ปรุงรักเติมใจ คุณชายไฮโซ ตอนที่ 1-1
ตอนที่ 1-1 การพบเจอ (1)
สายฝนเย็นฉ่ำตกกระหน่ำลงมาไม่หยุด คล้ายส่งท้ายปลายฤดูร้อน ชายหนุ่มคนหนึ่งกำด้ามร่มด้วยสองมือสั่นไหว นัยน์ตาสั่นระริกเพราะทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญท่ามกลางสายฝน
เขาไม่เข้าใจภาพตรงหน้าเลย สายตาจับจ้องภาพคนนอนสลบด้วยสภาพใบหน้ายับเยินอยู่ตรงถังขยะหน้าบ้านผ่านปีกหมวกของตัวเอง จดจ้องด้วยความไม่เข้าใจกับสถานการณ์ตอนนี้ ได้แต่ยืนทำตัวไม่ถูกเพราะความตกใจ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งถึงรู้ว่าคนที่สลบเหมือดแน่นิ่งเหมือนศพอยู่ตรงนั้นเป็นคนจริงๆ
เอาเข้าจริงแล้ว ถึงมันจะเป็นโชคชะตาแสนแปลกประหลาด แต่สำหรับเขา มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่นัก เมื่อตอนเจ็ดโมงเช้า แสงแดดยามเช้าเริ่มสาดส่อง เขาก็ลืมตาตื่นขึ้นเหมือนทุกๆ วันภายในห้องเช่าอันเงียบสงัด ไม่ได้บิดขี้เกียจเพราะกลัวกล้ามเนื้อจะตื่นตัวมากเกินไป
จากนั้นก็ขุดตัวเองขึ้นจากความเมื่อยล้า สาเหตุเรื้อรังมาจากการทำงานพิเศษเมื่อวันก่อน กว่าจะลุกขึ้นไปห้องน้ำขนาดพอดีกับหนึ่งคนใช้เพื่อเตรียมไปมหาวิทยาลัย เวลาก็ผ่านไปถึงช่วงเจ็ดโมงครึ่งแล้ว มองเห็นทิวทัศน์ภายนอกผ่านหน้าต่างบานเล็กเท่าฝ่ามือว่าสายฝนกำลังตกปรอยๆ
วันนี้ฝนตก อากาศคงเริ่มหนาวขึ้น แล้วก็ถึงเวลาต้องมานั่งเครียดเรื่องค่าฮีตเตอร์อีกแล้ว เขาครุ่นคิดถึงเรื่องเครียดๆ ที่ยังมาไม่ถึง ก่อนจะกลืนน้ำตาแล้วเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ชายหนุ่มสวมหมวกแก็ปทรงทหารสีเขียวเข้มและก้าวออกมาจากห้องพัก เขาคือลีดูอี นักศึกษาปีสาม คณะบริหาร มหาวิทยาลัยเอ แม้อายุจะเข้าช่วงวัยยี่สิบแปดแล้ว แต่ก็ยังเรียนไม่จบ จากการหยุดพักการเรียนและเข้ารับราชการทหาร หลังจากเลื่อนปลดประจำการซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดดูอีก็เตรียมตัวกลับมาเรียนอีกครั้งในเดือนมีนาคมของปีนี้
เมื่อเดือนมกราที่ผ่านมา เขาเพิ่งปลดประจำการจากกรมทหาร ซึ่งไม่ต่างจากขุมนรกสำหรับคนมีนิสัยขี้ขลาด ดังนั้น เหล่าเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ไม่สนิทเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีใครคบหา ต่างก็ทำงานหรือไม่ก็เรียนจบกันหมดแล้วจนไม่ได้เจอกันอีก หลังจากลงทะเบียนเรียนสลับกับพักการเรียน เนื่องจากปัญหาค่าเล่าเรียน ก็กลายเป็นว่าดูอีไม่รู้จักใครในมหาวิทยาลัยเลยสักคน
