บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 7

Reader Settings

Size :
A-16A+

บทที่ 7 หยวนหลิง

“นอกจากเว่ยเยวียน คนที่เหลือลงจากเสามาพักได้ อีกหนึ่งเค่อเริ่มฝึกอย่างเป็นทางการ”
ฝึกอย่างเป็นทางการ? นี่เป็นเพียงวิชาภาคเช้าอย่างนั้นหรือ เว่ยเยวียนเห็นผู้คนเบื้องหน้าทยอยกระโดดลงจากเสา พวกเขาเหยียบไม้ปลายแหลมอยู่เพียงพริบตาก็ไปถึงพื้นโล่งอย่างรวดเร็ว แต่บนปลายแหลมหลายแท่งก็ยังมีหยดเลือดจากฝ่าเท้าอยู่
แน่นอนว่ามีคนไม่น้อยที่ท่าร่างพลิ้วไหวมากพอ สามารถใช้วิชาตัวเบาจนไม่ต้องยืมแรงใต้ฝ่าเท้าได้ดุจเดียวกับท่านหนันซัน หยวนหลิงที่สนทนากับเว่ยฉีอวี้ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น หยดเหงื่อเม็ดโตเท่าเม็ดถั่วหยดเต็มหัวเว่ยฉีอวี้ เมื่อก่อนยามเขาคลุกคลีกับศิษย์พรรคกระยาจกที่ศาลเสื้อเมืองก็ยังรู้สึกว่าวรยุทธ์ของตนดีใช้ได้ บัดนี้กลับลำบากยากเย็นเหลือใจ ไม่รู้ว่าหากเหล่าขอทานพวกนั้นรู้เข้าจะล้อเลียนยกใหญ่หรือไม่
เขาฝืนไม่อยู่แล้วจริงๆ แต่เพิ่งผ่านไปสองชั่วยามเท่านั้น เขาสับสนมึนงง รู้สึกแค่ว่าร่างชาด้าน แต่นอกจากอาการชาด้านก็ถึงกับรู้สึกว่าชีพจรปลอดโปร่งขึ้นเล็กน้อย กระแสอุ่นสายหนึ่งรวมอยู่ที่จุดตันเถียน หรือนี่คือสิ่งที่เรียกกันว่ารวบรวมลมปราณไว้ที่จุดตันเถียนกัน?
หลังจากชีพจรในร่างมารวมกันที่ตันเถียนแล้วก็คล้ายจะไหลออกจากตันเถียนอีกครา ช่วยให้คลายความอ่อนเปลี้ยไปได้ไม่น้อย แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าตนคงฝืนทนได้ไม่พ้นชั่วยามถัดไปอยู่นั่นเอง
เขาร้องโวยวายว่า “ข้าทนไม่ไหวแล้ว ท่านหนันซัน เจ้าไว้ชีวิตข้าเถอะ คราวหน้าข้าจะไม่มาสายแล้ว”
หยวนหลิงก็ช่วยพูดเช่นกัน “ท่านหนันซัน เจ้าก็ปล่อยเว่ยเยวียนไปเถอะ เขาเพิ่งมาหนแรก ยืนได้นานพอดูแล้วละ”
“ใช่ๆๆ เมื่อก่อนข้าไม่เคยยืนเกินครึ่งชั่วยามมาก่อนเลย”
ท่านหนันซันเห็นดังนั้นก็กลายเป็นคนกล่อมง่ายเป็นครั้งแรก ถึงกับให้เขาลงจากเสาจริงๆ แต่จะลงท่าไหนนั้นก็เป็นเรื่องกินแรงอีกอย่าง ทำไมตอนอยู่กับอาจารย์เขาถึงไม่เคยเรียนวิชาตัวเบาแบบที่สามารถยืนได้โดยไม่ต้องยืมแรงมาก่อนนะ แล้วคราวนี้จะทำอย่างไรดี
ดีชั่วอย่างไรอาจารย์ก็เป็นระดับอาจารย์ปู่ในหวั่งเซิงเหมิน แต่กลับสอนเขามาแค่วิธีลอยบนน้ำ แม้จะมีพื้นฐานวิชาตัวเบาอยู่บ้าง แต่ก็เคยใช้สำเร็จแค่ไม่กี่หน
เว่ยฉีอวี้ไหลลงจากเสา เท้ายังไม่ทันแตะพื้นก็สัมผัสความเจ็บจากหนามได้แล้ว เขาแข็งใจเหยียบลงไป ความปรารถนาจะเอาชีวิตรอดทำให้เขาสำแดงฝีมือที่แท้จริงออกมาอย่างหาได้ยาก ถึงกับก้าวเพียงสามก้าวก็ออกมาได้ แม้ฝ่าเท้าจะไม่บาดเจ็บ แต่ทันทีที่พ้นจากพื้นหนามก็ล้มคว่ำหน้าทิ่มดิน
หยวนหลิงประคองเขาขึ้น “เจ้าก็นับว่ามีฝีมืออยู่บ้างเหมือนกันนะนี่”
เว่ยฉีอวี้ตบฝุ่นบนร่าง “เจ้าเยาะเย้ยข้าหรือ”
หยวนหลิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ใช่ที่ไหนเล่า”
“เจ้าเก็บข้าวของให้เรียบร้อย อีกเดี๋ยวพวกเราต้องไปกินอาหารเช้า พอกินเสร็จก็ต้องฝึกอย่างเป็นทางการแล้ว แบ่งหกคนเป็นหนึ่งกลุ่มใหญ่ สองคนเป็นหนึ่งกลุ่มเล็ก ทุกคนประลองสามยก ผู้ที่ชนะทั้งสามยกจะได้ไปค้างคืนที่ซั่งชิง ส่วนที่เหลือได้แต่ไปค้างที่ซย่าเหยี่ย”
เว่ยฉีอวี้ไม่เข้าใจ “ซั่งชิงกับซย่าเหยี่ยต่างกันตรงไหน”
“ซั่งชิงมีแค่พวกงูกับแมลง ส่วนซย่าเหยี่ยเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย งูและแมลงกัดคน แต่สัตว์ร้ายกินคน”
เว่ยฉีอวี้ไม่เอาด้วยแล้ว ฝีมือครึ่งๆ กลางๆ ของเขาจะไปชนะสามยกได้อย่างไร อย่าว่าแต่ไม่มีปัญญาชนะเลย ต่อให้ชนะก็เถอะ งูกับแมลงบนภูเขาน่ะร้ายนัก ไม่แน่แค่ทีเดียวก็สิ้นชีพแล้ว เขากลืนน้ำลาย “มีคนตายทุกวันหรือ?”
“แน่นอน ท่านหนันซันไม่เฝ้าช่วงกลางคืน ใครถูกสัตว์ร้ายกัดตายก็ตายไป เขาลูกนี้เต็มไปด้วยซากกระดูก แต่ละปีผู้ที่มาฝึกฝนที่หลังเขาสิ้นไผ่แห่งนี้มีเกือบพันคน โดยมากหลังจากหนึ่งปีผ่านไป ผู้ที่ได้เดินออกจากเขาสิ้นไผ่กลับเหลือแค่ร้อยกว่าคน เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เจ้าย่อมเข้าใจได้เอง”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ทำไมยังต้องถ่อมาที่เขาสิ้นไผ่กันอีกล่ะ ในสิบคนมีแค่คนเดียวเองนะที่รอดชีวิต”
หยวนหลิงเผยอปากเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้ากลัวหรือ? ถ้ามิใช่ผู้ที่ก้าวออกมาจากความตาย ไหนเลยจะเรียกได้ว่าเป็นนักรบเดนตาย? นักรบเดนตายส่วนมากถูกขุนน้ำขุนนางชุบเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่มีฐานะ ไม่รู้ชาติกำเนิด และหัดวิชายุทธ์ตั้งแต่เด็ก ที่เดินทางมายังเขาสิ้นไผ่ย่อมเป็นคำสั่งนาย สำหรับเหล่านักรบเดนตาย เรื่องนี้ใหญ่หลวงกว่าชะตาฟ้าเสียอีก”
เว่ยฉีอวี้นิ่งงันพูดไม่ออก ก็จริง ไม่อย่างนั้นจะเรียกนักรบเดนตายได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าเขาสิ้นไผ่ได้อย่างไร สิ้นไผ่เขียนไม่พอ[1] กระดูกขาวกองเกลื่อนกลาด
หยวนหลิงลอบกล่าวกับเว่ยฉีอวี้ว่า “เจ้ามาที่นี่เคยเจอแม่นางเชียนมี่บ้างหรือยัง” เขาพึมพำ “ถ้าไม่ใช่เพราะแม่นางมี่มี่ ข้าก็ไม่มาที่เขาสิ้นไผ่นี่หรอก”
เว่ยฉีอวี้ย่อมเคยพบมาก่อน เจอกันครั้งแรกนางก็ราดน้ำแกงใส่เขาทั้งชามแล้ว “เคยเจอ”
หยวนหลิงสนใจขึ้นมา “สวยสมคำร่ำลือไหม”
เว่ยฉีอวี้ไม่รู้จะบรรยายเชียนมี่ผู้นี้อย่างไรดี หากมองแค่รูปโฉม เขารู้สึกว่าท่านหนันซันยังจะเฉิดฉายกว่าสองสามส่วน ทว่าบุคลิกท่วงท่านั้น “เรือนร่างกับบุคลิกท่วงท่าเฉิดฉายกว่า”
หยวนหลิงก็เข้าใจ ยิ้มออกมา “เจ้านี่มันมีรสนิยม”
