ย้อนเวลามาเป็นท่านอ๋องน้อย ตอนที่ 1-10
เล่มที่ 1 บทที่ 10 เหล่าไท่ไท่ลองใจ
ใบหน้าของหลี่เหล่าไท่ไท่ประดับด้วยรอยยิ้มที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป นางค่อยๆ มองไปที่พวกเขาทีละคน เมื่อเห็นหลี่หลิน สีหน้าก็ปรากฏความไม่พึงพอใจเล็กน้อย “หลินเจี่ยเอ๋อร์เป็นสาวน้อย ควรสวมใส่อาภรณ์สีสันสดใสเสียบ้าง ดูหม่านเจี่ยเอ๋อร์กับอวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์ซิ สีเหลืองกับสีแดงสว่างสดใสงดงาม อย่างนี้จึงจะน่าดู” วันนี้หลี่หลินสวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อนทั้งชุด มองดูแล้วช่างจืดชืดนัก บนศีรษะทัดดอกตู้เจวียน [1] เพียงดอกเดียว มองแล้วไม่เจริญหูเจริญตาเหล่าไท่ไท่ คนเมื่ออายุมากแล้ว มักจะชอบสีแดงๆ เขียวๆ ชอบที่จะให้สาวน้อยแต่งกายให้งดงามน่าดู
หลี่หลินมีอุปนิสัยอ่อนโยน ยอมคน ด้วยเหตุที่บิดาประจำอยู่ชายแดนเป็นเวลาหลายปี ได้แต่เกรงว่าจะทำให้บรรดาพี่สาวไม่พอใจ จะทำให้มารดาตกที่นั่งลำบาก ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาจึงไม่แย่งชิงไม่ทะเลาะกับใคร ต่อมาเมื่อบิดาได้รับบรรดาศักดิ์จงหย่งโหว มีจวนโหวแล้วจึงแยกเรือนย้ายออกมาอยู่กันเอง ทว่าก็มิได้มีชีวิตสุขสบายอยู่นานนัก หลี่ไท่เหฺยและหลี่เหล่าไท่ไท่ก็มาเยือน จากนั้นครอบครัวแล้วครอบครัวเล่าก็ต่างย้ายตามกันเข้ามา
ตอนนี้บิดาได้จากไปแล้ว ถึงแม้ว่าจวนโหวจะเป็นของพวกเขา แต่พวกเขากลับเหมือนเป็นผู้มาอาศัยอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าค่ะ คำสอนของท่านย่าหลานจดจำเอาไว้แล้ว” หลี่หลินตอบอย่างเชื่อฟัง
หลี่เหล่าไท่ไท่มิได้เอ่ยอะไรอีก คำพูดของครอบครัวเจ้ารอง แต่ไหนแต่ไรมาก็หาช่องโหว่มิได้ “พวกเจ้ากลับไปเถอะ วันนี้ครอบครัวเจ้ารองอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนข้า”
“เจ้าค่ะ”
“ท่านย่า หลานก็อยากกินข้าวเป็นเพื่อนท่านย่าเจ้าค่ะ” หลี่อวิ๋นกอดแขนหลี่เหล่าไท่ไท่อย่างออดอ้อน “อาหารที่เรือนของท่านย่าอร่อยเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”
“เจ้าจอมตะกละตัวน้อย” หลี่เหล่าไท่ไท่ฟังคำพูดนี้แล้ว ในใจก็ให้เป็นสุขยิ่งนัก “ถ้าเช่นนั้นก็กินด้วยกันทั้งหมดเถิด”
อาหารการกินที่เรือนหลี่เหล่าไท่ไท่นั้นประณีตละเอียดอ่อนจริงๆ เมื่อครั้งยังอยู่บ้านเดิมของตน นางเป็นคุณหนูแห่งจวนชิ่งป๋อ อาหารการกินย่อมดี หลังจากออกเรือนมา ในมือก็มีสินเจ้าสาวติดมาไม่น้อย ครอบครัวที่นางแต่งเข้ามานั้นก็เหมาะสมกันทุกประการ ชีวิตดำเนินไปได้ด้วยดี ต่อมากลายเป็นหญิงม่าย จึงมาเป็นภรรยาใหม่ของหลี่ไท่เหฺย ถือเป็นนายหญิงของบ้าน แน่นอนว่านางย่อมไม่ทำให้ตนเองต้องลำบาก