เขาไม่คุ้นเคยกับการเข้าสังคม คบค้าสมาคมกับเพื่อน แต่ก็ไม่เคยเสียดายหรือผิดหวังอะไรกับเรื่องนี้ แน่นอนว่าการมีเพื่อนเป็นเรื่องดี เนื่องจากดูอีเคยชินกับการอยู่คนเดียวแล้ว เขาดีใจกับการได้เรียนต่อสองเทอมติดกันในปีนี้มากกว่าการมีเพื่อนใหม่ๆ ด้วยซ้ำ เขาก็เป็นคนประเภทนี้
แม้การไม่เข้ากับสังคมส่วนใหญ่จะทำให้ดูแปลกแยก แต่ดูอีก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองไล่ตามหลังคนอื่น เขาคิดอยู่เสมอว่าถ้าหากไม่ติดเรื่องพักการเรียน ก็คงได้เรียนจบแบบสบายๆ ไม่ต่างจากคนอื่นแล้ว ทว่าเรื่องพักการเรียน มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ดูอีดื้อดึงจะเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย แม้จะถูกคัดค้านจากผู้เป็นพ่อแม่ สุดท้ายเขาก็ไม่ยอมแพ้และตั้งใจจนได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดัง คณะที่ตัวเองต้องการ และย่อมรู้ดีถึงเรื่องค่าเทอมอันสูงลิบลิ่วของสถานศึกษาแห่งนี้อยู่แล้ว
แน่นอนว่าพ่อแม่ไม่สนับสนุนการเรียนต่อของเขาจึงไม่ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายเลย ส่งผลให้คนอยากเรียนต่อต้องเก็บทั้งเงินค่าเรียนและค่าใช้จ่ายส่วนตัวทั้งหมดเองอย่างช่วยไม่ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาพักการเรียนบ่อยครั้ง ไม่ต่างจากการกินอาหารสามมื้อ
ยิ่งกว่านั้น คือดูอีต้องทำงานพิเศษจนถึงดึกดื่น แม้จะเป็นช่วงเปิดเทอมก็ตาม ทำงานหนักจนผลการเรียนย่ำแย่ลงและได้รับคำเตือนจากมหาวิทยาลัย สิ่งที่น่าตลกก็คือถึงจะระมัดระวังแค่ไหน พ่อแม่เขากลับรู้เรื่องนี้เข้าจนได้ มันจึงมีสายจากครอบครัวโทรเข้ามาหาบ้าง เขาต้องอดทนอดกลั้นไม่น้อยกับคำสั่งว่าให้ลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วเริ่มทำงานเก็บเงินเสียที
พ่อแม่ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ว่าผลการเรียนจะออกมาดีหรือแย่ เพราะมักจะได้รับโทรศัพท์จากพวกเขาก็ต่อเมื่อเกรดออกมาค่อนข้างน่าพอใจ ตามด้วยการบอกว่าอยากให้เขาส่งเงินมาช่วยทางบ้านบ้าง
มันคือเหตุผลที่เงินเก็บสำหรับค่าเรียนเทอมต่อไป ไม่ค่อยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเท่าไหร่นัก
เงินเขาไม่เคยพอมใช้ ดูอียังอยากเรียนต่อ แต่ถ้าเลิกทำงานพิเศษก็จะเรียนต่อไม่ได้ เงินกู้ยืมสำหรับค่าเล่าเรียนเริ่มสะสมเพิ่มพูดขึ้น จนพาลให้มานั่งคิดมากระหว่างสัปหงกด้วยความเหนื่อยล้าภายในคลาสเรียนช่วงเช้า บางทีการลาออกตามคำพูดของพ่อแม่ อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็ได้
