บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 6
บทที่ 6 ตื่นเช้าไปฝึกภาคเช้า
“รอเดี๋ยว เจ้าอย่าเพิ่งไป เจ้ามีนามว่าอะไร มีหน้าที่ใด” ทำไมเขาถึงไม่รู้นะว่าหมู่ตึกโยวกุยแห่งนี้มีเด็กรับใช้ด้วย
เด็กรับใช้มองเว่ยฉีอวี้ “ข้าชื่อจูจูจื่อขอรับ ท่านอาจารย์ส่งมาดูแลความเป็นอยู่ของอาจารย์อาเล็ก ข้าติดตามท่านมาตั้งแต่ท่านเข้าสู่หมู่ตึกโยวกุยแล้ว เพียงแต่ท่านไม่เคยสังเกตได้เท่านั้นเองขอรับ” เว่ยฉีอวี้เห็นคนผู้นี้ฝีเท้าแผ่วเบา ลมหายใจมั่นคงสม่ำเสมอ น่าจะเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง ดังนั้นจึงเกรงใจขึ้นอีกเล็กน้อย “รบกวนแล้วๆ”
เด็กรับใช้ได้ยินก็คารวะหนึ่งครา จากนั้นประตูขยับเพียงนิดเดียว คนก็หายวับไปแล้ว เว่ยฉีอวี้เปิดหน้าต่างมองหาก็ไม่เจอ หวั่งเซิงเหมินแม้จะเป็นที่ชิงชังรังเกียจในยุทธภพ ทว่าก็สามารถฉกอาหารจากปากอีแร้งอย่างราชสำนักได้ ซ้ำยังดำรงอยู่มาได้หลายร้อยปี เห็นได้ชัดว่าในสำนักย่อมมีผู้มากฝีมือและเปี่ยมปณิธานอยู่ไม่น้อย
การที่เขาขึ้นเขามาเป็นการหากินกับเสือหรือกำลังรนหาที่ตายกันแน่ แต่หากไม่ขึ้นเขา คาดว่าหลังจากบรรดาศัตรูสายมารตัวฉกาจของอาจารย์ล่วงรู้ว่าอาจารย์เสียแล้วก็คงโผล่มาในไม่ช้า ข้างหน้ามีหมาป่า ข้างหลังมีเสือ[1] แบบนี้จะทำอย่างไรดี
เช้าวันต่อมา ตะวันยังไม่ทันขึ้น เว่ยฉีอวี้ยังนอนอยู่บนเตียง หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ เสียงเอี๊ยดก็ดังขึ้น ประตูเปิดออก จูจูจื่อยกอ่างน้ำเข้ามา “อาจารย์อาเล็ก ตื่นได้แล้วขอรับ อีกเพียงสองเค่อการฝึกฝนที่หลังภูเขาในวันนี้ก็จะเริ่มแล้ว ท่านไปวันแรก อย่าได้ไปสายเชียวขอรับ จะได้ไม่ทำให้ศิษย์พี่สามขุ่นเคือง”
เว่ยฉีอวี้เบ้ปากแล้วอ้าปากหาว “จูจูจื่อ นี่ชั่วยามไหนแล้ว”
“ยามอิ๋น[2]หนึ่งเค่อขอรับ”
เว่ยฉีอวี้มึนงงเล็กน้อย “เพิ่งยามอิ๋นหนึ่งเค่อ? ไก่โต้งบ้านนายังไม่ตื่นเลยด้วยซ้ำ ดาวบนฟ้าก็เพิ่งออกมาไม่ทันไรเอง ข้าไม่ลุก”
จูจูจื่ออ่อนใจ “อาจารย์อาเล็ก ยามอิ๋นสามเค่อก็จะเริ่มรวมตัวแล้วนะขอรับ ยามเหม่า[3]เริ่มฝึก จะสายไม่ได้ ศิษย์พี่สามจะโมโหเอา”
เว่ยฉีอวี้พลิกตัวขึ้นนั่ง แต่ครู่เดียวก็ไหลลงไปนอนใหม่ “จูจูจื่อ ข้าลุกไม่ขึ้นจริงๆ ดีชั่วอย่างไรข้าก็เป็นอาจารย์อาเล็กของศิษย์พี่เจ้า ยกเว้นเป็นพิเศษได้ ไม่เป็นไรหรอก ข้าขอนอนอีกงีบน่า ก่อนถึงยามเหม่าจะไปถึงแน่”
เขานอนขี้เซาต่ออีกครึ่งชั่วยาม สุดท้ายไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ถึงกับโดนใครบางคนหิ้วคอเสื้อจนลอยขึ้นจากเตียง เขาลืมตาขึ้น ผู้ที่อยู่ตรงหน้ารวบผมสูง ดวงตาสุกใส คิ้วเรียวตากลมโต เป็นวงหน้าอย่างที่สาวๆ ชาวเจียงหนันชื่นชอบที่สุด
