ปรุงรักเติมใจ คุณชายไฮโซ ตอนที่ 5-4
ตอนที่ 5-4 ทำไมทำกับฉันแบบนี้ (2)
“เฮ้ย! มัวทำบ้าอะไรอยู่ มันไหม้หมดแล้วเนี่ย!”
ดูอีเช็กขอบแก้วที่ล้างเสร็จแล้วให้แน่ใจอีกรอบว่ามีรอยลิปสติกเปื้อนอยู่หรือไม่ ก่อนจะส่งมันกลับลงไปด้านล่าง จากนั้นก็หันมองผู้จัดการร้านด้วยสายตามึนงงเพราะไม่เข้าใจคำถาม แถมผู้ช่วยในครัวคนอื่นๆ ต่างก็จดจ่ออยู่กับการย่างเนื้อจนดูยุ่งเกินกว่าจะเข้ามาช่วยได้
“รีบขยับสิวะ!”
หรือว่าจะสั่งให้เขาเข้าไปทำอาหารต่อ… ถึงจะเคยช่วยเตรียมอาหารมาบ้าง แต่ตามกฎของร้านแล้ว เขาไม่สามารถเข้ามายุ่มย่ามกับการทำอาหารในร้านได้ ดูอียืนสับสนอยู่สักพัก สุดท้ายก็ทนมองเฉยๆ ไม่ไหวจึงเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วรีบขยับเข้าไปดูของทอดที่รองผู้จัดการร้านทำค้างเอาไว้ก่อนหน้านี้
ต่อไปก็น่าจะเป็นไก่ทอดคาราเกะของโต๊ะสิบห้า ดูอีหยิบกระทะกลมขึ้นมาจากลิ้นชักเก็บอุปกรณ์ จากนั้นก็หยิบผักกาดขาวกับพวกส่วนผสมทั้งหลายและเริ่มปรุงอาหาร ตัวซอสเท่าที่พอจะจำได้ก็คือต้องใช้ซอสพริกสีแดงลำดับสองจากฝั่งขวา ส่วนสลัดก็ใช้ซอสกับชีส แล้วก็องุ่นเขียว
หลังจากทอดไก่จนเหลืองกรอบ ดูอีก็ช้อนมันขึ้นมาวางบนผ้าเพื่อซับน้ำมันออกก่อนหนึ่งครั้ง แล้วจัดลงจานวางข้างๆ สลัดจนดูน่ารับประทาน เติมซอสแล้ววางประดับอย่างดี เขาจำได้ว่าเพียงเท่านี้เมนูไก่ทอดคาราเกะของร้านก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เอามาพร้อมใบเสร็จนั่นแหละ เร็ว”
ภาชนะรอทำความสะอาดมากมายถูกส่งขึ้นมากับลิฟต์ส่งของ มันวางกระจายเต็มไปหมดขณะผู้จัดการเรียกดูอีเข้าไปหา เขาจึงรีบก้าวโดยถือทั้งจานไก่ทอดคาราเกะและใบเสร็จไปให้อีกฝ่ายด้วย
“ช้าจริง… ทำบ้าอะไรอยู่วะ!”
ลืมนึกว่าพื้นครัวลื่นมากแค่ไหนด้วยน้ำมันจากการทอดและการทำอาหารอย่างต่อเนื่อง แต่กว่าจะนึกขึ้นมาได้ เท้าของเขาก็ลื่นพรืดก้าวใหญ่ไปแล้ว อาจจะเป็นเพราะวันนี้ร่างกายไม่ค่อยปกตินักจนควบคุมสมดุลไม่ค่อยได้ ดูอีลื่นล้มกลางพื้นครัว ส่งผลให้ไก่ทอดคาราเกะในมือกระจายเต็มพื้นไปด้วย
จังหวะนั้นรองผู้จัดการร้านก็กลับเข้ามาในครัวพอดี หลังจากโดนลูกค้าเรียกไปตำหนิเรื่องเส้นผมในอาหาร อีกฝ่ายรีบรุดเข้ามาดูอาการดูอีอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรกันครับ ทำไมนายสภาพเป็นแบบนี้ล่ะ”
“…อึก…”
“แม่ง! หลีกไป!”
