ปรุงรักเติมใจ คุณชายไฮโซ ตอนที่ 4-3
ตอนที่ 4-3 ทำไมทำกับฉันแบบนี้ (1)
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่ครับ อย่าบอกนะครับว่าที่หายไปหกวัน คือไปเที่ยวเล่นในคลับจนหนำใจ”
“นายเห็นฉันเป็นสัตว์ประเภทไหนเนี่ย”
เดี๋ยวครับ คือปกติความประพฤติคุณ… ก็ขนาดนั้นล่ะครับ นั่นคือสิ่งที่คนตำแหน่งน้อยกว่าคิดจะพูด แต่พอเห็นว่ายอนกำป้ายตำแหน่งเอาไว้ในมือ ก็ต้องปิดปากฉับทันที
“ไอ้เวรฮากยองมันเรียกพวกนักเลงมา ฉันเห็นแม่งอวดดีก็เลยอยากสั่งสอนให้รู้เรื่อง แต่ถูกซ้อมกลับมา หลังจากนั้นเลยไปอยู่ที่อื่นมาสักพักนึง”
“โห เขาดูแลท่านรองฯ หกวันเลยเหรอครับ พระพุทธเจ้ามาเกิดแท้ๆ เอ่อ แต่ว่าพวกนั้นโหดร้ายจังเลยนะครับ”
“มีพ่อให้ท้ายก็เลยสนุกใหญ่มั้ง แต่เอาเถอะ เรื่องสำคัญมันไม่ใช่ตรงนั้นหรอก”
ถึงขนาดทำให้เรื่องพี่ชายเรียกนักเลงมาทำร้ายน้องตัวเองไม่สำคัญ มันต้องยิ่งใหญ่ขนาดไหนกันล่ะ เรื่องนี้น่ะ… หัวหน้าคิมเหงื่อซึมระหว่างลุ้นรอฟังเรื่องสำคัญที่อีกฝ่ายว่า มันต้องเป็นเรื่องยิ่งใหญ่แน่นอน เขามั่นใจ ผู้ชายคนนี้คือฮายอนผู้ยิ่งใหญ่ เย่อหยิ่ง ไร้มารยาท ไม่เอาใครหน้าไหน แถมยังความชอบเหยียดคนอื่นอีก ทั้งหมดนั้นคือคำจำกัดความที่เหมาะกับมนุษย์คนนี้ที่สุดแล้ว
“นึกถึงข้าวฝีมือของไอ้เด็กที่ฉันไปอยู่ด้วย”
“…ครับ?”
คนอายุมากกว่าเอียงคอแล้วทำตาโตเป็นกระต่ายตื่นตูมกับประโยคบอกเล่าที่คาดไม่ถึง หรือเขาจะฟังผิด… ถึงกับต้องใช้นิ้วก้อยเขี่ยด้านในหู
“อะไรนะครับ”
“อยากโดนซัดเหรอ”
“ไม่ครับ”
หัวหน้าคิมสะอึกแล้วร่นตัวถอยหลัง พยายามตั้งสติอีกรอบ
“กินอะไรก็โคตรไม่อร่อย แต่ถ้าเป็นหมอนั่นทำให้ คงกินได้”
“งะ…งั้นก็ไปหา แล้วขอให้ทำ…”
“ไอ้นี่นิ คนเราก็ต้องไว้ท่าบ้างดิวะ”
มั่นหน้าเก่งจัด! กินอะไรไม่ได้มาตั้งกี่วันแล้วล่ะ! แต่หัวหน้าคิมไม่อยากสร้างความหงุดหงิดให้เจ้านาย จึงได้แต่กดเก็บคำพูดต่อว่าแบบนั้นเอาไว้ในใจแล้วบ่นอยู่คนเดียว
“ลองบอกว่าอยากตอบแทนเรื่องเคยช่วยชีวิตสิครับ เขาช่วยเหลือคนไม่เคยรู้จักมาก่อน แถมยังรับนิสัยอย่างท่านรองฯ ได้ ก็น่าจะเป็นคนดีมากเลยนะครับ”
“เหมือนพวกเบ๊ชาวบ้านอะ มาทำดีด้วยจนฉันคิดว่าภรรยานายเป็นคนส่งมาเลยครับ คุณหัวหน้าคิม”
“โธ่ เป็นไปไม่ได้หรอกครับ~ ครั้งก่อนตอนท่านรองฯ หายตัวไปก็แบบนี้เหมือนกัน ท่านรองฯ เก่งเรื่องพวกนี้อยู่แล้วนี่ครับ เรื่องจีบคนอื่นแล้วค่อยๆ ทำตัวให้สนิทขึ้น จากนั้นก็ค่อยบอกให้ทำอาหารทาน วินวินทั้งคู่…”
