ปรุงรักเติมใจ คุณชายไฮโซ ตอนที่ 2-3
ตอนที่ 2-3 การพบเจอ (2)
“เฮ้ย”
เหมือนจะนั่งนิ่งๆ ไปได้พักใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าหงุดหงิดใจอะไรถึงได้โพล่งเรียกกันขึ้นมาอีก ดูอีจึงหันกลับไปมองด้วยความสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า แล้วก็เห็นว่ายอนกำลังแกะส้มกิน
“ในบ้านไม่มีอะไรกินเลยสักอย่าง ฉันนึกว่าตัวเองจะหิวจนเป็นลมแล้ว ซื้อของเข้าบ้านหน่อยไอ้น้อง จะขังคนอื่นไว้บ้านก็ต้องมีของกินให้บ้างดิ”
คิดๆ แล้วมันก็จริงที่ว่าเขาไม่เคยมีของกินติดบ้านเลย เดี๋ยวตอนเช้าก็จะไม่มีอะไรให้อีกฝ่ายกินอีกแล้วเหมือนเดิม ดูอีจึงพยักหน้าหงึกหงัก
“เอาเสื้อผ้าฉันไปส่งร้านซักรีดด้วย มันมีกลิ่นนายไม่รู้หรือไง แม่งเอ๊ย ขอฉันให้ออกไปได้ก่อนเหอะ”
“หยะ…”
ยอนแปรความหมายคำพูดของคนพูดช้าเป็นคำว่า ‘เหอะ’ ทั้งๆ ที่ดูอีตั้งใจจะถามว่าอยากกินอะไรเท่านั้น ด้วยนิสัยใจร้อนมุทะลุเลยสบถว่า ‘อยากตายเหรอ’ พร้อมสีหน้าเหี้ยมโหดจนทำให้ร่างบางสะดุ้ง
“หยะ…อยากกินอะไร…”
“ซื้อเข้ามาเหอะ ซื้อของที่คุณ รับ ประ ทาน น่ะครับ คุณ เจ้า ของ บ้าน”
มั่นใจว่าสำเนียงการพูดคำยกย่องเต็มไปด้วยความเย้ยเยาะ ปกติดูอีกินแต่ข้าวปั้นสามเหลี่ยม ไม่ก็กาแฟหรือข้าวจากร้านที่ตัวเองทำงานพิเศษ และนั่นมันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ชายคนนี้ต้องการแน่นอน เขาจึงทำแค่เพียงพยักหน้าเพื่อแสดงให้เห็นว่ารับรู้แล้วไว้ก่อน
คงต้องออกไปซื้อพวกข้าวมาติดบ้านไว้บ้างแล้วล่ะ
และหลังจากนั้น ฮายอนก็ไม่เปิดปากพูดอะไรอีก เมื่อดูอีเช็ดคราบเลือดบนพื้นเรียบร้อย ก็เดินเข้าไปยึดผ้าห่มผืนหนาเปื้อนเลือดคืนมา แล้วโยนผ้าห่มผืนบางสำหรับหน้าร้อนให้แทน อีกฝ่ายก็ยังไม่พูดเหมือนเดิม
จนกระทั่งดูอีหยิบซากโทรศัพท์มือถือสุดบอบช้ำจากการกลายเป็นทาสอารมณ์ร้ายๆ ของเจ้านายมาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำเพราะทั้งตัวมีแต่กลิ่นอาหาร ออกมาเป่าผมด้วยลมเบาสุดพลางหาวอย่างง่วงงุน แต่ยอนก็ยังไม่ยอมพูดอะไร นั่งแกะส้มกินเงียบๆ เหมือนเดิม
ดูอีเป่าผมจนคิดว่าแห้งแล้ว และเตรียมเก็บไดร์กลับที่เดิม แต่ดันหันไปเห็นว่าอีกฝ่ายแกะเปลือกส้มทิ้งไว้บนผ้าปูที่นอน แล้วก็ได้แต่คิดว่าผู้ชายคนนี้ช่างไร้ศิลปะในการใช้ชีวิตซะจริงๆ ก่อนจะจัดการเก็บเปลือกส้มลงถุงพลาสติกให้ ฮายอนไม่มีทางใช้ชีวิตตามลำพังได้แน่นอน
ระหว่างเก็บเปลือกทิ้งก็รู้สึกเปรี้ยวปากอยากกินอยู่บ้างเรื่อยๆ กระทั่งรู้ตัวว่ายอนกำลังจ้องกันอยู่ ดูอีตกใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เขารอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากก่อนเพราะดูท่าทางเหมือนมีอะไรอยากจะพูด ดูอีเริ่มเป็นกังวล อาการป่วยก็ดูหายเป็นปกติแล้วด้วย ช่วงกลางวันฟื้นตัวจนดีขึ้นมาก แต่ยังเป็นห่วงอยู่ดีถึงแม้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะดูโอเคขึ้นมากแล้วก็ตาม
และด้วยความไม่ได้ทันสังเกต จังหวะที่คนตัวเล็กยกมือแตะหน้าผากอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล เจ้าตัวกำลังจะอ้าปากพูดพอดี ดูอีรู้สึกว่ายอนยังตัวร้อนอยู่นิดหน่อย แต่อีกไม่นานก็น่าจะดีขึ้นจนหายดีเป็นปกติ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นแตะหน้าผากตัวเองเพื่อเทียบกับอุณหภูมิปกติของร่างกาย
“…!”
