ปรุงรักเติมใจ คุณชายไฮโซ ตอนที่ 4-4

Reader Settings

Size :
A-16A+

ตอนที่ 4-4 ทำไมทำกับฉันแบบนี้ (1)

“ถ้างั้นวันอาทิตย์ทำตัวให้ว่างไว้ ไม่ได้ทำงานใช่ไหม”
“…ทะ ทำไม…ต้อง…ว่าง”
“ก็…!!!”
ยอนหุบปากฉับ หลังเกือบหลุดพูดออกไปว่าจะให้อีกฝ่ายเตรียมอาหารเย็นสำหรับตัวเขา แน่นอนว่าเพราะรู้สึกอับอาย
ไม่มีวันบอกแน่ว่าอยากกินอาหารฝีมือนายแทบตาย ก็เลยมาขอร้องให้ทำ… ชายหนุ่มใช้สมองแสนปราดเปรื่องของตัวเองคิดหาทาง หาข้ออ้างอื่น ต้องหาให้ได้สิ เหตุผลที่ดูเข้าท่าสำหรับอาหารมื้อเย็นฝีมือไอ้เด็กนี่ แต่สักพักก็ชะงัก ก่อนจะทิ้งตัวลงพิงเก้าอี้แบบคนหมดแรง ไม่เข้าใจว่าจะคิดอะไรมากมายไปเพื่ออะไร
“…ฉันก็เป็นมนุษย์คนนึงเหมือนกัน ก็ต้องตอบแทนบุญคุณไง ไอ้เด็กนี่”
“มะ ไม่…เป็น…”
“ฮะ?!”
ยอนแทรกขึ้นด้วยความไม่พอใจทันที เพราะนึกว่าอีกฝ่ายจะตอบว่าไม่เห็นเขาจะดูเป็นคนเท่าไหร่ ดูอีสะดุ้งตกใจและรีบพูดต่อให้จบถึงแม้จะติดๆ ขัดๆ
“ไม่…ไม่เป็น…อะ ไร ผมแค่…ทำ..ตะ…ตามใจ…”
“แต่ฉันจะตอบแทนหรือไม่ มันก็เรื่องของฉัน หุบปากซะ”
“…”
ความเห็นของเราก็ยังพอใช้ได้แหละ ดูอีคิดเพราะเริ่มเคยชินกับนิสัยเอาแต่ใจ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางโลกของผู้ชายคนนี้แล้ว จริงๆ แค่อาหารมื้อนี้ก็นับเป็นการตอบแทนที่เพียงพอ ดังนั้น ถ้าหากต้องมาเจอกับคนตรงหน้าอีกครั้งในวันอาทิตย์ มันก็เป็นเรื่องลึกลับหาคำตอบไม่ได้จริงๆ ว่าจะทำไปเพื่ออะไร
“รีบยัดเข้าไปให้หมด”
“ละ…แล้ว คุณ…ยอน…”
“เฮ้ย ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้ ฟังแล้วอึดอัด ไม่เข้าเลย”
“อ้าว…คะ ครับ…?”