– คุณคือคนในฝันของผม คนในแบบที่ผมชอบ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใช่ ความรู้สึกมันบอกว่าตรงใจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คุณคือคนในฝันของผม ผมอยากครอบครองคุณเอาไว้ ผมคิดถึงคุณตลอดเวลาจนก่อนเข้านอน
สายเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของหัวหน้าคิมดังขึ้นอีกครั้ง นั่นคือเสียงเรียกเข้าที่ยอนประเมินไว้ให้อยู่ในระดับเพี้ยนจัด แถมช่วงนี้ยิ่งรู้สึกอินตามเนื้อหาไปด้วยอีกต่างหาก ความโกรธจึงยิ่งพุ่งขึ้นหนักกว่าเดิม
“โคตรสเปกในฝันเหรอ”
ฉันท่าจะบ้าไปแล้ว ยอนขยำศีรษะแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงาน หัวหน้าคิมแอบมองอาการคนเป็นเจ้านาย ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกเพื่อรับโทรศัพท์สายจากภรรยาตัวเอง
และวันที่เฝ้ารอก็มาถึง เพราะสุดท้ายยอนก็อดทนต่อความอยากอาหารของตัวเองไม่ได้ เขาขับรถมาหยุดหน้ามหาวิทยาลัยเอ ซึ่งเป็นสถาบันเก่าของตัวเองเช่นกัน เขาจำเบอร์โทรศัพท์ที่เขียนไว้ในกระดาษโน้ตรอบก่อนได้ ยอนบันทึกว่าไอ้เด็กเบ๊ก่อนจะส่งข้อความไปแบบไม่คิด แต่ก็ไร้ข้อความตอบกลับ เขาเลยส่งไปอีกรอบว่าอ่านไม่ตอบงั้นเหรอ ถึงได้รับคำตอบกลับมา
‘ใครครับ’
ยอนเคืองจัด รู้สึกเดือดพล่านจนเส้นเลือดโผล่ตึงบนหน้าผาก เขาต้องตกอยู่ในสภาพนี้เพราะอีกฝ่าย แต่กลับโดนถามว่า ‘ใครครับ’ งั้นเหรอ หลังจากหัวร้อนเพราะถูกเมินสนิท เขาจึงกดต่อสายหาทันที ตั้งใจจะระบายความหงุดหงิด แต่ไอ้เด็กนั่นก็ไม่ยอมรับสายอีก ก่อนหน้านี้ยังส่งข้อความนั้นมาได้เลย ดังนั้น การไม่รับสายเขา ก็หมายความว่าดูอีกำลังเมิน ไม่ยอมรับเองนั่นแหละ
ร่างสูงขบฟันด้วยความหงุดหงิดหนักกว่าเดิม ไอ้เด็กนี่กล้าดียังไง เมินกันงั้นเหรอ กล้าเมินเขาทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นแค่ไอ้เด็กเบ๊เหรอ ลืมฉัน? ถ้าไม่ใช่เพราะอยากกินข้าวนะ แม่งเอ๊ย…
และด้วยสาเหตุนี้ การพบเจอครั้งที่สองของพวกเขาสองคนจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ไม่ต่างจากคำว่าจากกันเพื่อพบเจอใหม่
* * *
“ห้ามปฏิเสธ”
“…”
อยู่ๆ ก็เรียกตัวคนกำลังทำรายงานกลุ่มออกมา ตามด้วยการบอกว่าจะพาไปร้านอาหารสุดหรูชื่อดังที่ฟังแค่ชื่อก็หวาดกลัว แล้วใครจะไปเชื่อลง… ดูอีได้แต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา เพราะยังตั้งรับกับสถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วตรงหน้าคืออะไร ท่ามกลางความมึนงงทั้งหมดนั้น เขาก็ถูกพาตัวมานั่งอยู่ในร้านอาหารชื่อดังที่ว่านั่นในส่วนของลูกค้าวีไอพี
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมง สิบนาที ดูอียังไม่กล้ายกเรื่องงานกลุ่มขึ้นมาพูดเพื่อทำลายความเงียบสงบนี้ แล้วทำไมผู้ชายคนนี้ต้องโผล่มาในวันเดียวกับวันทำงานกลุ่ม โดยไม่บอกก่อนจะล่วงหน้าด้วยนะ วันอื่นก็ยังมีนี่นา…
