ปรุงรักเติมใจ คุณชายไฮโซ ตอนที่ 3-1
ตอนที่ 3-1 การพบเจอ (3)
ดูอีเอาชุดสูทไปส่งร้านซักรีดใกล้ๆ บ้านแล้วรีบวิ่งไปยังตึกคณะบริหารของมหาวิทยาลัยเอ พอมาถึงหน้าห้องเรียนก็ต้องพยายามกลั้นอาการหอบหายใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งด้านในสุดของมุมห้อง นาฬิกาชี้บอกว่าเป็นเวลาเก้าโมง ห้าสิบนาที ยังดีที่เขาไม่เข้าสาย
เมื่อวานเขาส่งข้อความถามถึงเรื่องเนื้อหาข้อสอบกับฮันจองแท รุ่นน้องประธานชั้นปีสาม ดูอีจึงกวาดตามองรอบห้อง เท่าที่จำได้ ฮันจองแทเป็นผู้ชายที่มีลักษณะท่าทางดูเป็นพวกชนชั้นสูง ไม่ต่างจากผู้ชายในห้องพักของเขา แต่นิสัยกลับดูใจเย็นมากกว่า
เทียบกับคนอื่นๆ แล้วฮันจองแทมักจะเข้ามาดูแล พูดคุยกับนักศึกษาอายุเยอะและพักการเรียนบ่อยอย่างเขามากกว่าใครๆ แต่บางครั้งอีกฝ่ายก็ดูน่ากลัวเลยทำให้ไม่ได้สนิทกันมากนัก ดูอีจึงไม่เข้าหาก่อน
และเมื่อเห็นจองแทเดินเข้ามาในห้องเรียน ดูอีก็เลยลุกจากที่นั่งแล้วเดินไปยืนตรงหน้าชายหนุ่มรุ่นน้อง
“คือ…จองแท เอ่อ…”
“มีอะไรหรือเปล่าครับรุ่นพี่”
เกือบเดินผ่านไปเพราะไม่ทันได้มอง แต่สุดท้ายจองแทหยุดแล้วหันกลับหลังถูกดูอีคว้าแขนเอาไว้ อีกฝ่ายดึงแขนออกจากมือเขา ก่อนจะสอดมือเข้ากระเป๋ากางเกง ถึงใบหน้าจะยิ้มแย้ม แต่แน่นอนดูอีรู้สึกถึงระยะห่างดี
“เอ่อ… มะ เมื่อวาน…ถาม เรื่อง…แนวข้อ สอบไป…”
“อ๋อ~ อันนั้นถึงบทสี่ครับ ขอโทษนะครับ ผมว่าจะตอบแล้ว แต่ลืมสนิทเลยแฮะ พอดียุ่งๆ อยู่น่ะครับ”
‘ตอนนี้ผมไปได้แล้วใช่ไหมครับ’ จองแทเอ่ยถาม เขาจึงตอบกลับ ทว่ามันช้าไปเพราะสิ่งที่เห็นก็คือแผ่นหลังของจองแทเดินห่างไปแล้ว แน่นอนว่าคำตอบมันส่งไม่ถึงอีกฝ่าย ดูอีได้แต่คิดว่าเขาทำอะไรผิด หรือเพราะพูดช้า อีกฝ่ายเลยไม่พอใจงั้นเหรอ จากนั้นก็ยิ่งไหล่ลู่ลง หงอยลงกว่าเดิม
เนื่องจากอาทิตย์หน้าจะเข้าช่วงสอบกลางภาคแล้ว ก็เลยไม่มีเนื้อหาคืบหน้ามากกว่าเดิมเท่าไหร่นัก ดูอีฟังคำพูดร่ายยาวอย่างต่อเนื่องของอาจารย์แบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา นึกถึงความเย็นชาที่สัมผัสได้จากฮันจองแทเมื่อครู่นี้แล้ว ก็ยิ่งเซื่องซึม
อีกฝ่ายนับเป็นรุ่นน้องเพียงคนเดียว ที่เข้ามาคอยพูดคุยกับคนเพิ่งออกจากกรมและอยู่ลำพังอย่างเขา นั่นจึงทำให้ช็อกกว่าเดิม แต่ไม่หรอก… อาจจะเป็นเพราะเพิ่งเปิดเทอมใหม่แล้วคุยกันครั้งแรกเลยอึดอัดอยู่ก็ได้ ดูอีพยายามคิดแง่ดีเพื่อกดความรู้สึกย่ำแย่เอาไว้
คงเป็นเพราะอาการพูดติดๆ ขัดๆ แถมยังใส่หมวกปิดรอยแผลตรงหน้าผากไว้ตลอดเวลา ส่งผลให้ร่างบางดูคล้ายพวกผู้ร้ายเข้าไปใหญ่ ดังนั้น ก็เลยไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เท่าไหร่
ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่ตอนไหน ทว่าดูอีพูดติดขัดเชื่องช้าจนกลายเป็นนิสัยตั้งแต่ช่วงวัยเด็กแล้ว รวมถึงถ้าหากไม่ใส่หมวก คนก็จะสนใจแต่แผลเป็นบนหน้าผาก มันยิ่งกดนิสัยขี้ขลาดให้หนักข้อขึ้นยิ่งกว่าเดิม แม้จะมีบางคนไม่ใส่ใจและคอยดูแลเขาอยู่เสมอ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาเดียวเท่านั้น พอเขาพักการเรียน ก็ห่างหายจากคนเหล่านั้นตามไปด้วย
ตอนนี้คนที่ดูอียังสนิทอยู่หลังจากปลดประจำการ ก็มีแค่กลุ่มคนที่ทำงานพิเศษด้วยกันในร้านอาหาร
เขาก็ไม่ได้โอเคกับความเป็นจริงข้อนั้นหรอก แต่การจะสนิทกับเพื่อนในคณะได้อย่างแรกก็คือต้องมีเวลา และนั่นหมายถึงเขาต้องเลิกทำงานพิเศษ ถึงจะกลัวการพูดคุยกับคนอื่น แต่ทุกอย่างก็เป็นไปได้หากพยายาม ซึ่งมันก็เป็นแค่ข้อแก้ตัว เพราะถึงจะพยายามแล้ว เขาก็ทำได้แค่รักษาสภาพให้ตัวเองและใช้ชีวิตไปตามปกติเท่านั้น
“เอาล่ะ อาทิตย์หน้าก็สอบแล้ว วันนี้พอแค่นี้… ข้อสอบออกถึงเนื้อหาวันนี้นี่แหละ ตั้งใจอ่านล่ะทุกคน”
อาจารย์แจกจ่ายเอกสารขอบเขตการออกข้อสอบให้นักศึกษา ก่อนจะเก็บของแล้วเดินจากห้อง จากนั้นก็มีเสียงจอแจดังขึ้นในห้องตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง การเรียนของวันศุกร์จบแค่วิชานี้เท่านั้น อาทิตย์หน้าก็เริ่มต้นการสอบกลางภาค ดังนั้น ตลอดสุดสัปดาห์นี้ก็ต้องอ่านหนังสือ
ดูอีเองก็เก็บเอกสารเข้าแฟ้มแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะเรียนเช่นกัน แต่กลับมองเห็นพวกรุ่นน้องร่วมคณะในห้องเรียนยืนอออยู่กับจองแท
“พี่จองแทคะ~ กลางวันนี้ทานอะไรดีคะ”
“นั่นสิ กินอะไรดี”
“โอ๊ะ รุ่นพี่ ผมกินด้วยครับ ไปกินคันจังจิมทัก (ไก่อบซีอิ๊ว) กันดีไหมครับ มีร้านเปิดใหม่หน้ามหา’ลัย อร่อยดีนะครับ”
“จิมทัก เยี่ยมเลย! งั้นฉันไปด้วยดิจองแท”
“ใครจะไปกินจิมทัก รวมตัว! จองแทเลี้ยงล่ะ อิๆ”
“พี่คะ ทำไมถึงต้องพูดให้พี่จองแทลำบากใจล่ะคะ”
จองแทมักจะมีผู้คนล้อมรอบตัวอยู่เสมอ จนทำให้เขาที่มักจะอยู่อย่างเดี่ยวอิจฉาความจริงในข้อนี้ แต่ถึงอิจฉาก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรเปลี่ยนไปอยู่ดี ดูอีจึงหลบเลี่ยงสายตา เก็บกระเป๋าแล้วตั้งท่าจะเดินออกจากห้องเรียน
“เอ่อ รุ่นพี่ดูอี ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับ”
“เอ่อ… คือ…”
ข้อเสนอชวนให้ตกใจจากจองแททำเอาร่างบางช็อกจนตัวแข็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พอหันไปมองก็เห็นว่าอีกฝ่ายส่งยิ้มเล็กๆ มาให้ โดยมีคนด้านหลังสะกิดรัวๆ ส่งสัญญาณให้รู้แจ้งชัดว่าคงไม่สะดวกใจหากจะมีเขาไปด้วย แต่ยิ่งกว่าการได้รับคำชักชวนไปกินข้าว ก็คือวันนี้ในห้องเขามีผู้ชายนิสัยไม่ดีนอนเล่นแบบไม่มีอะไรทำรออยู่