หลังจากคนทั้งบ้านนั่งลงแล้ว ด้วยเหตุที่เป็นการทานอาหารภายในบ้าน จึงมิได้ยึดกฎเกณฑ์ห้ามพูดจากันระหว่างทานอาหาร [2] หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อย หลี่เหล่าไท่ไท่จึงให้ทุกคนกลับไปแล้วรั้งหลี่หยางซื่อเอาไว้
“เจ้ารองจากไปเป็นเวลาสี่ปีแล้ว เกียรติของจวนจงหย่งโหวของพวกเรานั้นก็ต้องพึ่งพาเจ้าใหญ่กับเจ้าสามมาสนับสนุน” หลี่เหล่าไท่ไท่ทอดถอนใจ
หลี่หยางซื่อเพียงแต่ยิ้มบาง ไม่ได้ตอบรับใดๆ ทว่าในใจนั้นกระจ่างแจ้งในความนัยของหลี่เหล่าไท่ไท่ หรือว่าหากไม่มีสองครอบครัวนี้จวนจงหย่งโหวจะถึงกับต้องล่มสลายกันเล่า? แม้ว่าหลี่หยางซื่อจะเป็นคนอ่อนโยน แต่สิ่งที่เฉลียวฉลาดที่สุดก็คือไม่ว่าเรื่องอะไรนางล้วนแต่ไม่จู้จี้จุกจิก ไม่ว่าท่านจะกล่าวกี่ประโยค นางจะเพียงแค่ยิ้มและปล่อยผ่านไป สามีตายไป บุตรชายกลายเป็นคนอ่อนแอไม่สามารถพึ่งพาได้ คนทั้งตระกูลได้แต่จ้องตำแหน่งโหวของสามีนาง นางเองก็มิได้เป็นคนโง่เขลา
หลี่เหล่าไท่ไท่ไม่ชอบที่นางเป็นแบบนี้ที่สุด ปากไม่ช่างเจรจา มือก็กำไม่คลาย ที่จริงแล้วทรัพย์สินกองกลางของสกุลหลี่นั้นมิได้ใจกว้างอันใด ครั้งนั้นหลี่ไท่เหฺยเป็นบุตรอนุ เมื่อแยกเรือนครานั้นเหล่ากั๋วกงฮูหยินเห็นแก่ที่เขาสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อ [3] บัณฑิตชั้นสูง จึงมิได้ให้เขาออกจากบ้านมาตัวเปล่า แบ่งเงินให้สองพันตำลึงเงิน ที่นาอีกหนึ่งร้อยหมู่ [4] ร้านค้าสองแห่ง และยังมีเรือนอีกหลังที่มีประตูเข้าออกอย่างละสาม ต่อมาเมื่อเขามีครอบครัว ภรรยาคนแรกแต่งเข้ามา ด้วยเหตุที่ครอบครัวเพียงรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ด ดังนั้นสินเจ้าสาวจึงมิได้มากมายอะไรนัก เป็นเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงเงิน ที่นาสองร้อยหมู่ ร้านค้าหนึ่งแห่ง เรือนที่พักอีกหนึ่งเรือน สินเจ้าสาวทั้งหมดสิบแปดหาบ เท่ากับสินเจ้าสาวของภรรยาหลี่ฮุยซึ่งผู้เป็นบุตรีอนุควรจะมีได้
จากนั้นหลังจากที่ภรรยาคนแรกของหลี่ไท่เหฺยสิ้นบุญไป สินเจ้าสาวทั้งหมดล้วนเป็นหลี่เหล่าไท่ไท่ซึ่งเป็นภรรยาใหม่เป็นผู้ดูแลและจัดการ หลายปีมานี้หลี่ไท่เหฺยรั้งตำแหน่งขั้นสาม แต่ตำแหน่งขุนนางขั้นสามในเมืองหลวงนั้นดาษดื่นยิ่งนัก ตัวของเขาเองนั้นมิได้มีทรัพย์สมบัติอะไรมากมาย
“ระยะเวลาสี่ปีใกล้จะครบแล้ว มีข่าวคราวของหลานน้อยหรือไม่?” ในรุ่นของหลี่ลั่วนั้น ตัวหลี่ลั่วถือว่าเป็นหลานที่มีอายุน้อยที่สุด จึงยังมิได้ตั้งชื่อ ได้แต่เรียกขานกันว่าหลานน้อย