แล้วจะให้เรียกว่าอะไร ยอนเดาะลิ้นเมื่อคนตัวเล็กส่งเสียงคล้ายย้อนถามกลับ คนอวดดีนั่งไขว่ห้างก่อนจะคว้าส้อมตรงหน้าขึ้นมาจิ้มส้มจากจานสลัด
“เรียกพี่ก็พอ ไหนๆ ก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องมหา’ลัยเดียวกัน ไม่ต้องเรียกคุณหรอก”
นึกว่าจะเป็นพวกเจ้ายศเจ้าอย่างซะอีก แต่ดูไม่ใช่แบบนั้นแฮะ ดูอีเองก็สบายใจกับข้อเสนอนั้นเช่นกันจึงพยักหน้ารับเป็นการตกลง
“งั้น…พะ พี่…ไม่ทาน…ระ เหรอครับ”
“มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ฉันต้องกินข้าวกลางวันเวลานี้หรือไง”
แล้วผมล่ะครับ… แล้วก็ต้องกลืนประโยคคำถามนี้กลับลงไปใหม่หลังจากมันตีขึ้นมาจนถึงหลอดอาหาร เขาอยากรีบทำให้มื้อกลางวันแสนบ้าบอนี่จบเร็วๆ สักทีเหมือนกัน

* * *

ยอนเบรกเอี๊ยดเพื่อจอดปอร์เช่สีแดงสดตรงถนนหน้ามหาวิทยาลัยเอ ผู้คนรอบๆ ล้วนหยุดมองด้วยสายตาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนพากันจะเดินแยกย้าย ดูอีนั่งอยู่ข้างๆ คนขับ เหลือบมองจนเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังดับเครื่องยนต์ เขาจึงปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเปิดประตูลงมาจากรถ ยอนเองก็ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเช่นกัน
“คือ…สำหรับ อะ อาหาร…”
“รอก่อน เหมือนฉันจะเจอคนรู้จักเลย”
ก่อนจะเอ่ยขอบคุณสำหรับมื้ออาหารที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนในชีวิต ยอนก็ปล่อยคนตัวเล็กทิ้งไว้อย่างนั้นหลังจากพูดตัดบท ทั้งๆ ที่ดูอียังพูดไม่ทันจบเลยด้วยซ้ำ เขาต้องพับความคิดจากว่าจะร่ำลาแล้วขอตัวไปทำงานพิเศษต่อ สงสัยเขาคงมีธุระอื่นอีก… จากนั้นก็ยืนรอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ รถปอร์เช่คันเดิม
อากาศของช่วงใกล้พลบค่ำเริ่มจะเย็นๆ แล้ว อีกไม่กี่วันจะเข้าเดือนพฤศจิกายน ยังไม่ได้ทำอะไรก็จะหมดไปอีกปีแล้วสินะ ดูอีหยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าขึ้นมาดูเวลา เกือบห้าโมงเย็นแล้ว อีกไม่นานเขาต้องไปทำงานพิเศษ ขอให้ยอนกลับมาก่อนเวลานั้นเถอะ
รอสักพักก็เริ่มเบื่อ เขาเลยเดินเล่นบริเวณหน้ามหาวิทยาลัย ก่อนจะเจอร้านเสื้อผ้าเล็กๆ แถวนั้น มีเสื้อผ้าหลายแบบและพวกเครื่องประดับ ไม่ได้รู้สึกชอบมากเท่าไหร่นักเลย อันที่จริงเขาต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่เหมือนกัน แต่มันคงเกินงบสำหรับเดือนนี้แล้ว ไหนจะรองเท้ากับชุดสำหรับหน้าหนาวอีก… ไว้รอซื้อตอนเงินเดือนเดือนหน้าออกดีไหมนะ