“ขอ ขอโทษ…นะ วันนี้ ฉัน… มะ มีนัด…”
“โธ่ รุ่นพี่ ยังไงก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้วนี่นา ไม่ต้องโกหกก็ได้ครับ”
“ปะ…เปล่า คือ มี…มีแขก มะ มาบ้าน…”
“จริงเหรอครับ ถ้างั้นไม่เป็นไรครับ ไว้ครั้งหน้าไปกินด้วยกันนะครับ”
“ดะ…ได้”
หลังจากร่ำลาชายหนุ่มรุ่นน้องที่ยืนหัวเราะเบาๆ พร้อมอวยพรให้เขากลับบ้านดีๆ ดูอีก็รีบเดินหนีให้เร็วขึ้นกว่าเดิม เมื่อเห็นคนเป็นรุ่นพี่ว่าเดินหายลับตาไป เพื่อนร่วมคณะก็พากันบ่นรัวถึงการกระทำเมื่อครู่ของจองแท
“เฮ้ย นายไปชวนหมอนั่นมาให้ลำบากใจทำไม”
“น่าสงสารออก รุ่นพี่เขากินข้าวคนเดียวทุกวันเลยนะ”
“เจ้านี่นิ อย่าเอาแต่คิดถึงคนอื่นดิ ดูแลตัวเองบ้างเถอะน่า เอาจริงนะ ฉันว่าหมอนั่นไม่ค่อยโอเค”
“ทำไมเล่า เขาดูเป็นคนดีออก”
จองแททำตัวเป็นคนดีด้วยการบอกเพื่อนว่าพูดเกินไป และนั่นทำให้เพื่อนรอบตัวบ่นต่ออีกรอบ เพื่อนในคณะส่วนใหญ่ค่อนข้างมีความคิดแง่ลบต่อรุ่นพี่อย่างดูอี
“ใส่หมวกมาทุกวันเหมือนคนไม่สระผมอะ… แล้วดูตาดิ ตาร้ายมาก…ไม่รู้ล่ะ ฉันกลัวหมอนั่น แล้วใส่แต่เอคลุมของคณะทุกวันด้วยนะ”
“ใช่เลย ยังพูดติดๆ ขัดๆ อีก… จะพูดยังไงดีวะ… ดูไม่สมประกอบอะ พวกที่ทำงานกลุ่มด้วยกันก็บอกว่าไม่โอเคเท่าไหร่เหมือนกัน จริงๆ นะ”
“คงทำตัวลำบากน่ะ ไหนจะอายุเยอะ แถมเพิ่งดร็อปเรียนกลับมาอีกต่างหาก อย่าพูดแบบนั้นดิ เขาไม่เคยสร้างปัญหานี่นา”
“นายไม่เห็นตอนพรีเซนต์รอบก่อนหรือไง สีหน้าพวกนั้นแบบแย่มากแล้ว…”
จองแทยิ้มบางและไม่พูดอะไรกับกลุ่มเพื่อนที่ยังคุยหัวข้อเดิมอย่างออกรสไม่หยุด ทำสีหน้ายากจะคาดเดาอารมณ์ขณะหันไปมองทิศทางที่ดูอีเดินจากไป ก่อนจะก้าวออกจากตึกคณะพร้อมทุกคนเพื่อไปกินข้าวกลางวัน
* * *
ฟังดูน่ากินจัง… จิมทักงั้นเหรอ ตอนกลางวันทำกินบ้างดีไหมนะ
ดูอีกลืนน้ำลายดังอึกหลังคิดถึงเมนูอาหารกลางวันที่เพิ่งปฏิเสธคำชักชวนของจองแทไป เขาชอบกงที่สุดในบรรดายุกเฮกง[1] ไม่เคยกินเนื้อหมูแพงๆ เลยเพราะคิดว่ามันคาว แล้วก็ไม่ได้มีเรื่องน่ายินดีจนได้กินเนื้อเท่าไหร่จึงไม่เคยชินนัก ส่วนปลาดิบก็แพง เพราะฉะนั้นที่สุดก็ต้องเป็นไก่ และจิมทักนี่แหละ คือมื้อกลางวันของวันนี้
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ร่างบางก็แวะเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับการลงมือทำมื้อกลางวัน แต่พอมองใบเสร็จหลังจากคิดเงิน ก็ได้แต่กังวลว่าเดือนนี้ตัวเองต้องเข้าเนื้อย่อยยับแน่ คงต้องลดเงินที่ส่งให้พ่อกับแม่ลง ดูอีตัวสั่นขึ้นมาทันทีเพราะจินตนาการได้ว่าผู้เป็นแม่ต้องโมโหร้ายแน่นอน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องช่วยเหลือค่าเทอมเซนาอยู่ดี
