ปรุงรักเติมใจ คุณชายไฮโซ ตอนที่ 1-3
ตอนที่ 1-3 การพบเจอ (1)
ไม่รู้ต้องเรียกว่าเมื่อวานหรือวันนี้กันแน่ แต่เอาเถอะ อย่างไรมันก็คือเขาหมดแรงกว่าปกติ และเพราะเรื่องราวเมื่อคืนก็ทำให้ตื่นสาย ปกติดูอีต้องออกจากบ้านตอนบ่ายโมงตรง ถึงจะไม่เข้าเรียนสายในคลาสช่วงบ่ายสอง แต่วันนี้กว่าเขาจะตื่นนอนก็ปาเข้าไปบ่ายโมงครึ่งแล้ว
เขาเตรียมตัวออกจากห้องหลังจากจัดของลวกๆ พลางคิดว่าไปขึ้นรถบัสของมหาวิทยาลัยคงจะได้เรื่องกว่า ทว่าสภาพของผู้ชายคนที่พากลับบ้านมาด้วยเมื่อคืนยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายตากฝนติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน แถมยังหายใจแรงกว่าปกติ รวมถึงมีเหงื่อไหลซึมตลอดเวลา
“…”
ดูอีนิ่งคิด สัปดาห์หน้าจะเป็นช่วงสอบกลางภาคแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้อาจารย์คงจะต้องบอกขอบเขตเนื้อหาของการสอบแน่นอน อีกอย่างเขาไม่มีเพื่อนในชั้นให้ถามไถ่ ดังนั้นจะสายไม่ได้เด็ดขาด
แต่สุดท้ายแล้วคนจิตใจอ่อนแออย่างเขาก็ปล่อยคนป่วยอยู่คนเดียวไม่ได้อยู่ดี ดูอีรีบใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำวางลงบนหน้าผากอีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปหยิบน้ำแข็งจากในตู้เย็นมาใส่ถุงพลาสติกแล้วเอาวางบนผ้าขนหนูอีกที คนโดนน้ำแข็งวางบนหน้าผากขมวดคิ้วคล้ายไม่ชอบใจกับสัมผัสเย็นๆ อย่างกะทันหัน
ป่วยก็ต้องกินยา แต่เขาต้องปลุกอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมากินอาหารรองท้องก่อนถึงจะให้กินยาได้ แต่จะอย่างไรดีในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมลืมตาตื่นแบบนี้ ดูอีเริ่มปวดขมับ พลาสเตอร์ตรงมุมปากกับหางตาที่แปะให้หลังจากทำแผลเรียบร้อย เริ่มจะหลุดออกเพราะเหงื่อผุดซึมจากอาการไข้ขึ้น คงต้องปลุกให้ตื่นก่อนเป็นอย่างแรก ร่างบางรวบรวมความกล้าแล้วเขย่าตัวคนนอนนิ่ง
“ตะ…ตื่นครับ ตื่น… ตื่นครับ!!”
“…”
“ตื่น… คุณ คุณตะ…ต้องตื่นได้แล้ว…นะครับ”
“…”
“เฮ้อ…”
ทว่ามีแต่ความเงียบงันตอบกลับมา ตอนนี้ดูอีล้มเลิกความตั้งใจว่าจะไปมหาวิทยาลัยในวันนี้แล้ว จะปล่อยคนป่วยสภาพแบบนี้ไว้คนเดียวได้ยังไง เราจะไม่รับผิดชอบกับเรื่องนี้ไม่ได้…
หลังจากครุ่นคิดหาวิธีแก้ปัญหา สุดท้ายเขาก็เลือกจะส่งข้อความไปหาประธานนักศึกษาชั้นปีสามอย่างฮันจองแท เพื่อนร่วมห้องที่ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่นัก เพราะอย่างน้อยก็เคยพูดคุยกับอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องเรียนอยู่บ้าง
[จองแทฉันลีดูอีรหัสXXนะพอดีว่ามีเรื่องนิดหน่อยเลยไปมหา’ลัยไม่ได้ขอโทษนะช่วยบอกขอบเขตเนื้อหาสอบของคลาสตอนบ่ายสองวันนี้หน่อยได้ไหม]
[ขอโทษจริงๆนะ]
