บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 5
บทที่ 5 อาจารย์อาเล็ก
“เรื่องดีๆ ไม่รู้จักหัด ดีแต่ทำเหลวไหลกับหนันซื่อ” หญิงชุดแดงก้าวออกมา เดินมาถึงเบื้องหน้าเว่ยฉีอวี้ เขย่งเท้าหยิบชามออกจากหัวเขา “เอ๋ ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อนเลย”
“ข้าชื่อเว่ยฉีอวี้ เพิ่งโดนหนันซื่อ คนของบ้านเจ้าพาขึ้นเขามาเมื่อเช้าวันนี้เอง”
นางพยักหน้าเอ่ยว่า “เจ้าก็คือเว่ยฉีอวี้หรอกหรือ”
“ใช่แล้ว ข้าเอง” เว่ยฉีอวี้งุนงง เขาโด่งดังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงขนาดที่ใครๆ ก็รู้จักนามกรของเขาเว่ยเยวียน
นางก้าวเข้ามาใกล้ หยิบผักที่แปะอยู่บนหน้าเขาออก “เว่ยเยวียน” โครงหน้าของเว่ยฉีอวี้มีแววผึ่งผาย เครื่องหน้าคมสัน แม้จะอยู่บนเรือมานานปี แต่ผิวพรรณนับว่าขาวเกลี้ยง
นางยื่นมือคลำแขนและข้อต่อของเขา “กล้ามเนื้อหย่อนยาน ความยืดหยุ่นไม่พอ มีแค่กระดูกที่ถือว่าดีเลิศ ฝึกฝนเสียหน่อยก็น่าจะได้เรื่องอยู่ อืม ส่วนที่ดีที่สุดก็คือใบหน้านี้”
เว่ยฉีอวี้ฟังแล้วหน้าแดง ขณะที่ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรดี ก็ได้ยินหญิงนางนั้นกล่าวต่อไปว่า “ข้าชื่อเชียนมี่ เป็นศิษย์คนรองของสำนักหวั่งเซิงเหมินฝ่ายใต้ เจ้าหนูนั่นชื่อหนันหยาง เป็นศิษย์คนที่สี่ของหวั่งเซิงเหมินฝ่ายใต้ ที่นี่คือหมู่ตึกโยวกุย เขาสิ้นไผ่ ต่อไปเจ้าก็คืออาจารย์อาเล็กของพวกเรา”
อาจารย์อาเล็ก? อาจารย์อาเล็กอะไรกัน?
นักเลงหัวไม้ผู้ขึ้นชื่อเรื่องกินเหล้าหัวราน้ำทุกวันอย่างท่านอาจารย์ยังมีศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นอยู่อีกหรือ? เดี๋ยวก่อน เขาสิ้นไผ่ หมู่ตึกโยวกุย?
เว่ยฉีอวี้กระโดดหนีครึ่งก้าว ถอยห่างจากเชียนมี่และหนันหยาง สองมือป้องอก “พวกเจ้าก็คือสำนักหวั่งเซิงเหมินที่เป็นสุนัขรับใช้ของราชสำนัก ชื่อเสียงเหม็นโฉ่ทั่วยุทธภพใช่หรือไม่? สำนักนอกรีตพรรค์นี้ ทำไมข้าต้องไปเป็นอาจารย์อาเล็กของพวกเจ้าด้วย พวกเจ้าอย่าหวังเลย”
หนันซื่อเหวี่ยงจานใบหนึ่งบนเท้ามา “ยังจะว่าสำนักนอกรีตอีก ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์จะรับเจ้าเป็นศิษย์น้องให้ได้ เจ้าคิดว่าใครจะต้องการเจ้ากันล่ะ เจ้าก็ถ่อเรืออยู่ในทะเลสาบไปชั่วชีวิตเถอะ”
จานใบนั้นถูกเชียนมี่รับไว้ได้ จากนั้นเขวี้ยงกลับเข้าปากหนันซื่อ “ข้าให้เจ้าส่งเสียงแล้วหรือ ยืนดีๆ”
เชียนมี่เก็บเศษอาหารบนหน้าเว่ยฉีอวี้ต่อ เมื่อเก็บเสร็จยังช่วยเช็ดหน้าให้เขาด้วย “เจ้าก็ยืนดีๆ ด้วย”
เชียนมี่ผู้นี้ เมื่อครั้งเว่ยฉีอวี้ถ่อเรือข้ามฟากเคยได้ยินคนเอ่ยถึงนางมาก่อน บอกว่าเป็นหญิงงามเลิศลบจบหล้า มีเสน่ห์เย้ายวน คนใหญ่คนโตไม่น้อยขอยอมตายเพื่อให้ได้นางมาครอง