“ทำอะไร รีบสั่งดิ”
“…”
ยอนพูดเร่ง โดยมีเมนูซึ่งไม่รู้ว่าเป็นภาษาฝรั่งเศสหรืออิตาลีวางอยู่ตรงหน้าดูอี จะให้เขาสั่งงั้นเหรอ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือภาษาอะไรกันแน่
“อะ อะ…ไร กะ ก็…ได้”
“ไม่มีเมนูอะไรก็ได้”
อีกฝ่ายยังคงแข็งกระด้างไม่ต่างจากตอนเจอกันครั้งแรก จนไม่เข้าใจว่าต้องการอะไรกันแน่ คนตัวเล็กได้แต่ทำสีหน้าพะว้าพะวงแล้วแอบถอนใจเบาๆ ใต้หมวกแก๊ปใบเดิม
“งะ…งั้น นะ แนะ…นำ…”
ไม่ได้เหรอครับ… ตะกุกตะกักตอบ แต่ก็ไม่ได้พูดต่อจนจบประโยคตามความคิดหรอก เพราะยอนทำหน้าขบขันใส่แล้วเรียกบริกรให้มารับออเดอร์ด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง ดูอีไม่เข้าใจสักนิดว่าเมนูพวกนั้นมันคืออาหารชนิดไหน เขานั่งขยำมือตัวเองไปมา ก้มหน้าก้มตาดึงหมวกลงต่ำยิ่งกว่าเดิม
หลังจากนั้นก็กลับมาเงียบสนิทอีกครั้ง
ทั้งคู่ล้วนไม่ใช่คนประเภทชวนอีกฝ่ายคุยก่อน และนั่นทำให้บรรยากาศบนโต๊ะเงียบลง หลังจากบริกรเดินออกไปเมื่อรับออเดอร์เสร็จ ยอนเท้าคางแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่น ส่วนดูอีก็นั่งมองทิชชู่ตรงหน้าแบบไร้จุดหมาย
“ทำรายงานกลุ่มเรื่องอะไรนะ”
ใจหายแวบเมื่ออยู่ๆ ก็มีน้ำเสียงเนิบนาบดังขึ้นแทรกดนตรีคลาสสิก แต่เขาไม่ได้นั่งนิ่งอึ้งนาน พยายามตอบกลับด้วยเสียงติดๆ ขัดๆ
“เอ่อ… บริษัท…อะ อาหาร…ของ ฮะ เฮซเอส…”
“อ๋อ…อืม”
ร่างสูงตัดบทให้สั้นลงเพราะทนความเชื่องช้าและติดขัดของอีกคนไม่ไหว กดโทรศัพท์มือถือต่ออีกสักพักถึงจะปิดหน้าจอลง
“ไอ้พวกลูกหนูน่ารำคาญ…”
ดูอีนึกว่าตัวเองถูกยอนตำหนิ เขาเลยเบนสายตาไปมองนอกหน้าต่าง พลางบดเบียดนิ้วโป้งของตัวเองไปด้วย แอบลอบมองอีกฝ่ายอยู่ภายใต้หมวกใบเดิม ก่อนจะโล่งใจเมื่อพบว่าคำพูดพวกนั้นไม่ได้ต้องการตำหนิติเตียนเขา ยอนคงแก้ปัญหาเรื่องงานของตัวเองไม่ได้
“ถ้า…คะ คุณ…ยุ่ง…”
“ไม่ได้ยุ่ง หุบปาก”
“…”
ฉันมาที่นี่ทำไมกันนะ
ได้แต่ถอนหายใจอย่างอ่อนล้าและคิดใคร่ครวญกับเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น เขารู้สึกยินดีกับการติดต่อที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า แต่คนคนนี้คงจะไม่ได้คิดเหมือนกัน แล้วจะโทรหาเราทำไมล่ะ ถ้ามีธุระจริงๆ แค่พูดให้จบก็หมดเรื่องแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นต้องปล่อยให้เวลาผ่านไปแบบนี้เลย ดูอีครุ่นคิด แต่ก็ไม่ได้ถามออกมาเพราะรู้ดีว่าต้องโดนโมโหใส่แน่
