ย้อนเวลามาเป็นท่านอ๋องน้อย ตอนที่ 1-7
เล่มที่ 1 บทที่ 7 บรรดาญาติของข้า
อืม…นี่ยังไม่ถึงเมืองหลวง กลับคิดถึงเรื่องทรัพย์สินเสียแล้ว คุณชายน้อยท่านนี้ช่าง…ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ “คุณชายน้อยเป็นผู้รับและดูแลกุญแจห้องทรัพย์สินส่วนตัวของเหล่าโหวเหฺยขอรับ ตอนนี้อยู่ในมือของข้าน้อย ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น ข้าน้อยไม่ค่อยแน่ใจขอรับ”
หลี่ลั่วฟังแล้วดวงตาทั้งคู่พลันทอประกายไหววูบขึ้น “ท่านพ่อของข้ามีทรัพย์สินส่วนตัวเยอะหรือไม่?”
“เอ่อ…ทรัพย์สินส่วนตัวของเหล่าโหวเหฺยนั้นข้าน้อยไม่ค่อยชัดเจนนักขอรับ เหล่าโหวเหฺยมอบให้ข้าน้อยก่อนที่จะจากไป” หลี่จงหมิงเป็นผู้ชายคนหนึ่ง จึงมิเคยไปเปิดห้องดังกล่าวเพื่อตรวจนับทรัพย์สินส่วนตัวของเหล่าโหวเหฺย
“อ้อ…ถ้าเช่นนั้นภรรยาเอกท่านพ่อของข้ามีอุปนิสัยเป็นคนอย่างไรหรือ? พี่ชายและพี่สาวของข้าเข้ากับคนง่ายหรือไม่?” หลี่ลั่วถามขึ้นมาอีก
หลี่จงหมิงใคร่ครวญดูแล้ว เขานั้นย่อมเข้าใจถึงเหตุผลที่คุณชายน้อยถามถึงเรื่องนี้ คุณชายน้อยเป็นเพียงเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง ความกังวลใจต่อสถานการณ์หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวงนั้นย่อมต้องมีแน่นอน “ฮูหยินเดิมเป็นสตรีจากครอบครัวใหญ่ คุณชายและคุณหนูเป็นญาติที่สนิทชิดเชื้อกับท่านที่สุด น่าจะเข้ากันได้ดีนะขอรับ”
“นั่นก็แสดงว่า ท่านก็ไม่รู้แน่ชัด” หลี่ลั่วดึงบันไดที่จะให้หลี่จงหมิงใช้ลงมาออกเสียแล้ว
ณ เมืองหลวง จวนจงหย่งโหว
เรือนหยวนเซ่อ
หลี่หยางซื่อ [1] เป็นสตรีที่อ่อนโยนและฉลาดเฉลียว ในฐานะคุณหนูของจวนฮ่านหลิน ความรู้ความสามารถของนางนั้นมิได้ด้อยเลย ครั้งนั้นได้รับความพออกพอใจจากหลี่ซวี่ จากฮูหยินตราตั้ง [2] ขั้นสี่เลื่อนขึ้นมาถึงฮูหยินตราตั้งขั้นหนึ่ง สามีของนางไม่เคยรับอนุภรรยา อีกทั้งยังเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ตลอดชีวิตของนางนั้นล้วนเป็นที่อิจฉาของพี่สาวน้องสาวและญาติมิตร นางมีทั้งบุตรชายและบุตรี แต่บุตรชายกลับตกม้าทำให้ได้รับบาดเจ็บที่ขา ส่วนสามีสละชีวิตเพื่อปกป้องอารักขาองค์ฮ่องเต้ อนาคตที่กำลังรุ่งโรจน์อย่างไร้ขีดจำกัดของนาง ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวกลับไม่เหลืออะไรเลย
ในจวนจงหย่งโหวที่กว้างใหญ่แห่งนี้ นางเหลือเพียงบุตรชายและบุตรีเท่านั้น ส่วนที่เหลือนั้น นางแทบจะภาวนาให้เหล่าหญิงม่ายและเด็กกำพร้ารีบตายไปในเร็ววัน เพื่อจะได้แย่งชิงอำนาจในจวนจงหย่งโหว พวกคนเหล่านั้นล้วนเป็นจิ้งจอกเหี้ยมโหดที่ไม่มีวันกินอิ่มท้อง