แต่ดูอีก็ต้องถอนหายใจ ไหนจะต้องจ่ายค่าเรียนพิเศษของเซนา หลังการสอบเอนทรานซ์ผ่านไปก็เข้าสู่ช่วงเตรียมตัวสอบตรงแล้ว ไหนจะต้องมีการสอบปฏิบัติหลังจากการเอนทรานซ์อีก นั่นหมายถึงเซนาต้องเรียนพิเศษเพื่อเตรียมตัวด้วย
เซนา น้องสาวเขาต้องเรียนในสถาบันกวดวิชาเพื่อฝึกวาดรูปกว่าเจ็ดครั้งต่อสัปดาห์ เธอเลือกเรียนมัธยมปลายสายปฏิบัติ กัดฟันต่อต้านแม้พ่อกับแม่จะคัดค้านไม่เห็นด้วย น้องสาวตั้งใจเรียนและตั้งใจสอบอย่างเต็มที่ทุกครั้ง ทว่าพ่อแม่ก็คิดว่านั่นเป็นการเรียนในเรื่องไร้สาระและเปลืองเงินเปล่าๆ จึงไม่มีความคิดจะส่งให้เซนาเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ดูอีเลยต้องก้มศีรษะเพื่อร้องขอให้พ่อแม่ยอมอ่อนข้อ โดยยื่นข้อเสนอว่าค่าเรียนในสถาบันกวดวิชาและค่าเทอมของเซนา เขาจะเป็นคนรับผิดชอบเอง และนั่นทำให้เซนาได้เข้าเรียนสถาบันศิลปะเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เขายังจำคำของน้องสาวที่พูดไปร้องไห้ไปในวันที่ดูอียอมก้มกราบร้องขอพ่อแม่แทนเธอได้อยู่เลย น้องสาวบอกว่าเขาโง่เง่าแสนทึ่ม จริงๆ ก็ไม่เข้าใจหรอกว่าเซนาจะว่าเขาทำไม แต่ทั้งหมดก็เพื่อน้องสาว ดูอีจึงไม่เคยคิดเสียดายหรือเสียใจกับเรื่องนั้น
ครอบครัวเขาเป็นพวกอำนาจนิยมแบบเฉพาะของเกาหลี นั่นหมายถึงทรัพย์สินทั้งหมดล้วนตกเป็นของลูกชายคนแรก ไม่มีเผื่อไว้สำหรับคนต่อไปทั้งสิ้น พี่ชายเขาต้องมาเป็นอันดับหนึ่งทั้งหมด ดูอีกับเซนาก็เลยไม่ได้รับโอกาสใดๆ เลย แต่ดูอีก็แบ่งส่วนของตัวเองให้กับเซนาเสมอเวลาได้ค่าขนม แล้วก็เพิ่งรับรู้ว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำมันคือความไม่เป็นธรรมหลังจากเริ่มโตขึ้นจนรู้ความ
พ่อแม่ของเขารักทุกอย่างที่พี่ชายคนโตทำ และน่าเจ็บปวดเพราะพวกเขาทั้งสองเกลียดดูอีกับเซนา บ้านของเขาไม่ได้มีฐานะดีก็จริง แต่ตอนเด็กๆ เขาก็เคยใช้ชีวิตสบายกว่านี้ ทว่ามันไม่ใช่กับตอนนี้ เนื่องจากพี่ชายเขาเคยสุขภาพไม่ดีในช่วงวัยเด็ก และนั่นทำให้พ่อแม่ต่างทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้อีกฝ่าย ทุกสิ่งทุกอย่างพี่ชายต้องมาก่อนเสมอ
ยิ่งสถานการณ์การเงินในบ้านแย่ลง พ่อแม่ก็ยิ่งโทษว่าเป็นเพราะดูอีและน้องสาวแย่งทุกอย่างไปจากลูกชายคนแรกของครองครัว พวกเขาจึงยกทุกสิ่งทุกอย่างให้กับลูกชายคนโตเพียงคนเดียว
ทุกความเคืองโกรธนั้นถูกเอามาลงกับดูอีและเซนา โดยเฉพาะดูอี ซึ่งต้องคอยรองรับอารมณ์หงุดหงิดอยู่เสมอ พวกเขาแสดงออกเหมือนว่าหากไม่มีเด็กพวกนี้ ลูกชายคนแรกของพวกเขาคงจะสุขสบายกว่านี้ และอาจจะเป็นเพราะความคิดนั้น ทำให้พ่อแม่มักจะร้องขอหลายสิ่งหลายอย่างจากดูอีมาตลอด ทั้งเงิน ทั้งของใช้จำเป็น ราวกับต้องการทวงคืนบุญคุณที่เคยชุบเลี้ยงมา