นางสวยหวานตามธรรมชาติ เชี่ยวชาญดนตรีของที่ต่างๆ รู้จักระบำนานาชนิด ยิ่งกว่านั้น เสียงผีผาของนางยังทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มงมงาย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทว่าอุตริไม่ดำเนินอยู่ในครรลองอันเที่ยงธรรม และมิใช่ครรลองนอกลู่นอกทาง แต่เป็นครรลองเดียรถีย์ เป็นไปตามคนของสำนักหวั่งเซิงเหมิน
สำนักหวั่งเซิงเหมินคือตัวอะไรน่ะหรือ ก็คือสำนักที่ราชครูของราชวงศ์ก่อนก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยราชสำนักก่อกวนยุทธภพ ต่อมาเมื่อราชวงศ์ก่อนล่มสลาย หวั่งเซิงเหมินจึงเร้นเข้าสู่ป่าเขา ทว่าพักหลังนี้ก็ทำท่าว่าจะหวนสู่ยุทธภพอีกครา
ปัจจุบันหวั่งเซิงเหมินแบ่งเป็นฝ่ายเหนือและใต้ ดำรงอยู่ได้จากสองช่องทาง ทางแรกคือสร้างนักรบเดนตายและกองทหารส่วนตัวให้ผู้มีอำนาจราชศักดิ์ในราชสำนัก ทางที่สองทำภารกิจตามที่ถูกจ้างวาน
เว่ยฉีอวี้มองดวงตาทรงเสน่ห์ของเชียนมี่ ใต้หางตามีไฝสีแดงหนึ่งเม็ด ดูแล้วเย้ายวนเป็นที่สุด ราวนางสวรรค์ยวนวิญญาณในภาพวาด
ทันใดนั้นจานใบหนึ่งก็ปลิวมากระแทกหัวเว่ยฉีอวี้ด้วยแรงพอเหมาะ ไม่หนักไม่เบา ทำให้อารมณ์เขาสะดุดลง เมื่อหันไปมองก็พบว่าที่แท้เป็นหนันซื่อที่เป็นผู้ซัดจานใบที่อยู่ในปากมา
“เจ้าจ้องศิษย์พี่ทำไม ไฝใต้หางตานางน่ะเป็นของอาคม ระวังเถิดจะสูญเสียสัมปชัญญะจนสุดท้ายต้องสติฟั่นเฟือน”
ยามนี้เว่ยฉีอวี้จึงผ่อนลมหายใจ ไม่กล้าจ้องเชียนมี่อีก เขาจะต้องอยู่เป็นอาจารย์อาเล็กที่หวั่งเซิงเหมินจริงๆ หรือ ลำดับรุ่นนับว่าไม่เลวทีเดียว เพียงแต่ชื่อเสียงเหม็นโฉ่ไปหน่อย แม้ว่าต่อไปจะหมดกังวลเรื่องความเป็นอยู่ แต่ยากจะรับประกันว่ายามอยู่ในยุทธภพจะไม่เป็นที่ชิงชังรังเกียจประหนึ่งหนูข้ามถนนที่ใครๆ ก็ตะโกนบอกให้ฟาด
เว่ยฉีอวี้กับหนันซื่อถูกลงโทษให้ยืนอยู่ตรงนั้นจนดวงจันทร์ลอยสู่ยอดไม้ถึงจะพักได้
เชียนมี่มองเว่ยฉีอวี้ ก็แค่ยืนครึ่งวันเท่านั้น แต่สภาพกลับดูอ่อนเพลียยิ่งนัก “รออีกสักระยะพออาจารย์ออกฌานแล้วเจ้าค่อยเริ่มเรียนวรยุทธ์สำหรับศิษย์เพิ่งเข้าสำนักอย่างเป็นทางการก็แล้วกัน สภาพร่างกายเจ้าแบบนี้ ไปฝึกฝนกับศิษย์สายนอกที่หลังเขาก่อนค่อยว่ากัน หนันหยาง เจ้าจัดการดูแลเขาให้เรียบร้อยด้วย”
“ไหงเป็นข้าอีกแล้วล่ะ” หนันหยางไม่สบอารมณ์ เขายังมีบทละครตั้งหลายเล่มที่รวบรวมมาได้ตอนลงเขาที่ยังไม่ได้อ่าน มีเวลาคอยดูแลเว่ยฉีอวี้ที่ไหนกัน
เชียนมี่ขึงตาใส่ หนันหยางเบ้ปาก “ข้าไปก็ได้ เด็กข้า ข้าย่อมต้องคุ้มครองเอง”
เว่ยฉีอวี้คร้านจะสนใจคำคะนองปากชั่วครั้งคราว จึงทำเพียงเดินตามหนันหยางไป ต่อให้ภายหน้าคิดจะเผ่นหนีก็ต้องประเมินระยะทาง จะได้ไม่ต้องหนีแล้วไปขาดใจตายที่เชิงเขา เรื่องสำคัญอันดับแรกคือต้องสืบรู้สายสนกลในของภูเขาสิ้นไผ่กับสำนักหวั่งเซิงเหมินก่อน
หมู่ตึกโยวกุยแห่งนี้ แม้ว่าโดยรอบจะไม่ค่อยพบเจอใคร ทว่าอาคารบ้านเรือนก็แบ่งย่อยเป็นส่วนเล็กๆ หลายส่วน มีลำธารสายน้อยตัดผ่านหมู่ตึก ยังมีคลังเก็บอาวุธ หอคัมภีร์ ลานฝึกสัตว์และสถานที่ต่างๆ อีกมากมาย