“ท่านแม่” หลี่หงถือไม้เท้าเดินเข้ามา เขาเป็นบุตรชายคนโตของหลี่ซวี่ ปีนี้มีอายุสิบแปดปี ครั้งนั้นตกม้าขาได้รับบาดเจ็บ ที่จริงแล้วไม่ได้สาหัสอะไรมากนัก เพียงแต่เวลาเดินต้องใช้ไม้เท้าค้ำ ทว่าตำแหน่งโหวของจวนนั้นถือเป็นหน้าตาและเกียรติยศแห่งราชสำนัก เหมือนกับตำแหน่งขุนนางในราชสำนัก ผู้ที่มีร่างกายพิการมิสามารถรับตำแหน่งได้ หลี่หงเติบโตอยู่ข้างกายหลี่หยางซื่อมาตั้งแต่ยังเยาว์ มีอุปนิสัยสุภาพอ่อนโยน ไม่เหมือนกับหลี่ซวี่ซึ่งมีลักษณะเป็นชายชาติทหารที่ค่อนข้างเย็นชา
“ท่านพี่ ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ” เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างกายหลี่หยางซื่อมีชื่อว่า หลี่หลิน ปีนี้นางมีอายุสิบหกปี นางกับหลี่หงต่างก็เพิ่งจะครบกำหนดการไว้ทุกข์ [3] ให้กับบิดาเมื่อปีที่แล้ว เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที จึงต้องไว้ทุกข์เป็นเวลาสามปี ดังนั้นจึงทำให้เรื่องการแต่งงานถูกเลื่อนออกไปด้วย ในจวนจงหย่งโหวนางมีฐานะเป็นถึงคุณหนูที่ถือกำเนิดมาจากภรรยาเอก แต่เนื่องจากการสูญเสียบิดา สถานะครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ทำให้ค่อนข้างวางตัวลำบาก ครั้นแล้วจึงส่งผลกระทบให้เรื่องการทาบทามเพื่อดูตัวออกจะประดักประเดิดอยู่มิใช่น้อย
ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับนางแล้ว สถานะของหลี่หงกลับประดักประเดิดยิ่งกว่า สืบเนื่องมาจากขาที่ได้รับบาดเจ็บ การเดินเหินไม่คล่องแคล่ว ดังนั้นจึงได้แต่เลือกเดินเส้นทางดูแลกิจการของครอบครัวและทำการค้า ทว่าในยุคสมัยนี้ฐานะของผู้ทำการค้านั้นต้อยต่ำมาก คุณหนูจากครอบครัวขุนนางจะไม่แต่งให้กับครอบครัวพ่อค้าเป็นอันขาด
“ท่านพี่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ? ข้าได้สั่งให้คนครัวทำน้ำบ๊วยเย็นเอาไว้แล้ว นี่เพิ่งจะเดือนห้าเท่านั้น ไฉนวันนี้อากาศถึงได้ร้อนเช่นนี้” หลี่หลินพูด
วันนี้หลี่หงไปดูเรือกสวนไร่นามา หลี่หยางซื่อนั้นเมื่อทำใจยอมรับได้แล้วว่าบุตรชายไม่สามารถรับราชการเป็นขุนนางได้ จึงได้เตรียมการให้เขาดูแลกิจการของครอบครัว จนถึงบัดนี้ก็เป็นเวลาสามปีแล้ว “รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยจริงๆ ขอบคุณน้องสาว”
“สถานการณ์ที่นั่นเป็นเช่นใดบ้าง?” หลี่หยางซื่อถามไถ่
หลี่หงส่ายหน้า “ไม่ดีขอรับ ในสองปีนี้เพียงแค่เท่าทุน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เท่าทุนก็ยากลำบากแล้ว มิสู้ขายออกไปเลยจะดีกว่า”