จากนั้นดูอีก็เก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าแบบไม่ใส่ใจ หลังจากส่งข้อความไร้ศิลปะในการเว้นวรรคไปหาเพื่อนรุ่นน้องร่วมคณะเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเกาศีรษะแกรกๆ อย่างไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร เขาเชื่อว่าอีกไม่นานผู้ชายคนนี้คงจะฟื้น คาดเดาจากอาการคล้ายไม่ชอบใจเมื่อถูกรบกวนด้วยผ้าขนหนูเย็นๆ ชื้นๆ จนพลิกหน้าไปมา
เวลาผ่านไปสักพัก เขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายตากอยู่บนราวตากผ้า และในนั้นคงมีพวกกระเป๋าสตางค์หรือโทรศัพท์มือถืออยู่บ้าง จำได้ว่ามันมีน้ำหนักอยู่พอสมควรตอนถอดออกให้ อย่างน้อยมีที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ให้พอรู้ก็ยังดี เพราะคิดว่าการรับมือผู้ชายคนนี้ตามลำพังคงยากเกินไปสำหรับตัวเอง
“…”
เอาล่ะ อย่างน้อยก็มีโทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์อยู่ในเสื้อผ้าจริงๆ ถึงแม้ของจากสองอย่างจากกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างจะเปียกน้อยกว่าที่คิด แต่สมาร์ทโฟนกลับเปิดไม่ติด โดยไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากแบตเตอรี่หมดหรือว่าพังไปแล้วกันแน่ ถึงอยากจะชาร์จให้แค่ไหน ในบ้านเขาก็ไม่มีที่ชาร์จสำหรับโทรศัพท์รุ่นใหม่แบบนี้อยู่ดี
แต่มีคนเคยบอกว่าเดี๋ยวนี้ในร้านสะดวกสามารถชาร์จแบตโทรศัพท์ได้แล้วนี่นา
ดูอีคิดว่าคงต้องเก็บโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยๆ เปิดกระเป๋าสตางค์ชื้นน้ำอย่างระมัดระวัง ยังดีที่มีบัตรประชาชนอยู่ ที่อยู่ในนี้ระบุว่าเป็นเขตชื่อดัง ซึ่งเป็นย่านของบ้านพวกเศรษฐีและอยู่ห่างจากที่นี่ไม่น้อยเลย ผู้ชายคนนี้ชื่อฮายอน… ยอนเหรอ ชื่อเหมือนเด็กผู้หญิงเลย
ร่างบางหยิบพวกการ์ดกับเงินสดออกมาผึ่งไว้ตรงมุมหนึ่งของห้อง และคิดว่ามันคงแห้งก่อนอีกฝ่ายจะมีสติแล้วออกจากห้องนี้
ระหว่างกำลังเตรียมตัวออกจากบ้านเพื่อไปซื้อยา เขายังเป็นห่วงคนที่ยังนอนร้องครางเบาๆ เพราะอาจจะปวดหัว แต่อย่างไรสิ่งที่ควรทำในเวลานี้ก็คือ รีบออกไปซื้อของจำเป็นแล้วกลับเข้ามาให้เร็วที่สุด
เนื่องจากดูอีอยากให้อาการของอีกฝ่ายดีขึ้นโดยเร็ววัน อย่างน้อยก็เพื่อตัวเขาเองนี่แหละ คนตัวเล็กจึงรีบตรงไปยังร้านขายยาแถวๆ มหาวิทยาลัย ซื้อยาแก้ไข ยาลดน้ำมูก ยาแก้หวัด รวมถึงวิตามินบำรุงต่างๆ
วิธีที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ในเวลานี้ก็คือ ทำให้ผู้ชายคนนั้นฟื้นตัว จนกระทั่งอาการดีขึ้นแล้วพอจะไปโรงพยาบาลด้วยตัวเองได้
หลังจากออกจากร้านขายยา ดูอีก็ตรงไปที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อชาร์จแบตโทรศัพท์ แต่พอเห็นที่ชาร์จแบตขายอยู่ ก็กลับกลายเป็นว่าซื้อติดมือมาซะอย่างนั้น และไม่อยากเดินเตร็ดเตร่ไปไหนมากเพราะกลัวพวกที่ไล่ตามหาคนนอนสลบอาจจะยังวนเวียนอยู่รอบๆ บริเวณนี้
ทว่าระหว่างเดินกลับ ก็เพิ่งนึกได้ว่าในห้องไม่มีอะไรให้กินแล้ว เขาจึงเดินไปยังร้านโจ๊กใกล้ๆ หอพักแล้วซื้อของที่น่ากินที่สุดมาหนึ่งอย่าง แต่พอเห็นผู้ชายตัวโตคนที่เพิ่งเจอเมื่อคืนเดินอยู่ใกล้ๆ ดูอีก็รีบวิ่งหนีกลับมาด้วยความตกใจ