“ไม่ ไม่ได้… กิน ยะ ยา… ใช่ไหม ครับ”
“นายยุ่งอะไรเล่า!?”
ยอนพูดด้วยน้ำเสียงย่ำแย่กว่าก่อนหน้านี้ พร้อมปัดมือทิ้งจนคนขี้เป็นห่วงนึกสงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่า
“แต่…จะได้ หะ หาย…เร็วๆ”
“อยากให้ฉันเลิกยุ่งกับนายเร็วๆ งั้นเหรอ”
ร่างสูงจ้องเขม็ง ดูอีได้แต่สงสัยว่ามันไม่ดีเหรอ ถ้าหากแข็งแรงแล้วหายป่วยเร็วขึ้น เขาไม่เข้าใจผู้ชายตรงหน้าเลยสักนิด
“ซะ ซักเสื้อ เรียบร้อย มะ…เมื่อไหร่ คุณ ไม่…ไม่ได้จะ…ไปแล้ว ระ เหรอ…ครับ”
“หา? ป้าไม่ได้เป็นคนสั่งให้นายขังฉันไว้จริงๆ เหรอ”
“…คะ…ครับ?”
ขังอะไรกัน มันคือสถานการณ์พิลึกประเภทไหนอีกล่ะ ดูอีส่ายหน้ารัวๆ เพื่อเป็นการปฏิเสธว่าไม่ใช่ และคงตกใจกับคำนี้ไม่น้อยเพราะถึงขั้นยกมือขึ้นมาโบกด้วย ยอนทำหน้ายุ่งพลางหรี่ตามองด้วยความสงสัย
“นึกว่าเป็นพวกนักเลงจริงๆ ซะอีก”
ยอนเคาะหัวตัวเองไปด้วยระหว่างพึมพำ จนร่างบางเพิ่งนึกได้ว่าเขาเพิ่งสระผมออกมาจากห้องน้ำและไม่ได้สวมหมวกปิดเอาไว้
ดูอีหน้าแดงขึ้นทันทีเพราะไม่เคยให้คนอื่นเห็นหน้าผากเต็มๆ ของตัวเองมานาน ถึงผมจะยาวขึ้นเยอะแล้วหลังออกจากกรมมาได้เกือบเก้าเดือน แต่ผมหน้าม้าก็ยังไม่ยาวพอจะปิดรอยแผลเป็นบนหน้าผาก ที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน
“อัน อันนี้…คือ เพราะ…เพราะอุบัติเหตุ…!!”