ปลายสุดด้านตะวันตกมีเรือนแห่งหนึ่ง ในเรือนปลูกไม้ดอกสีขาวซึ่งเขาไม่เคยเจอมาก่อนอยู่เต็มไปหมด คล้ายท้อแต่ไม่ใช่ท้อ คล้ายสาลี่แต่ไม่ใช่สาลี่ ยามเดินผ่านจะได้กลิ่นหอมของมวลบุปผาและสุราอบอวลไปทั่ว กระทั่งชื่อสถานที่ซึ่งแขวนอยู่นอกเรือนก็ยังเป็น ‘เรือนจู้จิ่ว’ (เรือนบ่มสุรา)
กว้างมากจริงๆ เขาเดินอยู่ครึ่งชั่วยามก็ยังไม่ถึงที่พักของตน “ทำไมถึงใหญ่และไกลขนาดนี้”
หนันหยางเหลียวกลับมา “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ารู้วิชาตัวเบาแค่ครึ่งๆ กลางๆ แถมนอกจากตอนเอาชีวิตรอดก็ยังสำแดงออกมาไม่ได้ พวกเราจะต้องเดินจากตีนเขาถึงบนเขา จากฝั่งตะวันออกไปตะวันตกหรือ”
“เจ้าพาข้าไปสิ วิชาตัวเบาเจ้าร้ายกาจดีไม่ใช่หรือ” เขาเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ รู้สึกเหมือนไม่เคยเดินไกลเท่านี้มาก่อนในชีวิต
หนันหยางฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ทำไมตอนแรกเขาถึงคิดไม่ได้กันนะ ว่าแล้วเขาก็หิ้วคอเสื้อเว่ยฉีอวี้ โผนร่างอย่างแผ่วเบาไปยืนอยู่บนกำแพงอย่างรวดเร็ว เว่ยฉีอวี้เหลือบเห็นเงาร่างสีครามในเรือนจู้จิ่ว ยังมองไม่ชัดว่าเป็นชายหรือหญิงก็โดนหิ้วไปไกลแล้ว
เพียงหนึ่งส่วนสี่เค่อ[1]ก็ถึงที่ หนันหยางโยนเขาลงกับพื้น “ข้าเกือบหายใจไม่ออกตายแน่ะ หิ้วตรงไหนไม่หิ้ว ดันหิ้วคอเสื้อ”
“เจ้าให้ข้าหิ้วเองนะ ทำไมถึงพิรี้พิไรแบบนี้” หนันหยางไหวกายกระโดดหายไปไม่เหลือเงา
เว่ยฉีอวี้มองสระบัวตรงหน้า หันกลับไปก็พบเรือนที่เขียนว่า ‘หอไผ่’ พอผลักประตูเข้าไป ก็เห็นว่าที่หน้าประตูปลูกไผ่หางหงส์ไว้สี่ห้าต้น เรือนนั้นมีสามห้อง หนึ่งลาน หนึ่งศาลา เรียบง่ายอย่างยิ่ง
เว่ยฉีอวี้ก้าวเข้าไปในห้องแล้วกวาดมองอีกรอบ เก้าอี้ไม้ไผ่ เตียงไม้ไผ่ โต๊ะไม้ไผ่ หนึ่งปราศจากเครื่องประดับเพชรนิลจินดา สองปราศจากภาพวาดเลื่องชื่อ สามปราศจากไม้แดงแกะสลัก มีเพียงต้นว่านเศรษฐีเรือนนอกในกระถางเท่านั้นที่ค่อนข้างพิเศษ ในห้องไม่มีของมีค่าใดๆ
“เป็นตั้งอาจารย์อาเล็ก สวัสดิการยังอัตคัดขัดสนขนาดนี้ กลัวข้ากวาดทรัพย์สินหนีไปหรืออย่างไร”
“นี่คือห้องเดิมของอาจารย์ปู่หยวนขอรับ อาจารย์ปู่ชอบความสมถะและอยู่แบบนี้มาตลอด ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์อาเล็กไม่ชอบ” เสียงที่ดังมาจากที่ไหนไม่รู้ทำเอาเว่ยฉีอวี้สะดุ้งหันกายกะทันหันจนเข่ากระแทกขาโต๊ะเจ็บอยู่ครู่ใหญ่
เด็กรับใช้ผู้หนึ่งมองเว่ยฉีอวี้ ก่อนจะช่วยจุดตะเกียงในห้องให้เขา “อาจารย์อาเล็ก ดึกมากแล้ว พักผ่อนเถิดขอรับ พรุ่งนี้เช้าท่านต้องไปฝึกฝนร่วมกับศิษย์สายนอกที่ด้านหลังเขา ข้าจะไปต้มน้ำมาให้ท่านอาบน้ำล้างหน้านะขอรับ”
[1] ‘เค่อ’ คือ 14.4 นาที การนับเวลาแบบจีนโบราณแบ่งหนึ่งวันเป็น 100 เค่อ
คอมเมนต์