แต่เรื่องนั้นมันก็หยุดอยู่แค่ในความคิด เพราะเขาต้องการเรียนต่อ อย่างน้อยก็อยากแสดงให้พ่อแม่ได้เห็นว่าสิ่งที่เขาเลือกมันเป็นทางที่ถูกต้อง
หลังจากคลาสเรียนช่วงเช้าสิ้นสุดลง ชายหนุ่มสวมหมวกแก็ปทรงเหลี่ยมที่ซื้อมาจากย่านมหาวิทยาลัยตั้งแต่สมัยปีหนึ่ง ก็เลือกอาหารจากร้านสะดวกซื้อมาประทังชีวิตอย่างเช่นทุกครั้ง ตั้งใจว่าวิชาตอนบ่ายจะนั่งมุมห้องอับสายตาผู้คน แล้วหลับตางีบพักผ่อนให้คลายความเหนื่อยล้า
สาเหตุของการพักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะงานพิเศษที่ต้องเลิกช่วงตีสามของทุกวัน แล้วก็เหมือนทุกๆ ครั้ง ดูอีสะดุ้งตื่นเพราะเสียงจอแจหลังจากอาจารย์เข้ามาในชั้นเรียน
ถึงจะพักผ่อนไม่พอเพราะได้นอนแค่สี่ชั่วโมงต่อวัน แต่เขาก็จะใช้ช่วงว่างๆ ในการทำรายงานแทน ทั้งเวลาไม่มีเรียน หรือจะเป็นช่วงก่อนเข้านอนหลังจากทำงานเสร็จ อย่างน้อยขอให้ได้คะแนนจากการส่งงาน ก็ถือเป็นอันใช้ได้
ทว่ามันก็น่าเจ็บปวดกับความเป็นจริง เนื่องจากบางครั้งรายงานก็ไม่ได้มีคะแนนจากการส่งงานเพียงอย่างเดียว เหมือนเช่นวันนี้ เขามีพรีเซนต์รายงานหน้าชั้น
ถึงสมัยนี้จะทำงานกลุ่มผ่านกรุ๊ปแชทมากกว่าการนัดรวมตัว แต่การใช้โทรศัพท์มือถือแบบทูดี ซึ่งซื้อตั้งแต่แปดปีก่อน ก่อนจะเข้าเรียนปีหนึ่ง ทำให้ดูอีไม่มีแม้แต่แอปพลิเคชันแชท และต้องทำรายงานผ่านคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยเสมอ เนื่องจากไม่มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัว
อาจเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า ทั้งอายุเยอะกว่า แถมยังไม่มีปากมีเสียงในห้องแชท ถึงจะดูฝืนใจแต่อย่างน้อยดูอีก็ดูตั้งใจทำงานที่สุดในกลุ่ม เขาจึงกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มอย่างค่อนข้างอับจนหนทาง
ช่วงแรกเขาพยายามทำลายเส้นกั้นระหว่างพวกรุ่นน้อง ทั้งส่งข้อความหาและพยายามทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมกับงานนี้ ทว่าสุดท้ายก็ต้องรับผิดชอบงานทั้งหมดคนเดียวอยู่ดี
แต่การพรีเซนต์คือเรื่องหนักหนากว่า ดูอีประหม่ากับการต้องมาพูดต่อหน้าผู้คน เขาพยายามขอให้คนอื่นช่วยทำแทนแล้ว แต่สมาชิกในทีมก็ไม่มีใครเตรียมบทสำหรับการรายงานเลย ดังนั้น ก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องรับหน้าที่นี้เอง
ชายหนุ่มปลอบใจตัวเองระหว่างก้าวช้าๆ ไปหน้าห้อง มันก็เป็นแค่ช่วงเวลาน่าอับอายเท่านั้น ก่อนจะเปิดปากพูดต่อหน้าเพื่อนหลายสิบคนที่นั่งอยู่ในห้องเรียน
“สะ สวัสดี ดีครับ… ระ รหัส… xx ลีดู ลีดูอีครับ…”