“ไม่ได้สงสัย”
ฮายอนพูดโพล่งสวนกลับ แต่อีกคนขยับมือเป็นระวิงเพื่อปัดผมหน้าม้ามาปิดรอยแผลให้มากที่สุด
“งั้นรีบเอาเสื้อผ้าฉันไปซักให้สะอาด จะได้เลิกยุ่งกันสักที กล้ายื่นมือเข้ามาช่วยฉันโดยไม่กลัวขนาดนี้ ก็ต้องช่วยให้มันตลอดรอดฝั่ง จริงไหมล่ะ”
“…”
แม้การให้ความสำคัญจะถูกสลับฝั่ง แต่ดูอีก็ทำเพียงพยักหน้ารับ จากนั้นค่อยๆ ขยับหลีกทางไปฝั่งโต๊ะอย่างระมัดระวังเพื่อเตรียมตัวออกไปมหาวิทยาลัย ซึ่งมีแค่หนังสือเรียนของคลาสพรุ่งนี้เช้ากับสมุดโน้ต แล้วก็ต้องเอาแฟ้มติดตัวไปด้วยเท่านั้น แต่กลับรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่าง
อ๋อ ยังไม่ได้เช็กข้อความในโทรศัพท์… นึกขึ้นได้ว่าตัวเองส่งข้อความหาจองแท เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กว่ามีข้อความเข้ามาไหม แต่สุดท้ายกล่องข้อความก็ยังคงเป็นศูนย์เหมือนเดิม
หรือเบอร์โทรศัพท์จะผิดจริงๆ?
ดูอีคิดด้วยความอึดอัดใจพลางปิดโทรศัพท์แล้ววางลงบนโต๊ะ ก่อนจะจบท้ายด้วยการเปลี่ยนเป็นชุดนอน ต้องงีบหลับสักพักจะได้ตื่นไปซื้อของเข้าบ้านตอนเช้า
เมื่อเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาตีห้า ดูอีก็หาวหวอด จากนั้นก็เหลือบเห็นว่าถุงยาแก้หวัดที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อถูกโยนทิ้งไว้ตรงนั้น
มีร่องรอยของการแกะกิน คงกินอยู่บ้างแหละ… รู้สึกว่าคนนิสัยเสียนั่นก็มีมุมน่ารักบ้างนิดหน่อย ส่วนวิตามินเสริมที่ซื้อเผื่อไว้ก็ถูกจัดการเรียบร้อยหมดแล้วเช่นกัน เขาอมยิ้มเบาๆ
ก่อนจะหันศีรษะไปมองทางผู้ชายเจ้าปัญหา แต่พบว่ายอนสอดตัวเข้าในผ้าห่มแล้วหันหน้าไปฝั่งตรงข้ามแล้ว เจ้าของห้องจึงปิดไฟ
นอนหลับทั้งๆ ที่เพิ่งกินส้มเสร็จ แถมไม่ยอมแปรงฟันอีกต่างหาก… เขาอยากพูดเตือน แต่กลัวจะกลายเป็นเรื่องอีก สุดท้ายก็ได้แต่นิ่งเฉย
เนื่องจากอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ในห้องของเขาเลยมีหมอนแค่หนึ่งใบ ผ้าห่มก็เป็นแบบบางสำหรับหน้าร้อนกับแบบหนาสำหรับหนาวอย่างละผืนเท่านั้น แต่ผ้าห่มผืนหนาก็โดนอีกฝ่ายทำเลอะจนใช้งานไม่ได้แล้ว กลายเป็นว่าตอนนี้ดูอีไม่มีทั้งหมอนและผ้าห่มให้ใช้เลยสักอย่าง
เมื่อวานเขาใช้ผ้าห่มสำหรับหน้าร้อนหนุนนอนจนเอาตัวรอดมาได้ แต่วันนี้คงต้องจบด้วยการหนุนแขนตัวเองนอนบนพื้นให้มันผ่านๆ ไปซะแล้ว แต่ทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อเก็บมาแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบให้จนจบเหมือนที่เจ้าตัวพูดนั่นแหละ
ดูอีทิ้งตัวลงนอนอย่างเงียบเชียบระหว่างยอนและโต๊ะหนังสือ โดยใช้แขนตัวเองหนุนต่างหมอน ถ้าจะเข้าเรียนคลาสสิบโมงได้ทันเวลา ก็ต้องตื่นตอนเจ็ดโมงเพื่อไปจ่ายตลาด แล้วเข้ามาทำกับข้าวทิ้งเอาไว้ อ้อ แวะไปร้านซักรีดด้วยเพราะไหนๆ ก็ออกไปแล้ว… ร่างบางคิดก่อนจะค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทราด้วยความเหนื่อยล้า