ดูอีอยากปฏิเสธเรื่องพวกนั้น เขาจึงตัดสินใจเข้าเรียนมหาวิทยาลัยโดยการใช้ความสามารถของตัวเองทั้งหมด
และเขาอยากดึงตัวน้องสาวออกจากบ้านที่มีแค่ลูกชายคนโตในสายตาเช่นกัน ถ้าหากเซนาต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นไปเรื่อยๆ เธอคงทรุดตั้งแต่ยังไม่ทันได้สยายปีก ดูอีจึงยอมเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนในสถาบันกวดวิชาให้เซนา แม้ชีวิตตัวเองจะยังไม่หายยุ่งเหยิงก็ตาม
พ่อกับแม่เคยลงไม้ลงมือกับเซนา น้องสาวผู้เข้มแข็งของเขาอยู่บ้างบางครั้ง นั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ดูอีตัดสินใจออกจากบ้าน เขาต้องออกมาอยู่คนเดียวเพื่อให้เซนามีห้องของตัวเอง มีที่ซ่อนตัว เขาสงสารเพราะน้องสาวไม่มีห้องส่วนตัว ต้องนอนอยู่ห้องนั่งเล่นแม้จะอายุย่างเข้าวัยสิบเอ็ดปีแล้ว มีหลายครั้งที่เขาแอบออกมานอนห้องนั่งเล่นเป็นเพื่อนน้อง แต่มันก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ดี
จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาแปดปีแล้วกับการใช้ชีวิตแบบเดิม ปีหน้าเซนาจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ช่วงนี้เธอคงตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเอนทรานซ์ เขาจึงไม่ได้รับการติดต่อเลย จากเคยส่งข้อความมาหาบ้างอาทิตย์ละครั้ง จนบางครั้งก็รู้สึกไม่สบายใจจนต้องเป็นฝ่ายต่อสายหาน้องเอง แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ หรือว่าเขาควรกลับบ้านบ้างนะ… ดูอีกระสับกระส่ายกว่าเดิม ก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งใจจะกดเบอร์เซนา ทว่าก็กดไม่ครบเบอร์
เพราะกลัวจะเป็นการรบกวนน้องตอนอ่านหนังสือเตรียมสอบ เขาเคยสั่งไว้แล้วว่าถ้ามีเรื่องด่วนอะไร ให้โทรมา ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งช่วงนี้ เดี๋ยวโทรไปก็หงุดหงิดขึ้นมาอีก
ดูอีนึกภาพน้องสาวหลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เธอมักทำหน้าบึ้งงอ จนตากับปากแทบจะมารวมเป็นจุดเดียวกัน
ฮายอนบอกทิ้งท้ายว่าจะไปหาคนรู้จัก แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เห็นจะกลับมา ดูอีเช็กนาฬิกาอีกครั้ง ตอนนี้ห้าโมงสิบห้านาทีแล้ว… เขาหาวออกมาช้าๆ ด้วยความเหนื่อยล้าสะสม ก่อนจะยืนมองเสื้อผ้าตัวเดิมนิ่งๆ อีกรอบ พอเซนาเข้ามหาวิทยาลัยก็ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ด้วยสินะ เขาควรจะรีบสมัครงาน เก็บเงินแล้วส่งให้เซนาได้แล้ว