แอพพิไทเซอร์และอาหารแนะนำจากเชฟเริ่มนำมาวางบนโต๊ะ ทั้งหมดล้วนมีหน้าตาน่าทาน และดูอีก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ไหนจะจาน ชาม ส้อมและมีดที่วางอย่างงดงามเป็นระเบียบตรงหน้า ก็ยิ่งทำให้รู้สึกกดดันกับความยิ่งใหญ่และหรูหราของร้านอาหารแห่งนี้
ยอนนั่งพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีอวดดีเหมือนเดิม ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงติดจะหยิ่งๆ กับคนตัวเล็กที่เอาแต่ขยับตัวไปมาเพราะไม่รู้ว่าควรรับประทานอาหารตรงหน้าแบบไหนดี
“รีบกินเข้าไปซะ”
สั่งให้คนอื่นกิน แต่ตัวเองกลับไม่แตะสักคำ ยอนเท้าข้อศอกบนที่รองแขน แล้วใช้มือข้างนั้นรองรับคางตัวเอง เอาแต่นั่งจ้องดูอีอย่างเดียว
หรือนี่จะเป็นการทรมานรูปแบบใหม่… ดูอีไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้ต้องการอะไร เขาได้แต่นั่งกัดปากแล้วแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนจะหยิบมีดกับส้อมตรงหน้า ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ว่า ถึงอย่างไรก็คงต้องทานอาหารตรงหน้าเข้าไปสักอย่าง จากนั้นก็ใช้ส้อมจิ้มลงบนอาหารที่ตัดแบ่งเป็นชิ้นไว้แล้ว แอบเหลือบมองยอนนิดหน่อยแล้วค่อยส่งอาหารชิ้นนั้นเข้าปาก
อร่อยจัง
เขาดื่มด่ำกับรสชาติหลังจากได้ทานอาหารที่มีส่วนผสมหลักเป็นมะม่วงและกุ้ง หรือนี่จะเรียกว่าแทรเบียง (très bien แปลว่าดีมาก) รสชาติยอดเยี่ยม ทั้งเนื้อกุ้งฉ่ำเข้ารสและกลิ่นหอมของมะม่วง อาหารอื่นๆ ก็อร่อยทุกอย่างเลยเช่นกัน ดูอีตั้งอกตั้งใจกับการทานอาหารจนลืมว่ายอนกำลังมองอยู่ เพราะปกติมื้อกลางวันเขามีแค่ข้าวปั้นสามเหลี่ยมตกถึงท้องเท่านั้น จึงช่วยไม่ได้เลยกับนั่งการเปรียบเทียบอาหารคนละระดับ
“เฮ้ย”
“…?”
แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นมาจากการใช้มีดหั่นอาหารอย่างมุ่งมั่น เพื่อจ้องเจ้าของเสียงเรียกอย่างฮายอนนิ่งๆ สีหน้าอีกฝ่ายยังดูเหมือนมีความลับซ่อนไว้ไม่มีเปลี่ยน
“เย็นนี้ว่างไหม”
ดูอีอ้าปากค้างกับคำถามชวนเหลวไหลของอีกฝ่าย ตอนนี้ยังไม่ทันแยกกันเลย ก็ต้องเผื่อเวลาไปถึงช่วงเย็นให้ด้วยเหรอ ขบปากกับคำถามน่าสงสัย ก่อนจะลงท้ายด้วยการส่ายหน้าไปมา
“มี…งะ งาน…พิเศษ…”
“เออ จริงด้วย แม่ง”
สะดุ้งเล็กๆ กับคำสบถ หรือเรื่องสำคัญกว่าตอนนี้คือช่วงเย็น… เขาจึงตัดสินใจวางมีดส้อมลงบนจานใบสวย แล้วลดมือมาแตะเข่าตัวเองเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอึมครึมจนน่ากลัว รู้สึกเหมือนกำลังจะถูกลงโทษระหว่างทานอาหารมื้อยอดเยี่ยมนี้
ยอนเริ่มชักสีหน้าเพราะแผนที่คิดไว้กลับไม่เป็นอย่างที่คิด
คอมเมนต์