เว่ยฉีอวี้เห็นหยวนหลิงหยอกล้อกับตนก็กลับนึกประหลาดใจ นักรบเดนตายโดยทั่วไปล้วนเป็นเยี่ยงเดียวกับเหล่าคนที่อยู่รอบตัวเขา เงียบขรึมไม่พูดจาหรือยิ้มเล่นหัว ทั้งปีเห็นส่งเสียงอยู่ไม่กี่ประโยค ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายทุกขณะจิต ประสาทไวผิดปกติ ลมพัดหญ้าไหวยังสะดุ้งนึกว่ามีศัตรู หายากที่จะอารมณ์ดีปานนี้ ไม่กลัวสิ่งใดทั้งสิ้น แลดูช่างพูดช่างคุย
เว่ยฉีอวี้ “ข้าเห็นเจ้าไม่เหมือนนักรบเดนตายที่มาฝึกฝนที่นี่เลยสักครึ่งส่วน”
หยวนหลิง “ท่าทางข้าพิเศษขนาดนั้นเชียวหรือ ถึงได้มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่นักรบเดนตายของจริง?”
เว่ยฉีอวี้พยักหน้าอย่างจริงจัง หยวนหลิงกล่าวต่อไปว่า “ข้าเป็นชาวเมืองหลวง ชื่นชอบคนงาม แต่ไม่เคยพบแม่นางมี่มี่ผู้ขึ้นชื่อว่าเจ้าเสน่ห์เลย จึงมาที่เขาสิ้นไผ่เพื่อยลโฉมนาง”
ทั้งสองเข้ากันได้ดี เกรงว่าหยวนหลิงคงมองออกเช่นกันว่าเขาก็ไม่เหมือนผู้อื่น จึงถามว่า “แล้วเจ้าล่ะ”
เขาย่อมไม่ตอบว่าตนคือท่านอาจารย์อาเล็กของศิษย์สำนักหวั่งเซิงเหมินแห่งหมู่ตึกโยวกุย จึงซี้ซั้วแต่งเรื่องด้วยความลำบากใจว่า “ข้าเป็นชาวบ้านสามัญ เดิมเป็นชาวประมงอยู่ที่แม่น้ำ ต่อมาโดนคนจับส่งมาที่นี่ ข้าเองก็ไม่รู้ชัดว่าเพราะอะไรกันแน่”
หยวนหลิงดันเชื่อจริงๆ แค่ว่าเขาก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเช่นกัน
มีคนทั้งหมดสามร้อยห้าสิบสี่คน แบ่งเป็นห้าสิบเก้ากลุ่ม ทั้งสองย่อมไม่บังเอิญอยู่กลุ่มเดียวกัน แต่ก็นับว่าโชคดี หยวนหลิงอยู่กลุ่มข้างๆ เขานี่เอง เว่ยฉีอวี้ถ่วงเวลาไม่ยอมขึ้นประลอง คิดรอให้คนอื่นในกลุ่มหมดแรงพอสมควรแล้วตนค่อยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
เขามองหยวนหลิง ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ หยวนหลิงก็ถึงกับล้มผู้ที่ท้าประลองกับเขาได้ถึงสามคน ประลองสามยก ชนะสามหน เข้าสู่กลุ่มซั่งชิงได้โดยสะดวกดาย ส่วนเขาน่ะหรือ งำประกายไว้ตลอด ยื้อจนถึงเที่ยงตรง หลังจากเห็นว่าทุกคนต่างประลองไปอย่างน้อยสองยกแล้วถึงเริ่มขึ้นสังเวียน
หนึ่งเหยียบเท้า สองกอดเอว สามขัดขา สี่จั๊กจี้ ทุกกระบวนท่าล้วนไม่มีอะไรเหนือคาด ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ประลองสามยก แพ้สามหน เข้าสู่กลุ่มซย่าเหยี่ยเป็นที่เรียบร้อย
หยวนหลิงตบบ่าเขา “อย่าท้อแท้ไปเลย เดิมทีนี่ก็เป็นการทดสอบฝึกฝนให้เจ้ามีโอกาสสังเกตคู่ต่อสู้ สามคนที่สู้กับเจ้าเมื่อครู่ คนแรกไม่นับว่าสูงใหญ่ จัดว่ารูปร่างเตี้ยเล็ก จุดเด่นของเขาคือปราดเปรียว ใช้วิชาตัวเบาได้อย่างช่ำชอง ทุกครั้งล้วนโจมตีที่ตำแหน่งชีพจรของผู้อื่น กับคนเช่นนี้ไม่อาจไปรับตรงๆ ทุกกระบวนท่าได้ นิ่งสงบสยบหมื่นเคลื่อนไหวจึงจะเป็นทางแก้ที่ถูกต้อง”
[1] เป็นสำนวนหมายถึง มีความผิดมากมาย มาจากประกาศฉบับหนึ่งของหลี่มี่ผู้กล้าปลายสมัยสุยที่กล่าวว่า นำไผ่หมดภูเขาหนันซันมาทำหนังสือก็บันทึกความผิดของสุยหยางตี้ไม่หมด

คอมเมนต์

Chapter List