ด้วยเหตุนั้นทำให้อาหารของโต๊ะเบอร์สิบห้าล่าช้าไปมากกว่าเดิม ผู้จัดการเดินข้ามตัวดูอีที่ล้มกองอยู่กับพื้นเพื่อหยิบเนื้อไก่สำหรับทอดคาราเกะแล้วลงมือทำอาหารใหม่ทันที
“เฮ้ย! อาหารของโต๊ะสิบห้าน่าจะช้า รีบเอาเครื่องดื่มไปเสิร์ฟฟรีแล้วขอโทษลูกค้าเดี๋ยวนี้เลย! โธ่เว้ย ไม่ใช่เด็กแล้วแท้ๆ ยังจะซุ่มซ่ามล้มคว่ำอีก แค่นี้ก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว”
“ขะ…ขอโทษ…”
“เลิกขอโทษแล้วรีบๆ ลุกมาล้างจานต่อซะที แล้วเปิดลิฟต์ค้างไว้ทำไม! รีบปิดสิวะ! เฮ้ย นายปล่อยเรื่องลูกค้าคอมเพลนให้เด็กเสิร์ฟจัดการซะ แล้วรีบมาทำอาหารต่อได้แล้ว ยังเหลือตั้งหลายอย่าง ยังจะยืนเฉยอยู่อีกเรอะ”
“…โอเคครับ”
หลังจากช่วยพยุงให้ดูอีลุกขึ้นยืนได้แล้ว รองผู้จัดการร้านก็กัดปากคล้ายตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ทำเพียงแค่ตบหลังเขาเบาๆ แล้วเดินไปยืนอยู่ข้างๆ ผู้จัดการร้านเพื่อทำอาหารรายการต่อไปเสิร์ฟลูกค้า
ดูอีปิดประตูลิฟต์ส่งของที่เปิดค้างไว้ครึ่งหนึ่งลง ก่อนจะหยิบพวกขยะและเศษอาหาร รวมถึงซากคาราเกะ สลัดกับเศษจานแตกๆ พวกนั้นทิ้งลงถังขยะ
“เฮ้อ…”
สภาพร่างกายเขายังไม่ดีขึ้นเลย เหตุผลใหญ่สุดก็คงหนีไม่พ้นการนอนน้อยเกินไป ตอนออกมาจากห้องสมุด เขาควรแวะนอนพักก่อนจะมาทำงานพิเศษ ดันมัวแต่ร้องไห้เพราะความไม่สบายใจ จนต้องมานั่งเสียดายทีหลังเมื่อเผชิญกับอาการพักผ่อนไม่เพียงพอแบบนี้
ดูอีหลับตาลงช้าๆ เพื่อตั้งสติ รู้สึกเหมือนยังเบลอๆ ค้างอยู่ แม้จะเพิ่งเกิดอุบัติเหตุเมื่อครู่นี้ก็ตาม จากนั้นก็ล้างจานต่อ ได้ยินเสียงปึงปังๆ ดังลั่นจากฝีมือของพวกพนักงานพาร์ทไทม์ด้านล่าง เสียงน้ำมันจากการทอดอาหาร เสียงมีดหั่นเนื้อและผัก ทุกอย่างมันผสมปนเปกันไปหมดจนทำให้เขาเริ่มปวดหัว
ร่างบางทุบเบาๆ บนเข่ากับก้นเพราะเริ่มเจ็บขึ้นมาแล้ว ก่อนจะแอบมองผู้จัดการร้าน แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังบ่นรองผู้จัดการร้านพร้อมๆ กับทอดคาราเกะจานใหม่ไปด้วย
เขาอยากคุยเรื่องเงินเดือนภายในวันนี้ ทว่าดูจากความผิดพลาดของตัวเอง รวมถึงอารมณ์ของผู้จัดการแล้ว น่าจะได้รับคำตอบที่ไม่ดีสักเท่าไหร่แน่นอน แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ดูอีถอนหายใจด้วยความเวทนาตัวเอง
กว่าลูกค้าจะเริ่มน้อยลงจนพวกเขาสามารถมานั่งทานข้าวด้วยกันได้ ก็คือช่วงเวลาเกือบตีหนึ่งหลังรถไฟใต้ดินเที่ยวสุดท้ายหมด พนักงานผู้เหนื่อยล้าทุกคนนั่งหมดสภาพรวมตัวกันอยู่ในครัว รออาหารมื้อเย็นจากรองผู้จัดการร้าน
ส่วนผู้จัดการร้านกลับเลิกงานอย่างตรงเวลาเป๊ะทันทีที่เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาตีหนึ่ง สุดท้ายดูอีก็ไม่ได้เกริ่นขอเจรจาเรื่องเงินเดือนอยู่ดี ถ้าปล่อยผ่านไปเฉยๆ แบบนี้ อีกสักพักแม่คงได้โทรมาต่อว่าอีกรอบแน่ สีหน้าเขาแย่ลงทันทีหลังจากคิดถึงคำพูดของแม่เมื่อตอนกลางวัน
“พี่ดูอี ทำไมถึงโดนผู้จัดการร้านบ่นเอาได้ล่ะคะ”
เด็กสาวผู้รับหน้าที่เสิร์ฟอาหารเอ่ยถามขึ้น เธอใช้กาแฟกระป๋องเป็นเครื่องดื่มคลายความเหนื่อยล้าของตัวเองก่อนจะยื่นกาแฟให้ดูอีด้วย ดูอีจึงก้มศีรษะเบาๆ เป็นการขอบคุณ จากนั้นก็เคี้ยวริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวอย่างไรดี