ดูอีกลับบ้านพร้อมกับของเต็มสองมือ แล้วก็ต้องยืนงงนิดหน่อย เมื่อเปิดประตูเข้ามาแล้วเจอยอนนั่งพิงกำแพงอ่านหนังสืออยู่นิ่งๆ แถมหนังสือเล่มนั้นยังเป็นเล่มโปรดของเขาอย่าง ‘Howl’s Moving Castle’ เล่มหนึ่ง ของไดอาน่า วินน์ โจนส์อีกด้วย พอจะเดาได้ว่าในห้องคงไม่มีอะไรทำ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอ่านหนังสือ
“ทำอะไร”
“…”
หลังจากถอดรองเท้าก็ยืนนิ่งงันอยู่หน้าประตู พอยอนรู้สึกว่ามีคนจ้องแล้วเอ่ยทักถึง ดูอีถึงตั้งสติได้อีกรอบ และแน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาคือการพูดอวดดีด้วยน้ำเสียงประสาทเสียของผู้ชายคนนี้นั่นเอง
“เฮ้ นายไม่มีคอมพิวเตอร์เหรอ โทรศัพท์ก็เก่าเก็บ ในบ้านไม่มีของใช้ไอทีอะไรสักอย่าง เป็นขอทานหรือไง ฉันเบื่อจนคิดว่าตัวเองจะสลบล่ะ”
ถ้าไม่สร้างเรื่องโยนโทรศัพท์มือถือของตัวเองทิ้งจนมันพัง ก็คงไม่น่าเบื่อจนอยากหงายหลังขนาดนี้หรอก แต่คนนิสัยเสียก็ไม่ยอมโทษตัวเองและโยนให้เป็นความผิดดูอีเพียงผู้เดียว ดูอีเก็บของเข้าตู้เย็น ก่อนจะหันไปมองแขกผู้อาศัยที่ยังทำหน้าตาเฉย ไม่รู้สึกผิดอะไร จนเจ้าของบ้านได้แต่ถอนหายใจเบาๆ กับท่าทางนั้น มันก็จริงเรื่องนั่นแหละ เขาดูเป็นคนจนในสายตาคนอื่นอยู่แล้ว
แต่ยอนไม่ได้รับรู้หรือสนใจเลยว่าดูอีจ้องมอง ร่างสูงโดดข้ามโต๊ะหนังสือแล้วเอ่ยถามอย่างสบายอารมณ์
“เสื้อผ้าฉันจะได้ตอนไหน”
“สุด สุดสัป…ดะ ดาห์…”
“พรุ่งนี้เหรอ เยส! รอดแล้ว”
“ปะ เปล่า… คือวันเสาร์… อาทิตย์ ระ ร้าน…หยุดครับ… เลยต้อง…ปะ ไป เอา…วันจันทร์”
“หา?!”
วันจันทร์เรอะ ฉันต้องอยู่ในห้องโกโรโกโสนี่ต่ออีกสามวันงั้นเหรอ! คำตอบไม่ถูกใจจากตัวเล็กทำเอายอนเคืองจนหัวเสีย จากนั้นก็ลุกจากที่นั่งแล้วเดินเข้าไปคว้าคอเสื้อดูอี
“ไอ้หนู รู้แบบนี้แล้วทำไมไม่รีบเอาไปส่งซักวะ!!”
“ผะ ผมลืม…กะ ก็เลย…”
ถึงไม่ใช่ความผิดโดยตรงของดูอี แต่ยอนก็ยังคว้าคอเสื้อมาเขย่าซ้ำๆ จนร่างบอบบางสั่นคลอนตามทั้งตัว แต่กลับพลาดเอาเท้าข้างที่เจ็บเหยียบพื้นเข้าเต็มๆ จนต้องร้องลั่น ปล่อยมือแล้วผละไปด้านหลัง
ทุกอย่างอาจจะเรียกได้ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่คนเย่อหยิงอวดดีอย่างฮายอนอาจจะมีคำปฏิญาณฝังลึกในใจว่า ถึงอย่างไร ก็จะไม่ยอมตายคนเดียว เพราะอีกฝ่ายคงไม่อยากล้มไปกองกับพื้นตามลำพัง ถึงรั้งมือที่กระชากคอเสื้อลงมาด้วย และแรงจากมือใหญ่ก็ทำให้ดูอีล้มตามมาจนได้
[1] ยุกเฮกง ยุกคือพวกหมูเนื้อ เฮคือพวกอาหารทะเล กงคือพวกเป็ดไก่
คอมเมนต์