คนตัวเล็กหอบหายใจหลังปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว เหมือนเป็นโจรโดนตำรวจวิ่งไล่จับตามหลังมาติดๆ เหงื่อกาฬไหลซึมทั่วร่างกายไปหมด เขาถอดหมวกแก๊ปออกเพื่อปาดเช็กเหงื่อบนหน้าผาก แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นว่าคนป่วยยังดูอาการหนักอยู่ ดูอีจึงยิ่งว้าวุ่นกว่าเดิม
เขาทำการชาร์จโทรศัพท์มือถือของผู้ชายชื่อว่าฮายอน ก่อนจะจัดการเทโจ๊กน่าอร่อยใส่ถ้วยขนาดพอดี ส่วนพวกเครื่องเคียงทางร้านบรรจุลงภาชนะใช้ครั้งเดียวทิ้ง เขาก็เลยแค่เปิดฝาแล้วนำไปวางบนโต๊ะตัวเล็ก จัดเตรียมอาหารให้อีกฝ่าย หลับตาอยู่คงลุกขึ้นมากินโจ๊กเองไม่ได้ ต้องปลุกให้รู้สึกตัวก่อน นั่นคือสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างแรก
“ขอ ขอโทษ นะ นะครับ”
“…”
“คุณ คุณต้อง ตะ…ตื่น ตื่นก่อนนะครับ”
“อึก… หุบปาก”
ค่อนข้างช็อกเมื่อได้ยินคำพูดคำแรก ทั้งๆ ที่อุตส่าห์เฝ้าเสียสละดูแลคนไม่รู้จักทั้งคืน กลายเป็นคำว่า ‘หุบปาก’ แต่ก็ถือว่าเป็นปฏิกิริยาตอบรับหลังจากนอนสลบมายาวนาน ก็เลยทำเพียงปล่อยผ่าน แต่ดูอีก็ไม่ยอมแพ้ ตั้งใจเขย่าตัวคนพยายามหลับต่ออีกครั้ง
“คือ…คง คุณคงไม่สะ สบายตัว…เท่าไหร่…กะ กิน… กินโจ๊ก… จะ จะได้…”
“รำคาญ… ปวดหัว”
อีกฝ่ายอาจจะยังไม่ได้สติเท่าไหร่นัก เพราะประโยคหลังได้ยินเป็นแค่เสียงพึมพำปนเสียงถอนหายใจเท่านั้น ร่างบางจึงรวบรวมความกล้าเข้าไปกวนให้รู้สึกตัวมากกว่าเดิม
“กิน กินโจ๊ก แล้ว แล้วจะได้ กิน…ยา…”
“ไม่เอา”
“ไม่ ไม่ได้…นะ นะครับ… คะ คือ คุณ…คุณยอน”
“เหมือนหัวจะแตกเลย”
“ถ้า ถ้าคุณ กิน กินยา… จะ ไม่ ไม่ปวดหัว นะ นะครับ กะ กิน กินโจ๊กก่อน…”
“อึก”
ดูอีพยุงตัวยอนให้ลุกขึ้นนั่ง แต่คนอ่อนแรงยังตั้งหลักไม่ได้เลยพิงแผ่นหลังลงกับผนัง ตาปรือๆ ทำให้รู้ว่ายังไม่ตื่นจากอาการสะลึมสะลือ
จากนั้นก็ดึงโต๊ะกินข้าวตัวเล็กเข้ามาใกล้แล้วหยิบช้อนส่งให้คนป่วย แต่ยอนคงไม่มีแรงถึงได้ทำมันตกคล้ายถือไม่ไหว สุดท้ายดูอีจึงทนไม่ไหว จบลงด้วยการเป่าโจ๊กคลายความร้อนแล้วป้อนอีกฝ่ายแทน
“กิน…กินนิด นิดเดียวก็…ก็ยังดีครับ”
เสียงพึมพำติดๆ ขัดๆ ข้างตัวทำให้คนฟังอย่างยอนรู้สึกหงุดหงิด จนต้องยอมเปิดปากตามอย่างอ่อนแรงจนได้ ดูอีจึงใช้จังหวะนั้นส่งช้อนเข้าปาก ชายหนุ่มค่อยๆ เคี้ยว สลับกับรอคนตัวเล็กป้อนเข้าปาก นั่นทำให้ดูอีรู้สึกเหนื่อยแทบตายเพราะเหมือนตัวเองกลายเป็นพี่เลี้ยงป้อนข้าวเด็กไปแล้ว
นึกถึงตอนต้องเลี้ยงน้องสาวอายุห่างกันหลายปี แต่ตอนนี้ต้องมาดูแลคนไข้ปลอมๆ ตรงหน้า ทว่าก็ค่อนข้างพอใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกินอาหารได้แล้ว
เคี้ยวโจ๊กไปได้สักพักก็หมดแรง ต้องทิ้งน้ำหนักพิงหลังกับผนังเพื่อพยุงร่างกาย คนตัวเล็กเลยวางช้อนลง ก่อนจะเอาผ้าขนหนูวางลงบนหน้าผากคนป่วย ดูท่าจะคงยังปวดหัวอยู่ไม่น้อย
ยอนหลับตาลงด้วยท่าทางคล้ายกำลังซึมซับความเย็นจากผ้าขนหนู
คอมเมนต์