บันทึกแปดวาทยะ ตอนที่ 9
บทที่ 9 คุณชายหน้าหยกจูจื่อหัว
“ปลาไม่กี่ตัวล้ำค่าขนาดนี้เชียว ถึงกับแตะต้องไม่ได้เลยหรือ? จูเยี่ยเจ้ามันเสียสติไปแล้ว” หยวนหลิงวกกรงเล็บกลับมาคว้าหัวไหล่จูเยี่ยไว้ หมายจะเหวี่ยงเขาลงกับพื้น นึกไม่ถึงว่าจูเยี่ยจะคว้าข้อมือเขาแล้วควบคุมเขาด้วยกำลังแข็งกร้าว
หยวนหลิงเล่นทีเผลอด้วยการเตะกวาดไปสองรอบ ทว่าจูเยี่ยล้วนหลบทัน หยวนหลิงกับจูเยี่ยไม่มีใครยอมใคร ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน “พวกเจ้าเลิกตีกันได้แล้ว ขืนสู้กันอีกข้าจะเอาปลาไปย่างกินแล้วนะ”
เว่ยฉีอวี้พูดไม่ทันขาดคำก็โดนจูเยี่ยหยิบกระบองขึ้นฟาดข้อเท้าจนร่วงลงไปนอนกองกับพื้น “พี่น้องข้าเจ้าก็ตีหรือ? จูจื่อหัว เจ้าจะบีบให้ข้าต้องเอาจริงให้ได้ใช่ไหม?”
ทั้งที่บริเวณนั้นไม่มีลมแท้ๆ แต่เว่ยฉีอวี้กลับรู้สึกได้ว่ามีลมพัดต้องใบหน้า เขาเคยได้ยินอาจารย์เล่าว่าความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างยอดฝีมือกับคนธรรมดาก็คือกำลังภายใน กำลังภายในสามารถทำให้กระบวนท่าธรรมดามีอานุภาพเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่า ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นแค่ลมฝ่ามือจากกระบวนท่าก็สามารถทำให้ลำต้นของไม้ใหญ่ขาดได้แล้ว ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าสองคนนี้ล้วนมิใช่สามัญ
ก่อนเว่ยฉีอวี้จะมาที่หลังเขา จูจูจื่อเคยกล่าวว่าหลังเขาแห่งนี้ปลาและมังกรผสมปนเป ความลับมากเหลือ ให้เขาระวังตัวให้มาก ดูท่าต้องทำตัวสงบเสงี่ยมหน่อยแล้ว จะได้ไม่เผยสายสนกลในออกไป
ทั้งสองฝีมือสูสี สู้กันต่อเนื่องถึงครึ่งชั่วยามโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ส่วนเว่ยฉีอวี้แค่ดูก็เหนื่อยแล้ว เขาลงไปแทงปลาในลำธาร บริเวณนี้มีปลามากมาย นับดูคร่าวๆ ก็แปดตัวเข้าไปแล้ว พอให้เขากับหยวนหลิงอิ่มไปหนึ่งมื้อ “หยวนหลิงเลิกสู้ได้แล้ว รีบมาย่างปลากินกันเถอะ ท่านหนันซันใกล้เรียกรวมตัวแล้วนะ”
สีรัตติกาลเข้มขึ้นทีละน้อย ทั้งสองหยุดมือในที่สุด ต่างคนต่างได้แผล เว่ยฉีอวี้มองแล้วเอ่ยว่า “เดี๋ยวข้าจะไปที่ต้นไป๋อู้นั่น กรีดยางมาให้เจ้าทาแผล”
“ยางต้นไป๋อู้ใช้ห้ามเลือด ไม่ช่วยบรรเทาอาการช้ำ”
หยวนหลิงล้วงกล่องใบน้อยรูปทรงประณีตออกจากถุงผ้า เปิดออกก็พบว่าเป็นกระบอกจุดไฟ หยวนหลิงก่อกองไฟย่างปลาที่คนละฝั่งลำธารกับจูเยี่ย
เขามองจูเยี่ยผู้อยู่ฝั่งตรงข้ามใช้กำลังภายในเร่งไฟ ย่างปลาพร้อมกันทีเดียวเจ็ดแปดตัว ตนจึงใช้กำลังภายในเร่งไฟบ้าง เปลวไฟโหมแรงจนปลาแทบไหม้ “นี่ หยวนหลิง ย่างเสียข้างนอกไหม้เกรียม ข้างในไม่สุกแบบนี้ จะกินอย่างไรเล่า ลดไฟลงหน่อย ค่อยๆ ย่าง เอาให้ข้างนอกกรอบ ข้างในนุ่มถึงจะอร่อย นี่ ได้ยินไหม” เปลวไฟโหมโชติช่วงขึ้นทุกที เว่ยฉีอวี้ตะโกนว่า “ไหม้หมดแล้ว ไหม้แล้ว”