ร่างบางถอนใจแล้วเดินดูโซนร้านค้าต่อ มีทั้งเครื่องประดับและเสื้อผ้า ซึ่งน่าจะเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ ช่วงนี้ รวมถึงเสื้อผ้าไซซ์ใหญ่สำหรับผู้ชายด้วย และใต้เสื้อผ้าพวกนั้น รองเท้าบูทข้อสั้นสีน้ำตาลเข้มดึงดูดสายตาให้มองค้าง สวยดี เท่าไหร่นะ คิดพลางพลิกดูราคา แล้วถึงกับต้องเดาะลิ้นเมื่อเห็นตัวเลขแสดงราคาแปดหมื่นกว่าวอน
“แพงอะ…”
“มัวแต่จ้องแล้วพึมพำอะไรอยู่คนเดียว”
ยอนมายืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะ ดูอีทำตาโตด้วยความตกใจ ก่อนจะดึงปีกหมวกลงมาปิดหน้าด้วยความเคอะเขิน ส่ายหน้าไปมาเพื่อบอกว่าไม่มีอะไร
ร่างสูงครางรับในลำคอ เลื่อนสายตามองรองเท้าคู่ที่อีกฝ่ายยืนจ้องก่อนหน้านี้ รองเท้าเลียนแบบแบรนด์ THLEO สายตาเด็กนี่ก็ใช้ได้ ถึงจะทำเลียนแบบดีไซน์แบรนด์โปรดเขาก็ตาม แต่รองเท้าคู่นี้ก็สวยไม่เบา ให้เอาไปใส่วันอาทิตย์ดีไหม
“สะ…เสร็จ…”
“อือ เสร็จแล้ว”
ยอนยิ้มแฝงความหมายก่อนจะยื่นแก้วกาแฟแบบเทกเอาท์ในมือให้ โดยมีกาแฟชนิดเดียวกันอยู่ในมืออีกข้าง ดูอีผงกศีรษะขอบคุณแล้วรับแก้วกาแฟมา
“ตอบแทนเรื่องกาแฟตอนนั้น”
พูดจบก็ยิ้มจนตาเป็นสระอิ รอยยิ้มทั้งหล่อและสดใส ดูอีรู้สึกใจเต้นผิดจังหวะจนเกิดอาการกระตุกอยู่ภายในอก ทำได้เพียงงับหลอดเบาๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาดูดกาแฟเพื่อซ่อนอาการผิดปกติเอาไว้
“ส่วนนี่ค่าตอบแทนสำหรับชีวิตฉัน”
ยอนยื่นถุงในมือให้อีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม ประเมินจากสายตาก็ยังคาดเดาได้ว่ามีของหลายอย่างอยู่ในนั้นแน่นอน คนตัวเล็กส่ายหน้าปฏิเสธหลังจากคิดพิจารณาแล้ว
“มะ…ไม่เป็น…”
“ไม่รับ? งั้นก็ช่วยไม่ได้อะนะ”
น้ำเสียงฟังดูไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหยิบไฟแช็กในกระเป๋าขึ้นมาโดยไม่ปล่อยให้ดูอีได้คาดเดา เพราะยอนกดจุดไฟแช็กขึ้นทันที
“จะรับ หรือไม่รับ”
“…”
การกดดันแบบนี้คือไปเรียนมาจากไหน ดูอีไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าหรอก แต่เขาเสียดายเงินที่ใช้ซื้อของพวกนี้ต่างหาก เอาเถอะ ไว้ระหว่างนี้ถ้าหากมีโอกาสค่อยหาทางคืนเจ้าตัวก็แล้วกัน พอยื่นมือไปรับ ฝ่ายผู้ให้ถึงยิ้มอย่างพึงพอใจ ดับไฟแช็กแล้วส่งถุงให้ดูอีแต่โดยดี
“พรุ่งนี้ฉันจะเอาข้อมูลมาให้นายทำงานกลุ่มบ้าบอนั่น ดูโทรศัพท์ไว้ดีๆ ด้วย”
จากนั้นยอนก็เดินกลับไปขึ้นรถด้วยท่าทางไม่ต่างจากพวกนักเลงหัวไม้ แถมขับรถออกไปโดยไม่บอกลาสักคำด้วยซ้ำ
ไร้สาระเป็นบ้า
ตอนนี้ในมือเขามีทั้งถุงใบใหญ่ แล้วก็แก้วกาแฟ ดูอียืนนิ่งค้างพร้อมเหม่อมองตามรถปอร์เช่สีแดงวิ่งฉิวหายวับไป จนลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองต้องรีบไปทำงานพิเศษซะสนิท

คอมเมนต์

Chapter List