
คราวนี้แย่แล้ว กับข้าวเต็มจาน สุดท้ายล้วนเหลือครึ่งจาน
เว่ยฉีอวี้กับเด็กหนุ่มกินจนอิ่มหนำสำราญ นั่งแช่อยู่บนพื้นเพราะเดินไม่ไหว ยามนี้เด็กหนุ่มก็บ่นงึมงำขึ้นมาว่า “จบเห่ เกินเวลา ศิษย์พี่กลับมาแล้ว”
เด็กหนุ่มหิ้วคอเสื้อเว่ยฉีอวี้กระโจนออกทางหน้าต่าง หนีไปนั่งเงียบอยู่บนต้นพุทรานอกเรือน ต่อมาหญิงสวมชุดแดงนางหนึ่งก็ปรากฏกาย บนข้อเท้าห้อยกระพรวนไว้ ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งอยู่ไม่ขาด ฟังแล้วดูชดช้อยมีเสน่ห์ยิ่งนัก
เว่ยฉีอวี้เหมือนเคยพบคนเช่นนี้มาก่อนที่ไหนสักแห่ง ขณะที่เขามัวขบคิด ชามใส่อาหารใบหนึ่งก็ลอยมาหา เขาไหวกายหลบจนร่วงตุ้บลงกับพื้น “หนันซื่อ ถ้าน้ำแกงในชามกระฉอกออกมาแม้แต่หยดเดียว เจ้าก็รอพี่สาวเจ้ามาเก็บศพเจ้าได้เลย”
ที่แท้เด็กหนุ่มนั่นก็มีนามว่าหนันซื่อ[2] ตกต้นไม้ครานี้เว่ยฉีอวี้รู้สึกเหมือนอาหารที่เพิ่งกินลงไปจะขย้อนออกมา เพิ่งจะลุกขึ้นยืนก็เห็นจานสามใบลอยออกมาจากหน้าต่างอีกแล้ว
เว่ยฉีอวี้หลบหลังต้นไม้ เห็นแค่ว่าจานชามสิบกว่าใบปลิวออกมาอย่างต่อเนื่อง บนร่างหนันซื่อเต็มไปด้วยจาน รอจนคิดว่าน่าจะจบลงแล้ว เว่ยฉีอวี้ถึงออกมาจากหลังต้นไม้ เมื่อออกมาแล้ว น้ำแกงชามหนึ่งก็ลอยมาถึงตรงหน้าเขา เว่ยฉีอวี้ทำอะไรไม่ถูก เพียงพริบตาเดียวชามนั่นก็ครอบลงบนหัวเขาเสียแล้ว หัวหูเปรอะด้วยน้ำแกงไปหมด
[1] ‘ฉางเจียง’ คือแม่น้ำแยงซี
[2] ‘ซื่อ’ แปลว่า สี่ ชาวจีนนิยมเรียกกันด้วยลำดับแทนชื่อตัว
คอมเมนต์