หยวนหลิงได้กลิ่นไหม้จึงหยุดมือ ยามนี้ปลาในมือเขา อย่าว่าแต่ปลาเลย กระทั่งไม้ที่ใช้เสียบปลาก็ยังมอดไหม้หมดสิ้น “ใช้ไฟอ่อนสิ ไฟอ่อน”
ในที่สุดทั้งสองก็อิ่มไปหนึ่งมื้อ เห็นจูเยี่ยยังย่างปลาไม่เสร็จ ยังไม่ได้กินเสียที เว่ยฉีอวี้ก็โยนปลาให้หนึ่งตัว “ปลาที่ย่างด้วยไฟแรงของเจ้าน่าจะสุกหมดแล้ว เจ้าลองชิมปลาที่ค่อยๆ ย่างด้วยไฟอ่อนดูสิ กรอบนอกนุ่มใน รสดีเป็นที่หนึ่งเชียวนะ”
“อาหาร เพียงดับหิวได้ก็พอ”
หยวนหลิงเอ่ยว่า “อย่าไปสนเจ้าคนคร่ำครึนั่นเลย เราไปกันดีกว่า ปล่อยเขาไปสายแล้วโดนท่านหนันซันลงโทษไปคนเดียวเถอะ”
เมื่อทั้งสองกลับมายังจุดรวมตัว เว่ยฉีอวี้ก็เห็นว่าจูเยี่ยยืนอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว ยังคงท่าทางสุภาพเรียบร้อยดุจวิญญูชนเช่นเดิม เขายืนอยู่ในมุมหนึ่ง แลดูผุดผ่องไร้มลทินประหนึ่งละแล้วซึ่งโลกียโลกก็ไม่ปาน
เขาเห็นเว่ยฉีอวี้กำลังประเมินมองเขาอยู่ก็กวาดตามองเว่ยฉีอวี้เรียบๆ หนึ่งรอบ
เมื่อเว่ยฉีอวี้บอกลาหยวนหลิงอย่างไม่ได้คิดอะไรเพื่อไปรวมกับกลุ่มซย่าเหยี่ย ม่านรัตติกาลก็โรยตัวลงแล้ว พอเขาได้ยินเสียงหมาป่าหอน เขาก็ถึงกับกลืนน้ำลายเอื๊อก ก่อนจะรีบสาวเท้าไปยังต้นไป๋อู้ต้นนั้น
ในที่สุดก็เห็นต้นไป๋อู้แล้ว เขาใช้แขนขาปีนป่ายขึ้นบนต้นไม้อย่างยากเย็น เว่ยฉีอวี้ขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้ จากนั้นใช้เชือกเส้นหนึ่งมัดเอวของตนไว้กับลำต้น “อย่างน้อยคืนนี้ข้าคงไม่ถึงกับขั้นร่วงลงไปกระมัง”
เขาทดสอบความแข็งแรงของเชือกแล้วก็กอดต้นไม้ไว้เตรียมเข้านอน ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นหอมๆ ของเนื้อลอยมาจากเหนือหัว เมื่อแหงนมองก็พบว่าเป็นเด็กชายร่างเล็กที่เจอช่วงบ่าย มือเขาถือเนื้อที่หั่นเมื่อบ่ายซึ่งย่างสุกแล้ว
แม้เว่ยฉีอวี้จะกินปลาไปสี่ตัว แต่ปลาเหล่านั้นไม่พอแก้หิวจริงๆ ท้องของเขายังร้องโครกครากอยู่เลย เขาพยายามมองไปรอบๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ต้นไป๋อู้นี้สูงกว่าต้นไม้ทั่วไปพอสมควร จึงมองความเคลื่อนไหวในป่าแห่งนี้ได้ไม่น้อย
เขากวาดตาไปก็เห็นจูเยี่ยผู้เดิมทีควรอยู่ซั่งชิง จูเยี่ยถือปลาที่สุกแล้วจำนวนหนึ่ง กับปลาที่ยังดิบอยู่จำนวนหนึ่ง ส่วนที่สุกแล้วนั้นยื่นให้ผู้เข้าฝึกในซย่าเหยี่ยที่ล่าอาหารไม่สำเร็จ ส่วนปลาดิบก็โยนให้สัตว์ร้ายที่กำลังจ้องหาโอกาสจู่โจมผู้เข้าฝึก
เด็กชายผู้นั้นโยนเนื้อชิ้นหนึ่งลงมาจากด้านบนโดยไม่ได้เอ่ยอะไรเลย แค่กินส่วนของตนเองต่อ เว่ยฉีอวี้รับเนื้อชิ้นใหญ่เท่าฝ่ามือไว้ ในใจรู้สึกซาบซึ้งอย่างเหลือแสน “ขอบใจ”