* * *
ฤดูใบไม้ผลิแสนจะสั้น แต่นั่นทำให้อากาศช่วงเช้าของเดือนตุลาคมเริ่มหนาวแล้ว รวมถึงเริ่มสว่างช้าขึ้น เหมือนเช่นท้องฟ้าไร้แสงจ้าในเช้าวันนี้ แม้จะเป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้วก็ตาม
คนเอาใจยากที่อาศัยอยู่ในห้องตอนนี้คงบ่นแน่ ถ้าหากเอาของเต็มสองไม้สองมือนี่ไปวางไว้ข้างๆ ตัว แต่คนจิตใจดีอย่างดูอีก็เลือกซื้อของที่อีกฝ่ายน่าจะกินได้กลับมาให้อยู่ดี ทั้งๆ ที่สภาพยังสลึมสลือตื่นไม่เต็มตาระหว่างเดินกลับบ้าน นัยน์ตาภายใต้ปีกหมวกแก๊ปยังคล้ายคนครึ่งหลับครึ่งตื่น
เมื่อเดินมาจนถึงบันไดหอพักเก่าๆ ของตัวเอง ดูอีก็ถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะขยับเท้าอันหนักอึ้งด้วยความง่วงงุน เดินย่ำต๊อกๆ ก้าวขึ้นทีละขั้นจนกระทั่งถึงชั้นสี่ชั้นสูงสุดของอาคาร เดินต่อมาถึงหน้าห้องตัวเองแล้วกดรหัสผ่านตามด้วยการเปิดประตูห้อง อ้าปากหาวอย่างเชื่องช้า รับเอาอากาศอุ่นๆ จากภายในห้อง
ก่อนจะออกไปซื้อของข้างนอก เขาเห็นยอนเดินลากเท้าเข้าห้องน้ำด้วยสภาพอึดอัดและทุลักทุเลเพราะเจ็บบาดแผล จนถึงตอนนี้ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังอาบน้ำไม่เสร็จ เพราะได้ยินเสียงจากภายในห้องน้ำดังอยู่
เขาหยิบหยิบชั้นในและแปรงสีฟันที่ฮายอนฝากซื้อขึ้นมาจากตะกร้าสัมภาระ พร้อมสัมผัสถึงลางร้ายได้ว่าเดือนนี้ค่าไฟกับค่าน้ำคงพุ่งสูงจนน่าขนลุก ค่อยๆ ขยับตัวมาเคาะประตูห้องน้ำอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเปิดประตูออก
“อ้าว?”
สภาพอีกฝ่ายภายในห้องน้ำคับแคบแค่พอขยับได้ดูลำบากไม่น้อย ยอนยกขาที่เจ็บขึ้นมาวางบนชักโครก ใช้น้ำอุ่นชโลมร่างกายและกำลังสระผมอยู่ แต่สีหน้าโหดร้ายไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด ไม่สิ อาจจะหงุดหงิดกว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะสภาพเส็งเครงแบบนี้
“…นี่…คือ…”
ดูอียื่นของใช้ให้พลางนึกอิจฉามัดกล้ามเนื้อบนร่างกายเปลือยเปล่าที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้แล้วในใจ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาติดรอยช้ำเบาๆ มองกระจก พิจารณารอยแผลช้ำเลือดและได้รับการดูแลจากร่างบาง แล้วเอ่ยขึ้น
“ไปแขวนไว้นู่น รีบออกไปได้ล่ะ หนาว”
“…”
เขารู้ว่าหมายถึงไม้แขวนเสื้อซึ่งมีผ้าขนหนูแขวนอยู่ก็ตอนอีกฝ่ายใช้ปลายคางชี้อบอกตำแหน่ง ดูอีเลยวางชั้นในไว้ด้านบนอย่างเรียบร้อยแล้วปิดประตูห้องน้ำให้ เมื่อเห็นคนตั้งหน้าตั้งตาอาบน้ำ ก็เลยฉุกคิดได้ว่าชายหนุ่มเพิ่งได้อาบน้ำเป็นครั้งแรกหลังจากตากฝนตอนนั้น คงจะไม่สบายตัวอยู่หรอก
ดูอีรู้สึกผิดต่อฮายอนเพราะเขาไม่ได้ใส่ใจให้ดีกว่านี้
คอมเมนต์