หน้าเขาขึ้นสีจัด ระหว่างการพูดตะกุกตะกักอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเวลาต้องพูดต่อหน้าผู้คน อาจารย์นั่งให้คะแนนอยู่ด้านหน้าจึงติขึ้นมาด้วยท่าทางไม่พอใจว่า ‘พูดเสียงเบาอย่างกับพวกลูกหนู’ ดูอีเริ่มรู้สึกตาพร่าและจับปีกหมวกกดลงยิ่งกว่าเดิม
การพรีเซนต์พังเสียยิ่งกว่าพัง การตำหนิขั้นรุนแรงจากอาจารย์ประจำวิชาเป็นหลักฐานได้อย่างดี เขาเห็นเพื่อนในกลุ่มยืนแข็งทื่ออยู่ข้างๆ ส่วนเขาทำได้เพียงปิดปากเงียบแล้วกลับเข้าไปนั่งที่เดิม ไม่สนใจว่าเพื่อนคนอื่นจะเป็นอย่างไร เขาก็แค่พรีเซนต์ต่อไม่ได้แล้ว
หลังจากนรกอย่างการพรีเซนต์จบลง ก็ต่อด้วยการประกาศขอบเขตการอ่านหนังสือสำหรับสอบกลางภาค และนั่นทำให้นึกขึ้นได้ว่าใกล้จะสอบมิดเทอมแล้ว ดูอีรีบจดเนื้อหาบนกระดาน ก่อนจะออกจากห้องไม่ต่างจากวิ่งหนีผู้คน
ได้ยินเสียงนินทาจากด้านหลังดังตามมาคล้ายต้องการให้เจ้าตัวได้ยิน ทั้งคำว่ารูปร่างหน้าตาไม่ได้เรื่อง แถมยังพรีเซนต์ห่วยแตกไม่ต่างกันอีก ดูอีเดินต่อไปเรื่อยๆ และทำเป็นไม่ได้ยิน เสียงติเตียนแค่นี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ยังมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยหลังคลาสช่วงเย็นจบลง เขาจึงเลือกเข้าห้องสมุดไปอ่านหนังสือเงียบๆ และพอถึงเวลาทำงานพิเศษก็เดินออกมาจากห้องสมุด แวะซื้ออเมริกาโน่แบบเทคเอ้าท์จากร้านเล็กๆ ในซอยระหว่างทางไปที่ทำงาน ตอนนี้ฟ้ามืดครึ้มลง ฝนดูเหมือนตั้งเค้าว่าตกหนักยิ่งกว่าตอนเช้า
งานพิเศษของดูอีคือร้านเหล้ากึ่งร้านอาหารหน้ามหาวิทยาลัย หน้าที่หลักของเขาคือการช่วยงานง่ายๆ ในครัวและทำความสะอาด นิสัยพูดติดขัดต่อหน้าผู้คนทำให้เขาไม่เหมาะกับการเสิร์ฟอาหาร ก็เลยเลือกงานที่เผชิญหน้ากับผู้คนให้น้อยที่สุดเท่านั้น
แต่เพราะเป็นงานใช้แรงงานมากกว่าเป็นงานบริการ รวมถึงต้องคอยกังวลหลบหลีกสายตาของผู้จัดการร้าน ส่งผลให้เขาเหนื่อยและออ่อนเพลียกว่าเดิมหลังเลิกงาน
กว่าจะช่วยเก็บร้านจนเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปช่วงตีสามแล้ว ดูอีหลบเลี่ยงสายฝนที่ตกลงมาเป็นสาย เดินมุ่งหน้าแบกไหล่หนักอึ้งของตัวเองกลับห้องพักเหมือนทุกวัน และเขาคิดเหมือนทุกๆ ครั้งว่าเดี๋ยวต้องรีบอาบน้ำ เพราะอาบน้ำเสร็จ ทิ้งตัวลงนอนคงจะตีสี่ แต่เขาตื่นสายได้เพราะพรุ่งนี้ไม่มีทั้งรายงานและไม่มีเรียน
ดูอีแอบยิ้มในดวงตาเมื่อคิดแบบนั้น ใบหน้าของเขาถูกปีกหมวกบังไว้กว่าครึ่ง จนทำให้มองเห็นไม่ชัดเท่าไหร่นัก แต่ดวงตาเรียวก็โค้งตวัดลงด้านล่างเล็กน้อย
และเรื่องราวคาดไม่ถึงก็เริ่มต้นตั้งแต่ตรงนี้…
คอมเมนต์