“เรื่องนี้สะใภ้ก็ไม่แน่ใจนักเจ้าค่ะ ฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ออกตามหาเจ้าค่ะ” หลี่หยางซื่อกล่าว
หลี่เหล่าไท่ไท่นั้นย่อมรู้ดีว่าฮ่องเต้กำลังออกตามหา ครั้งนั้นที่ศพของหลี่ซวี่ถูกพากลับมาเมืองหลวง ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการลงมาว่าตำแหน่งโหวของหลี่ซวี่นั้นต้องให้ลูกชายคนเล็กเป็นผู้สืบทอด ทว่าลูกชายคนเล็กของหลี่ซวี่ได้หายสาบสูญไป ฮ่องเต้เป็นผู้ส่งกำลังคนออกตามหา และด้วยเหตุนี้สี่ปีที่ผ่านมาทุกคนจึงได้แต่รอคอย ผู้ใดเล่าจะกล้าไปบีบบังคับถามจากองค์ฮ่องเต้ว่าเจอคนแล้วหรือไม่
“ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ต้องเตรียมรับมือทั้งสองด้าน หากเมื่อถึงเวลาฮ่องเต้ยังตามหาคนไม่เจอ อย่างไรก็ต้องหาเด็กสักคนในตระกูลมายกให้เป็นบุตรชายสืบตำแหน่งต่อจากเจ้ารอง” หลี่เหล่าไท่ไท่เอ่ยต่อ “ผู้ที่จะรับมาเป็นบุตรชายเจ้าได้ไตร่ตรองดูแล้วหรือไม่?”
“ยังมิได้คิดมาก่อนเลยเจ้าค่ะ” หลี่หยางซื่อตอบ
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องใคร่ครวญดู หากเจ้ามิสามารถตัดสินใจได้ ก็ให้ข้าและท่านพ่อของเจ้าตัดสินใจ อย่างไรเสียนี่ก็ถือเป็นหน้าเป็นตาของจวนจงหย่งโหว แล้วคนในจวนโหวของเราก็ไม่ได้มีมากมายอะไรนัก” หลี่เหล่าไท่ไท่กล่าวต่อ
หลี่หยางซื่อยิ้มบาง “เรื่องนี้รอให้เวลาครบสี่ปีแล้วค่อยว่ากันเถิดเจ้าค่ะ เมื่อถึงเวลานั้นสะใภ้จะทูลขอให้ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัย” คนเหล่านี้ได้แต่จ้องจะเขมือบตำแหน่งโหวของจวน หลี่หยางซื่อมิมีวันยอมให้พวกเขาได้สมปรารถนา
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เหล่าไท่ไท่พลันแข็งค้าง นางรู้ว่าสะใภ้คนนี้ร้ายกาจ นางถึงกับอ้างฮ่องเต้ นำพระองค์มากดนางไว้ “ได้ๆๆ ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที เจ้ากลับไปเถิด”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ขอตัวก่อน”
———————
[1] ดอกตู้เจวียน (杜鹃花) คือดอกไม้ในวงศ์กุหลาบป่า หรือกุหลาบพันปี มีหลายสี
[2] สือปู้อวี่ (食不语) คือธรรมเนียมประเพณีห้ามพูดจาระหว่างมื้ออาหารของชาวจีนโบราณ
[3] จิ้นซื่อ (进士) เป็นระบบการสอบข้าราชการพลเรือนในประเทศจีนสมัยโบราณ หมายถึงบัณฑิตชั้นสูง มีตำแหน่งสูงกว่าซิ่วไฉหนึ่งระดับ อาจเทียบเท่ากับปริญญา หรือดุษฎีบัณฑิต หรือปริญญาเอกในระบบการศึกษาสมัยใหม่
[4] หมู่ (亩) คือหน่วยวัดพื้นที่ดั้งเดิมของจีน 1 หมู่ของจีนเทียบเท่า 166.5 ตารางวา หรือเทียบเท่า 666 ตารางเมตร
คอมเมนต์