ยามที่เขาตื่นขึ้นมาด้วยความง่วงงุน ดวงจันทร์ยังลอยเด่นกลางฟ้า ทว่าเด็กชายผู้นั้นหายไปไม่เหลือเงาแล้ว
เขามองดวงจันทร์ ประมาณเอาว่าน่าจะยามสี่[1]แล้ว เขารีบแก้เชือกบนร่างแล้วไหลลงจากต้นไม้ เมื่อวานเพิ่งรับประกันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ไปสาย วันนี้กลับพลาดเวลาอีกแล้ว ไม่รู้จะถูกท่านหนันซันลงโทษอย่างไร
เขาเคลื่อนกายเข้าสู่ลานฝึกอย่างเงียบเชียบ เห็นคนสามคนคุกเข่าอยู่บนพื้น ได้แก่ จูเยี่ย หยวนหลิงและเด็กชายผู้นั้น โดยหยวนหลิงกับจูเยี่ยเสื้อผ้าสกปรกยับยุ่งเหลือทน เต็มไปด้วยดินโคลนและคราบเลือด ซ้ำยังมีรอยอาวุธหลายแห่ง
ข้างคนทั้งสามคือซากศพสิบศพ ใช้ผ้าขาวห่อไว้แล้ว ดูจากชายเสื้อที่แลบออกมา หากคาดไม่ผิดน่าจะเป็นนักรบเดนตายที่เข้าฝึกในลานฝึกแห่งนี้
ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าทั้งสามคือท่านหนันซันและแม่นางเชียนมี่ โดยมีหนันซื่อพาดตัวอยู่บนต้นไม้ด้านหลังท่านหนันซัน ศิษย์สามคนของหวั่งเซิงเหมินออกโรงพร้อมหน้า รูปการณ์เช่นนี้เกรงว่าคงเกิดเรื่องใหญ่
หนันซื่อเหลือบเห็นเว่ยฉีอวี้ที่หลบอยู่หลังต้นไม้ “ออกมา ไม่ต้องหลบหรอก คราวนี้พวกเจ้าสี่คนก็มากันครบแล้ว”
พวกเราสี่คน? นอกจากหยวนหลิง คนอื่นที่เหลือเว่ยฉีอวี้ก็แค่เคยเห็นผ่านๆ เท่านั้น เหตุใดจึงกล่าวว่า ‘พวกเจ้าสี่คน’ ได้เล่า?
เขาถูกคนสามสี่คนที่โผล่มาจากที่ใดไม่รู้กดหัวไหล่ไว้ เครื่องแต่งกายเป็นแบบเดียวกับจูจูจื่อ ดูท่าคงเป็นเด็กรับใช้ของหวั่งเซิงเหมิน ขณะที่เด็กรับใช้ทั้งกลุ่มกดร่างเว่ยฉีอวี้ไว้ เขาก็รู้สึกตลอดร่างชาด้านหมดสิ้นเรี่ยวแรง ประหนึ่งหุ่นไม้ที่ปล่อยผู้อื่นจัดการตามใจ
สามสี่คนนั้นมิได้กดให้เขาคุกเข่าลง ไม่รู้เป็นเพราะเขาคืออาจารย์อาเล็กแห่งสำนักหวั่งเซิงเหมินหรือไม่ แม่นางเชียนมี่เห็นทั้งสี่มากันครบแล้วก็กล่าวว่า “วันนี้เด็กรับใช้ที่ไปลาดตระเวนรายงานข้าว่า กลิ่นคาวเลือดในป่าฉุนยิ่งนัก เกรงจะมีคนไม่น้อยสิ้นชีพในป่า พอตรวจดูก็เจอศพถึงสิบศพดังคาด เป็นนักรบเดนตายที่แรมคืนในซย่าเหยี่ยทั้งสิ้น เวลาตายคือช่วงบ่ายถึงดึกของเมื่อวาน”
“และช่วงบ่ายเมื่อวาน พวกเจ้าสี่คนหายตัวไป ส่วนกลางดึก เหตุใดหยวนหลิงกับจูเยี่ยซึ่งเดิมควรอยู่ที่ซั่งชิงถึงไปอยู่ที่ซย่าเหยี่ยได้ หนำซ้ำยังสภาพย่ำแย่ ราวกับผ่านการฆ่าฟันอาบเลือดมาไม่มีผิด”
ท่านหนันซันกวาดมองคนทั้งสี่ จนท้ายสุดมาหยุดอยู่ที่ร่างหยวนหลิงและจูเยี่ย “บาดแผลที่ทำให้ถึงชีวิตบนร่างคนเหล่านี้ มีไม่น้อยเกิดจากฝีมือของพวกเจ้า”
[1] ยามสี่คือ 1.00-2.59 น.
คอมเมนต์