“ไม่ได้” หลี่หยางซื่อเอ่ย “ที่นาหนึ่งพันหมู่ [4] นี้ ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้แก่ท่านพ่อของเจ้าเมื่อครั้งพระราชทานบรรดาศักดิ์โหว แล้วอีกอย่าง…นี่ยังเป็นทรัพย์สมบัติของกองกลาง [5] ในเมื่อเจ้ามิสามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์โหวได้ หากไปแตะต้องเข้า…” คำพูดที่เหลือนั้นหลี่หยางซื่อมิได้กล่าวออกมาคือ หากไปแตะต้องแล้ว เมื่อท่านโหวคนใหม่มา เกรงว่าจะไม่งาม
“ฮึ…” หลี่หงยิ้มเย็นชา “พวกคนข้างนอกคอยจ้องจะตะครุบเอา เวลาสี่ปีกำลังจะครบกำหนดแล้ว หากเมื่อถึงเวลานั้นแล้วยังหาน้องเล็กไม่พบ พวกเขาต้องบีบบังคับให้พวกเรามอบบรรดาศักดิ์ [6] ให้แน่นอน ถึงตอนนั้นสิ่งของที่ท่านพ่อใช้ชีวิตแลกมาก็ต้องตกเป็นของพวกเขาทั้งหมด”
“ต่อให้หาตัวพบ ก็มีอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น” หลี่หยางซื่อทอดถอนใจ “อีกประการหนึ่ง ยังมิรู้ว่าถูกเลี้ยงดูอยู่นอกจวนจะเป็นเช่นใดบ้าง”
“ฮูหยิน เทียบเชิญของฮูหยินใหญ่จากจวนจงกั๋วกงมาแล้วเจ้าค่ะ” จี้หมัวมัว [7] แม่นมที่หลี่หยางซื่อนำติดตัวมาจากบ้านเดิมยืนอยู่หน้าประตู จี้หมัวมัวเป็นคนข้างกายของหลี่หยางซื่อ อีกทั้งยังเป็นแม่นมของนางอีกด้วย
———————-
[1] หลี่หยางซื่อ (李杨氏) ในสมัยโบราณ คำที่ใช้เรียกสตรีที่แต่งงานแล้วคือ “ซื่อ” ที่แปลว่าแซ่หรือสกุล โดยให้เรียกแซ่ของสามีนำหน้าเพื่อเป็นการให้เกียรติสกุลสามี และตามด้วยแซ่ของตน ในที่นี้คือเดิมมาจากสกุลหยาง แต่งเข้าบ้านสกุลหลี่ จึงเรียกหลี่หยางซื่อ (มารดาเลี้ยงของหลี่ลั่ว)
[2] คุณหญิงตราตั้ง (诰命夫人) ตั้งแต่รัชสมัยถัง, ซ่ง, หมิง และชิงนั้น ฮ่องเต้จะพระราชทานยศให้แก่มารดาหรือภริยาของขุนนาง มีด้วยกันห้าขั้น ขั้นที่หนึ่งคือสูงสุด ลดหลั่นลงมาจนถึงขั้นที่ห้า
[3] โส่วเสี้ยว (守孝) หมายถึง การไว้ทุกข์เพื่อแสดงความกตัญญูต่อผู้ล่วงลับที่เป็นบิดา, มารดา, ปู่ย่า, ตายาย เป็นเวลาสามปี ในระหว่างนั้นห้ามออกเรือนหรือแต่งงาน สมาชิกในครอบครัวทุกคนจะต้องงดเว้นร่วมงานมงคลทุกอย่าง
[4] หมู่ (亩) คือหน่วยวัดพื้นที่ดั้งเดิมของจีน 1 หมู่ของจีนเทียบเท่า 166.5 ตารางวา หรือเทียบเท่า 666 ตารางเมตร
[5] กองกลาง (公中) หรือ ระบบกงสี เป็นทรัพย์สินกองกลางของครอบครัว ในที่นี้เจ้าของจวนมีอำนาจในการจัดการมากที่สุด รองลงมาคือฮูหยินใหญ่ของเรือน
[6] กั้วจี้ (过继) หมายถึง การยกลูกชายของตนให้เป็นลูกชายของญาติตน หรือ ตนเองไม่มีลูกชายจึงรับลูกชายของญาติมาเป็นลูกชายของตัวเอง ใช้ในการสืบทอดบรรดาศักด์ต่อเมื่อไม่มีลูกหลานสายตรง
[7] หมัวมัว (嬷嬷) หมายถึง แม่นมผู้มีอายุเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ข้างหน้าจะเติมสกุลของหมัวมัวผู้นั้น เช่น สกุลจี้ ก็เรียก จี้หมัวมัว
คอมเมนต์