“เอา…อะ อาหาร ปะ…ไปให้ แล้ว…ละ…ลื่นล้ม…”
“โอ๊ย เรื่องแค่นั้นเองเหรอคะ ถึงจะยุ่งแค่ไหนก็เถอะ แต่ผู้จัดการนิสัยไม่ไหวเลยจริงๆ แล้วพี่โอเคไหมคะ ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม”
เขาพยักหน้าพร้อมยิ้มแกนๆ เป็นการตอบรับเมื่ออีกฝ่ายถามต่อด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง แต่เธอก็ดูท่าทางจะยังไม่หายห่วง เพราะแสดงสีหน้าชัดเจนว่ากำลังเป็นกังวล
“ทั้งๆ ที่คนอื่นยุ่งกันแทบตาย แต่หมอนั่นก็ยังเลิกงานตั้งแต่ตีหนึ่งเป๊ะ ไม่เห็นเหรอ เป็นแบบนี้ประจำ เขาเป็นคนรู้จักของเจ้าของร้านอยู่แล้วด้วยแหละ… ก็แบบ คิดว่าตัวเองเป็นราชา เป็นแค่ผู้จัดการร้านอาหารเล็กๆ แบบนี้ แต่ดันวางมาดซะใหญ่โต จริงๆ เลย”
ผู้ช่วยในครัวคนหนึ่งเสริมความคิดเห็นของเด็กเสิร์ฟ อีกทั้งยังพูดต่อว่าคนที่ทำงานหนักก็มีแต่รองผู้จัดการร้านคนเดียว คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่พอใจผู้จัดการร้านไม่น้อยเช่นกัน แต่ดูอีก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้น เขาคิด พร้อมกับเปิดกระป๋องกาแฟที่ได้มาจากเด็กสาวขึ้นดื่ม จากนั้นก็นั่งฟังบทสนทนาของคนในร้าน ตอนนี้กลายเป็นมหกรรมการดิสเครดิตผู้จัดการร้านไปแล้ว
“คุณเจ้าของร้านเหมือนจะคิดเรื่องทำแฟรนไชส์อยู่นะ เพราะร้านนี้ค่อนข้างไปได้สวย แล้วผู้จัดการร้านก็เอาเรื่องนั้นมาทำอย่างกับตัวเองเป็นต้นคิด เป็นเจ้าของทุน ไร้สาระสุดๆ เลย อารมณ์เหมือนร้านนี้ดีได้เพราะตัวเองอย่างนั้นแหละ”
“จริงด้วย เรื่องนั้นฉันก็ได้ยินมาค่ะ เห็นว่าจะได้ดูแลสาขาหนึ่งเลยนี่คะ”
“เรื่องนั้นเขาคิดเองเออเองทั้งนั้นแหละ บอกแล้วว่าเฮงซวยจะตาย เอาจริงนะ ถ้าไม่มีผู้จัดการ พวกเราคงทำงานพิเศษสบายใจกว่านี้เยอะ”
“เลิกพูดจากัดชาวบ้านแล้วก็ไปจัดช้อนจัดตะเกียบได้แล้ว กินเสร็จแล้วก็เตรียมปิดร้านด้วย”
รองผู้จัดการร้านพูดแทรกบทสนทนา ตามด้วยเสียงตอบรับจากเด็กพาร์ทไทม์ก่อนทุกคนจะลุกจากเก้าอี้ ดูอีเองก็ลุกแล้วเดินไปนั่งตรงโต๊ะว่างๆ บนชั้นสองเพื่อเตรียมกินอาหาร โดยมีรองผู้จัดการกับพนักงานพาร์ทไทม์ผู้ชายคนหนึ่งถือข้าว เครื่องเคียงและซุปมาวางลงกลางโต๊ะ
“รีบกินซะ ทำงานหนักกันอีกแล้ววันนี้!”
“ว้าว จะทานให้อร่อยเลยครับ!”
เพราะงานหนักติดกันอย่างต่อเนื่องทำให้ทุกคนค่อนข้างหิวจัด ต่างคนต่างตักข้าวเข้าปากกันอย่างรวดเร็ว ส่วนดูอีตักข้าวเข้าปากและรอจนกว่าทุกคนจะตักเอาส่วนของแต่ละคนไปกินเรียบร้อยแล้ว เขาถึงค่อยเริ่มลงมือตักอาหารตรงหน้าขึ้นมาไว้บนถ้วยข้าวของตัวเอง
“วันนี้นายมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
รองผู้จัดการร้านเอ่ยถามดูอีเมื่อนั่งลงข้างๆ คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่มีอะไร
“ถ้าวันนี้เหนื่อย นายไม่ต้องอยู่ปิดร้านก็ได้ เดี๋ยวตอนตีสามฉันตอกบัตรให้นายเอง”
“ไม่ ไม่เป็น…ไร…”
“อย่าเถียง กินข้าวเสร็จแล้วก็กลับบ้านไป วันนี้นายทำพลาดบ่อยจนฉันไม่อยากให้ฝืนร่างกายแล้ว”
ดูอีรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายอยู่ในใจ เขาเงียบไปสักพักก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าตอบรับเบาๆ รองผู้จัดการร้านสงสารเจ้าตัวเล็กนี่จนอยากจะพูดให้กำลังใจ แต่สุดท้ายก็ทำเพียงแค่มองอยู่เงียบๆ เท่านั้น
คอมเมนต์