คนผู้นั้นเอ่ยว่า “เจ้าเป็นคนแรกที่กล้ามาสายในวันที่ข้าท่านหนันซันเป็นผู้ฝึก”
หญิงผู้เรียกตนเองว่าท่านหนันซันหิ้วเว่ยฉีอวี้ที่ยังสะลึมสะลือขึ้นจากเตียง และเอ่ยอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อยว่า “อีกหนึ่งเค่อให้หลัง ถ้าเจ้ายังไปไม่ถึงหลังเขา ก็เตรียมไปรายงานตัวกับยมบาลได้เลย”
เมื่อกล่าวจบ หนันซันก็หายไปไม่เหลือเงา เว่ยฉีอวี้ตั้งสติได้ก็ตะโกนว่า “นี่ ดีชั่วอย่างไรข้าก็เป็นอาจารย์อาเล็กของเจ้านะ อาจารย์อาน่ะ คนละรุ่นกันเชียวนะ”
ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับอีก กลับเป็นจูจูจื่อที่ยกน้ำเข้ามาอีกครา “อาจารย์อาขอรับ ศิษย์พี่สามอารมณ์ร้าย ปกติชอบเอาอย่างหันเฟยจื่อ[4]ที่สุด จะทำลายกฎไม่ได้เด็ดขาด”
สุดท้ายเว่ยฉีอวี้ก็ยังไปสายอยู่ดี ทำอย่างไรก็ไม่อาจเร่งไปให้ถึงภายในหนึ่งเค่อได้ กล่าวได้เพียงว่าหลังเขาช่างไกลห่างเหลือเกิน หนำซ้ำทางไปยังเป็นสะพานแขวนบนผาหินล้วนๆ ราวจับหรือก็ไม่มี เขาไม่กล้ามองเลยว่าทิวทัศน์ด้านล่างเป็นอย่างไร กลัวจับใจว่าหากเห็นเข้าขาจะอ่อนยวบแล้วร่วงลงไป
เมื่อมาถึงพื้นราบ เว่ยฉีอวี้ก็เห็นงูแมวเซาตัวลายกำลังแลบลิ้นอยู่ จึงละล้าละลังไม่กล้าก้าวลงไป “ข้าจะบอกให้ ข้าเว่ยเยวียน เว่ยฉีอวี้มีวรยุทธ์นะ เจ้าอย่ามาหาเรื่องข้าเด็ดขาด”
เจ้างูเห็นเขาออกท่าออกทางใหญ่โตก็บิดกายเลื้อยหายเข้าสู่พุ่มไม้ เว่ยฉีอวี้ยังกลัวไม่หาย รวบรวมความกล้าเหยียบลงบนพุ่มหญ้าสูงเท่าข้อเท้า “ท่านงูขอรับ ข้าน่ะเหล้าดีงูสักคำก็ยังไม่เคยดื่ม ท่านอย่าพลาดทำร้ายข้าเข้าล่ะ”
ตกลงไว้ว่าจะไปถึงในหนึ่งเค่อ ทว่ากว่าเว่ยฉีอวี้จะไปถึงสถานที่ฝึกหลังเขาก็ล่วงไปสามเค่อแล้ว ตรงหน้ามีคนหลายร้อยคน ทุกคนล้วนยืนขาเดียวอยู่บนเสาไม้ ซ้ำร้ายด้านล่างเสายังเต็มไปด้วยไม้ปลายแหลมที่ปักอยู่ในดิน แม้จะไม่ถึงขั้นเอาชีวิต แต่หากร่วงลงไปต้องได้แผลร่วมสิบแห่งแน่
เมื่อเห็นคนผู้หนึ่งโงนเงนไปมา ทำท่าจะร่วงมิร่วงแหล่ เว่ยฉีอวี้ก็กลั้นหายใจไม่กล้าขยับ จนคนผู้นั้นยืนมั่นคงในที่สุด เว่ยฉีอวี้ถึงวางใจ แต่แล้วก็พบว่าร่างของตนเบาหวิว ลอยขึ้นกลางอากาศตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ได้ ปลิวไปหาเสาไม้ต้นหนึ่ง
เขาเห็นปลายไม้แหลมๆ ใกล้เข้ามาทุกขณะจึงกอดเสาไม้ตรงหน้าสุดชีวิต ผู้ที่อยู่บนเสาเห็นเสาของตนโยกเยกไม่หยุด ด้านล่างยังมีคนผู้หนึ่งเกาะอยู่อีกต่างหาก เขาจึงตีลังกาม้วนตัวไปยืนบนเสาไม้อีกต้นแทน
เสานี่ก็ช่างผอมเหลือเกิน ผอมจนไม่พอให้เขากอดด้วยซ้ำ มันกว้างประมาณไม่เกินสามนิ้วมือเท่านั้น
“รวบรวมลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน ออกแรงด้วยมือข้างเดียว พลิกตัวไปข้างหน้า ปลายเท้าแตะไม้”
เว่ยฉีอวี้เห็นท่านหนันซันทำพูดดีก็ไม่พอใจ “เจ้าก็พูดง่ายนี่ ให้ข้าออกแรงด้วยมือข้างเดียว ถ้าลื่นลงไปจะทำอย่างไรล่ะ”
ท่านหนันซันเห็นเหตุการณ์ก็ก้าวเข้ามา เดินไปบนปลายไม้แหลมๆ รองเท้าผ้าแตะปลายแหลม แต่มิได้ทิ้งแรงบนปลายแหลมเหล่านั้นแม้แต่น้อย เว่ยฉีอวี้กอดไม่อยู่แล้ว ร่างค่อยๆ ไหลลงทีละน้อย เมื่อก้นเขาเจ็บแปลบขึ้นมาก็ลนลานกระถดขึ้น
“ไม่เอาถ่าน” ท่านหนันซันกล่าวเช่นนี้ แต่พริบตาต่อมากลับจับเขาโยนขึ้นไปบนเสาไม้ “ยืนให้ดี วันนี้เจ้าสาย ยืนเพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม อีกสามชั่วยามค่อยลงมา”
สามชั่วยาม? แรงปรารถนาจะเอาชีวิตรอดของเขากำลังต่อสู้ดิ้นรน แต่เมื่อเห็นใบหน้าอึมครึมของท่านหนันซันก็จำต้องยืนขึ้นด้วยตนเองอีกรอบ เจ้าเสาไม้นี่ช่างยืนยากแท้ๆ เต็มที่ก็เหยียบได้แค่ครึ่งเท้า เพียงหนึ่งเค่อฝ่าเท้าเขาก็ชาไปหมด โยกไปซ้ายทีขวาที
ล่วงไปอีกหนึ่งเค่อ ตาทั้งสองของเขาก็พร่าลาย หนังตาลืมไม่ขึ้น จะร่วงลงไปอยู่แล้ว เว่ยฉีอวี้รู้สึกว่าดีเหมือนกัน ไหนๆ ก็ไม่ถึงตาย ร่วงๆ ไปให้บาดเจ็บเสียดีกว่า แบบนี้จะได้ไม่ต้องมาฝึกที่หลังเขาสักสิบวันครึ่งเดือน ถึงยามนั้นอาจารย์ของพวกเขาก็น่าจะออกจากฌานแล้ว
ในเมื่อเป็นอาจารย์ก็ไม่น่าเป็นคนอันธพาลไร้เหตุผล เช่นนี้เขาคงสามารถลงจากเขาได้เสียที
“ปรับลมหายใจ ทำจิตให้ว่างเปล่า เจ้าวางใจได้ คนเยี่ยงท่านหนันซันจะไม่อนุญาตให้เจ้าพักเพราะได้รับบาดเจ็บแน่นอน” เสียงดังมาจากด้านหลัง นั่นคือผู้ที่สละเสาให้เว่ยฉีอวี้
เว่ยฉีอวี้กระโดดหมุนร่างหันไปหาคนผู้นั้น “ร่วงลงไปก็ต้องเจ็บจนขยับเขยื้อนไม่ได้มิใช่หรือ เหตุใดต้องฝึกทั้งบาดเจ็บด้วย แบบนี้มิใช่อันธพาลไร้เหตุผลหรอกหรือ”
คนผู้นั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “โลกนี้มีเรื่องง่ายดายขนาดนั้นที่ไหน โดยเฉพาะในยุทธภพ ใครเล่าจะยั้งมือไว้ไมตรียามต่อสู้เพราะเจ้าบาดเจ็บ พวกคนต่ำช้าชอบลอบโจมตีคนบาดเจ็บที่สุด ข้ามีนามว่าหยวนหลิง เจ้าล่ะ?”
“เว่ยเยวียน” เว่ยฉีอวี้ปรับลมหายใจตามคำแนะนำของหยวนหลิง รวบรวมลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน ในที่สุดจิตใจก็สงบลง ยืนบนเสาได้มั่นคงขึ้นทีละน้อย
[1] สำนวนจีน (前有狼后有虎) หมายถึง จะบุกไปก็ไม่กล้าจะถอยหลังก็กลัว
[2] ‘ยามอิ๋น’ คือเวลา 3.00 – 4.59 น.
[3] ‘ยามเหม่า’ คือเวลา 5.00 – 6.59 น.
[4] ‘หันเฟยจื่อ’ คือนักปรัชญาที่เชื่อว่าธรรมชาติของมนุษย์ชั่วร้าย ควรปกครองตามหลักนิติธรรมอย่างเข้มงวด
คอมเมนต์